จากกรณีหญิงวัย 41 ปี ถูกมีดปอกผลไม้ยาวรวมด้ามประมาณ 15 ซ.ม. แทงเข้าที่ใต้ราวนมข้างซ้ายด้วยประมาณ 5เซนติเมตร และมีเลือดไหลออกจากบาดแผลจำนวนมาก อาการสาหัส หายใจรวยริน ทราบชื่อตอมาคือ น.ส.วิไลรัตน์ เจ้าหน้าที่ต้องรีบปฐมพยาบาลและเคลื่อนย้ายส่งโรงพยาบาลบางบ่อเป็นการด่วน ส่วนผู้ก่อเหตุ คือ น.ส.ธนัชพร อายุ 47 ปี ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้หลบหนีไปไหน ยืนรอให้การและมอบตัวกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่โดยดี
โดยฝ่าย น.ส.ธนัชพร เล่าด้วยความคับแค้นใจว่า อยู่กินกับสามีมากว่าสิบปี จนมาระยะหลังช่วงเกือบปีที่ผ่านมา ตนเองไปจับได้ว่าสามีสนิทสนมกับน.ส.วิไลรัตน์ แถมยังสร้างหนี้สินไว้ร่วมกัน พอจับได้ก็รับปากว่าจะเลิกรากัน แต่มาภายหลังกลับพบว่าไม่ได้เลิกรากันอย่างที่รับปาก ฝ่ายน.ส.วิไลรัตน์ เทียวคอยไปตามเฝ้าสามีบ่อยครั้ง สามีทำงานวิ่งไรเดอร์มาก็เอาเงินให้แต่เมียน้อย เอาทองไปขาย หนักสุดลูกของเงินไปโรงเรียน 20 บาท ไม่มีเงินให้ลูก ตนเองกิดความคับแค้นใจที่น.ส.วิไลรัตน์ มาเอาเงินเอาทองไปจนหมดตัว พอโทรหาน.ส.วิไลรัตน์ ก็ถูกด่าทอกลับ จนเกิดเป็นความแค้นสะสม วันนี้ทราบว่าทั้งคู่นัดพากันมารับลูกของน.ส.วิไลรัตน์ จึงขับรถจักรยานยนต์ตามมาที่หน้าโรงเรียน หวังเคลียร์ใจ แต่กลับถูกน.ส.วิไลรัตน์ ด่าทอด้วยคำหยาบคาย แถมง้างมือทำท่าจะตบ ตนจึงควักมีดตอนแรกกะว่าจะแค่ขู่ แต่น.ส.วิไลรัตน์ โทรศัพท์แจ้งตำรวจว่าตนเองพยามฆ่า ด้วยศักดิ์ศรีมันค้ำคอ และถูกแจ้งตำรวจแบบนั้น ไหนๆก็จะติดคุก จึงตัดสินใจลงมือจริง ตนเองคว้ามีดแทงไปหนึ่งครั้งและกำลังจะซ้ำฝ่ายสามีก็เข้ามาแย่งมีดและห้ามไว้
ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่มายัง สภ.บางบ่อ อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ พบกับ นายอายุพงษ์ศิริ อายุ 47 ปี สามีของ น.ส.วิไลรัตน์ (ผู้บาดเจ็บ) มาพร้อมกับ น.ส. เอ (นามสมมติ) อายุ 23 ปี บุตรสาวของผู้บาดเจ็บ เดินทางเข้าพบ ร.ต.อ.ภราดร เพ็งคต รองสารวัตรสอบสวน สภ.บางบ่อ อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ เพื่อให้ปากคำและขอรับสร้อยคอทองคำของคนเจ็บ คืนจากนายไพรัตน์ (สามีของ น.ส.ธนัชพร มือมีด) โดยนายพงษ์ศิริ สามีของผู้บาดเจ็บ กล่าวว่า ตน อยู่กินกับ น.ส.วิไลรัตน์ (ผู้บาดเจ็บ) มาเป็นเวลากว่า 10 ปี แต่ไม่มีลูกด้วยกัน มีลูกติดจากภรรยา (ผู้บาดเจ็บ) ซึ่ง ตน รักและให้การเลี้ยงดูมาโดยตลอด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนทราบจากครูที่โรงเรียนของลูก ไลน์มาแจ้งว่าภรรยาถูกมีดแทงได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสมุทรปราการ อาการสาหัส แพทย์ทำการผ่าตัดและเย็บแผลแล้ว รอดูอาการอยู่ ตน พึ่งรู้ว่าภรรยาได้คุยกับนายไพรัตน์ (สามีมือมีด) เมื่อประมาณหนึ่งถึงสองเดือนที่ผ่านมา แต่ยังไม่ชัดเจนเรื่องความสัมพันธ์ว่าจะลึกซึ้งเพียงใด
ส่วน น.ส.เอ (นามสมมติ) บุตรสาวของผู้บาดเจ็บ กล่าวว่า ตน รู้ว่าแม่มีการพูดคุยทางสื่อโซเชียลมีเดีย กับนายไพรัตน์ (สามีมือมีด) แต่เห็นว่าเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ จึงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับนายไพรัตน์ (สามีมือมีด) ไม่รู้ว่าจะลึกซึ้งไปถึงขนาดไหน จึงอยากฝากผ่านสื่อฯ ขอให้เห็นใจครอบครัวของตนบ้าง ขณะนี้แม่ของตนได้รับบาดเจ็บสาหัส เป็นตาย 70/30 ขอให้สังคมเห็นใจกับครอบครัวของตนบ้าง และวันนี้ ได้มาขอรับสร้อยคอทองคำของแม่คืน
ทีมข่าวได้ภาพจากกล้องวงจรปิดเป็นภาพตอนที่ไพรัตน์กับวิไลรัตน์ขี่รถมาด้วยกันก่อนเกิดเหตุ แล้วทางด้านของธนัชพรขี่รถตามมา
ล่าสุดทีมข่าวของเราลงพื้นที่ไปที่บ้าน ของนายไพรัตน์ ที่อยู่กินกับผู้ก่อเหตุ พบว่า มีแค่เพียงเด็กชายวัย อยู่อาศัยในห้องตามลำพัง ชื่อน้องโอม (นามสมมุติ) ซึ่งเป็นลูกของนายไพรัตน์กับเมียหลวงคนก่อเหตุ
น้องโอมบอกกับทีมข่าวของเราว่า แม่จับได้จากการที่เห็นพ่อแชตคุยกับผู้หญิงคนอื่น ตนเองก็รู้ว่าทั้งคู่มีปัญหากันเพราะเห็นทะเลาะกันเรื่องผู้หญิงคนนี้มาโดยตลอดโดยเฉพาะเมื่อช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ที่แม่พยามคุยกับพ่อว่าจะเอายังไงแต่ดูเหมือนว่าไม่สามารถตกลงกันได้
ตอนนี้น้องโอมยอมรับว่าเครียดมาก พ่อเองก็ไม่ได้บอกว่าจะทำยังไงล่าสุดหลังเกิดเหตุก็ได้ไปคุยกับแม่ แม่ก็บอกกับตัวเองเอาไว้ว่าจะไม่ได้เจอแม่แล้วนะ ให้ใช้เงินประหยัด และอย่าไปสร้างเรื่องราวนะ ให้ดูแลตัวเองดีๆ ตอนนี้เป็นไปได้อยากให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมคือมีพ่อกับแม่อาศัยอยู่ด้วยกัน
นายไพรัตน์ (สามีของ น.ส.ธนัชพร มือมีด) ได้เปิดใจกับผู้สื่อข่าว กล่าวว่า ตน รู้จักกับ น.ส.วิไลรัตน์ (ผู้บาดเจ็บ) ได้ประมาณห้าถึงหกเดือน โดยเหตุบังเอิญ ขณะที่ผู้บาดเจ็บเดินมาขอความช่วยเหลือ อ้างว่าถูกมิจฉาชีพหลอกเอาเงินไป 900 บาท ถูกเจ้าของร้านที่ทำงานให้หาเงินไปใช้คืน จึงเดินมาขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วย ตนเห็นใจจึงเข้าไปพูดคุยและช่วยเหลือดังกล่าว หลังจากนั้น ก็มีการแลกเบอร์โทรศัพท์และพูดคุยกันเรื่อยมา โดยผู้บาดเจ็บบอกกับตน ว่าเป็นโสดเลิกรากับสามีมาได้ประมาณสองปี อยู่บ้านกับลูกวัยประมาณ 12 ขวบ ตน เห็นใจจึงเข้าไปดูแล ตลอดระยะเวลาที่คบกัน ภรรยา (น.ส.ธนัชพร มือมีด) รู้มาโดยตลอด และมีการพูดคุยเจรจากัน ว่าตนสามารถเลี้ยงดูได้ทั้งสองบ้าน ปัจจุบันส่งเสียค่าเลี้ยงดูให้บ้านใหญ่ วันละ 400 บาท ส่วนของผู้บาดเจ็บ ได้มีการช่วยเหลือไปเป็นเงินประมาณกว่า 100000 บาท เป็นค่ารักษาพยาบาล ยามเจ็บป่วยและช่วยค่าเทอม
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ตนคงจะต้องอยู่กับลูกชายเพียงสองคน ภรรยาบ้านใหญ่ คงต้องให้ตำรวจดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ส่วน น.ส.วิไลรัตน์ (ผู้บาดเจ็บ) ตนยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป แต่คิดว่าทางครอบครัวและญาติของเขาคงจะให้เลิกคบกัน