กรณีนายนนทกิตติ์ ศิวะรัตนธำรงค์ เล่นแอปฯหาคู่ ได้เจอกับนางสาวแอม กระทั่งพูดคุยกัน และร่วมลงทุนสูญเงินกว่า 375,000 บาท ตามที่ทีมข่าวช่อง 8 ได้นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
เมื่อเวลา 23.00 น. วันที่ 26 ส.ค. 66 หลังจากข่าวได้ออกไป นางสาวแอม ได้โทรศัพท์มาหานายนายนนทกิตติ์อีกครั้ง โดยมีใจความว่า “นางสาวแอม ถามฝ่ายชายว่า ได้ให้ทนายความส่วนตัว ติดต่อไปหา ฝ่ายขายได้คุยกับทนายแล้วหรือยัง ฝ่ายชายก็บอกว่า ได้คุยแล้ว พร้อมกับให้ฝ่ายหญิงคืนเงินทั้งหมดมา เรื่องทุกอย่างจะได้จบ
ฝ่ายหญิงก็บอกว่า “แล้วพี่ไปออกข่าวทำไม ถ้าหลังจากนี้หนูเคลียร์เงินให้พี่ แล้วเรื่องข่าวที่พี่ออกไป พี่จะรับผิดชอบอย่างไร ฝ่ายชายก็บอกว่า เดี๋ยวจะทำข่าวแก้ให้
ฝ่ายหญิงก็ต่อว่าฝ่ายชาย ที่เอาข้อมูลส่วนตัวทั้งใบหน้าจริง และข้อมูลอื่นๆไปโพสต์ลงเฟซ ทำให้ฝ่ายหญิงเสียหาย ฝ่ายชายก็ตอบไปว่า “ก็คดีอื่นๆน้องก็มี น้องจะกลัวทำไม”
รายละเอียด หนุ่มโอนเงินให้แอม
นอกจากนี้ ทีมข่าวช่องแปด ยังได้มีการตรวจสอบคดีในระบบของนางสาวแอม ซึ่ง มีประวัติทางคดีตั้งแต่ปี 2563 ถึง 2566 มีคดีเกี่ยวกับฉ้อโกง ตัวการฉ้อโกง ตัวการยักยอก และรวมถึงพรบ.คอมฯ ซึ่งมีคดีรวมทั้งสิ้น 14 คดี ในหลายพื้นที่สน. และสภ. โดยการก่อเหตุส่วนใหญ่จะอยู่โซนปทุมธานีและนนทบุรีปากเกร็ด
วันนี้ (27 ส.ค.) ทีมข่าวช่องแปด ทราบว่าในการก่อเหตุของนางสาวแอมครั้งนี้ มีผู้เสียหายอีกหลายรายที่ถูกหลอกให้ลงทุน และหลอกซื้อขายบ้าน โดยมีผู้เสียหายกระจายตัวกันในพื้นที่ๆ ส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลาง
หนึ่งในผู้เสียหาย อย่าง “กบ อนุสรา” เจ้าของฉายา นางเอกเจ้าน้ำตา ที่เคยโด่งดังในยุค 80 หรือ อนุสรา จันทรังษี เปิดเผยว่า ตนเองรู้จักกับนางสาวแอมผ่านเซลล์ ขายบ้าน ซึ่งในช่วงปี 2563 ได้มีการประกาศขายบ้านหรือปล่อยเช่าบ้านในพื้นที่ปทุมธานี ซึ่งเป็นบ้านติดทะเลสาปเล็กๆ โดยประกาศขายในราคา 55 ล้านบาท ปรากฏว่านางสาวแอมได้มีการติดต่อผ่านเซลล์ เพื่อเข้ามาขอดูบ้าน ตนเองก็พาเยี่ยมชม ตอนแรกเจ้าตัวบอกว่าจะขอเช่าเดือนละ2-3แสน บาท แต่เมื่อเดินดูบ้านแล้วปรากฏว่าเปลี่ยนใจขอซื้อ แต่ไม่ได้มีการซื้อเป็นเงินสด ซึ่งจะมีการวางเงินดาวน์ 1 ล้านบาท โดยเจ้าตัวอ้างในขณะนั้นว่ามีเงินในบัญชี 5ล้าน แต่ขอใช้หมุนเวียนสำหรับการเทรดหุ้น จึงขอวางเงินดาวน์เพียง 1ล้าน ซึ่งจะจ่ายเป็นเช็ค แล้วจำนวนที่เหลือจะมีการจ่ายเองโดยไม่ต้องกู้ผ่านแบงค์ แล้วให้ทำสัญญาขึ้นมา ซึ่งจะจ่ายให้เดือนละ 250,000บาท โดยตนเองก็เห็นว่าเจ้าตัวเป็นคนเทรดหุ้น ขับรถหรูมาติดต่อซื้อบ้าน และดูโปรไฟล์ภาพรวมค่อนข้างเชื่อใจได้ จึงยอมทำสัญญาเพื่อที่จะลดขั้นตอนการกู้แบงค์ ยอมรับเป็นเงินสดทุกเดือน
จนกระทั่งช่วงเดือนมกราคม 2564 นางสาวแอมได้เข้ามาอยู่บ้าน พร้อมกับพาครอบครัวมาแนะนำและย้ายเข้ามาอยู่ โดยมีพ่อและแม่ รวมทั้งน้องชาย ซึ่งบอกว่าบ้านหลังนี้จะอยู่อาศัยกัน4คน หลังจากที่ทำสัญญาอะไรเสร็จแล้ว ก็อนุญาตให้เข้ามาอยู่ได้ และตัวของนางสาวแอมก็บอกว่าเรื่องของเงินดาวน์ได้มีการจ่ายเป็นเช็คเรียบร้อยแล้วจำนวน 1 ล้านบาท ซึ่งตนเองก็เห็นว่ามี SMS โทรเข้ามาที่มือถือ ในวันรุ่งขึ้นตั้งใจว่าจะไปกดเงินดังกล่าวออกมา แต่ปรากฏว่าเงินที่โชว์เข้ามาเป็นเพียงแค่ตัวเลข แต่ไม่มียอดโอนเข้ามา จึงได้ไปสอบถามอีกครั้ง ตัวของนางสาวแอมได้ออกเช็คใบใหม่ โดยอ้างว่าที่โอนไปก่อนหน้ามีปัญหา แต่ขอโอนก่อนเพียง 700,000 บาท แล้วจำนวนที่เหลือจะโอนเพิ่ม อ้างว่าเงินเอาไปหมุนเทรดหุ้นอยู่
แต่สุดท้ายแล้ว ปรากฏว่าเงิน 700,000 บาทก็ไม่เข้าบัญชีเหมือนเดิม มีเพียงแค่ SMS เตือนเข้ามา แต่เงินไม่มีจริง และตนเองก็พยามทวงถาม เจ้าตัวก็บ่ายเบี่ยงอ้างไปเรื่อย จนกระทั่งอยู่ครบเดือน นางสาวแอมได้มีการโอนเงินจำนวน 250,000 บาทเข้ามาในบัญชี ซึ่งตัวเองก็เห็นว่ามีการจ่ายจริง ก็คงไม่มีปัญหาอะไรเกี่ยวกับเงินดาวน์หรือเงินรายเดือน จึงปล่อยผ่านเข้าสู่เดือนที่ 3,4,5 แต่ปรากฏว่าหลังจากที่มีการโอนเดือนแรกเข้ามาแล้ว ไม่มีโอนเพิ่ม ไม่มีท่าทีว่าจะโอน ไม่ว่าจะเป็นเงินดาวน์หรือเงินรายเดือน ตนเองก็พยามติดตามทวงถาม แต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบ จนกระทั่งตนเองไปที่บ้านบ่อยครั้ง นางสาวแอมถึงกับจ้างการ์ด2คน มาเฝ้าที่หน้าบ้าน ซึ่งตนเองก็งงว่าบ้านของตนเองแต่เข้าไม่ได้ จึงพยามหาวิธีการอื่น แต่ก็เข้าไม่ได้เพราะเนื่องจากมีทั้งการทำสัญญากับผู้ชื้อแล้วทำให้กรรมสิทธิ์เปลี่ยนไป
และเมื่อเข้าสู่เดือนที่ 7,8 ก็ยังไม่มีการจ่ายเงินเพิ่ม ไม่มีการโอนเงินดาวน์ และที่สำคัญบ้านหลังดังกล่าวตัวของนางสาวแอมก็อยู่อาศัยกับครอบครัว ใช้ชีวิตเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ไม่มีการจ่ายค่าไฟเกือบ90,000บาท ช่วง 8 เดือนที่อยู่ นำซ้ำไม่มีการจ่ายค่าน้ำซึ่งติดค้างอยู่ราว 30,000 บาท และตนเองในฐานะที่เป็นเจ้าของบ้าน เอาปัญหาดังกล่าวไปคุยกับการไฟฟ้าและการประปา เพื่อที่จะให้มีการตัดน้ำตัดไฟ แต่ปรากฏว่าหน่วยงานอ้างว่าเป็นช่วงผ่อนปรนโควิด ไม่จ่ายก็ไม่ยกหม้อ เพราะเป็นช่วงช่วยเหลือประชาชน จึงทำให้ตนเองทำอะไรไม่ได้ แต่ท้ายที่สุดได้มีการเอานักข่าวไปกดดันที่หน้าบ้าน แล้วตัวของนางสาวแอมพร้อมครอบครัวอายก็เลยย้ายหนี
ภายหลังที่นางสาวแอมย้ายออกไป จนถึงปัจจุบันตนเองก็ยังไม่ได้เงินดาวน์และไม่ได้เงินที่อ้างว่าจะจ่ายในตลอดช่วงที่อยู่บ้าน และค่าน้ำค่าไฟตนเองก็ต้องรับผิดชอบเองทั้งหมด ที่สำคัญยังต้องซ่อมแซมบ้านที่เสียหาย โดยนางสาวแอมอยู่อาศัยแบบไม่รักษาบ้าน พื้นปูนหรือเฟอร์นิเจอร์เสียหาย มีการซ่อมแซมเกินไปกว่า 400,000 บาท , แต่สิ่งที่น่าแปลกใจคือ การที่นางสาวแอมย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังดังกล่าว มีการตัดต้นไม้ราคาแพงของตนเองทิ้งทั้งหมด ทำเป็นลักษณะบ้านที่โล่งเตียน ไม่มีต้นไม้ และหญ้าทยอยพากันตาย และก่อนหน้านี้ตนเองก็ไปสืบทราบว่า นางสาวแอมไปเช่าอยู่บ้านหลังอื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน เป็นบ้านหรูราคาแพง แต่เมื่อเข้าอยู่อาศัยแล้วก็มีการตัดต้นไม้ทิ้งคล้ายกัน จึงไม่รู้ว่าเป็นพฤติกรรมอะไร ที่เวลาเข้าอยู่อาศัยแล้วชอบตัดต้นไม้บ้านคนอื่น
อย่างไรก็ตาม กบ อนุสรา ยังมีการแฉพฤติกรรมการเข้าถึงคนมีเงินและสังคมคนรวยของนางสาวแอม ว่า เจ้าตัวมักจะเลือกหมู่บ้านหรู หรือสังคมที่เป็นสังคมคนมีเงิน ทำทีไปเช่าหรือซื้อ เพื่อเข้าไปอยู่ในหมู่บ้านของคนมีเงิน พาหมาออกไปจูงวิ่งเล่น และเข้าฟิตเนส เพื่อที่จะไปเข้าสมาคมกับบรรดาคนมีเงิน ก่อนที่จะออกอุบายให้มีการลงทุนหรือเทรดหุ้น แล้วมีผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อ หลังจากที่มีผู้เสียหายเกิดขึ้นในหมู่บ้านนั้นๆ ก็จะย้ายหนีไปเช่าหรือซื้อที่อื่น , และเวลาที่อยู่บ้าน ก็มักจะไปเช่ารถหรูราคาแพงเอามาจอดหรือใช้ มีการถ่ายรูปลง เพื่อสร้างโปรไฟล์ความน่าเชื่อถือ
และนอกจากนี้ ทีมข่าวยังได้พูดคุยกับ นายธเนตร สามีของกบอนุสรา อดีตดารา ซึ่งนอกจากตัวของอดีตดาราจะถูกหลอกเกี่ยวกับการซื้อบ้าน55 ล้านจากแอมแล้ว ยังพบว่าสามีของกบก็ยังถูกหลอกหมดเงินไปกว่า6 ล้านบาทเช่นกัน
นายธเนตร เผยว่า ตนเองรู้จักกับนางสาวแอมเพราะเนื่องจากเป็นลูกค้าที่มาติดต่อซื้อบ้านจากกบแฟนสาว โดยตนเองไปรู้จักเพราะเนื่องจากมีการย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านของตนเองแล้วในช่วงต้นปี 2564 และช่วงระหว่างนั้นเข้าใจว่านางสาวแอมเชี่ยวชาญและมีเงินชื้อบ้าน 55ล้าน มีรถหรูขับ เพราะเนื่องจากได้กำไรและมีรายได้จากการเทรดหุ้น ตัวของนางสาวแอมก็ได้มาเริ่มชักชวนให้ตนเองลงทุนและเทรดหุ้นด้วยกัน ซึ่งตอนนั้นมีหุ้นของบีทีเอช ที่กำลังจะเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยเจ้าตัวเอาแผนผังของหุ้นมากางให้ดู โดยบอกว่าตอนนี้สามารถซื้อได้ในราคา 5 บาท และหลังจากที่เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แล้วราคาจะเพิ่มขึ้น ตนเองจึงไว้ใจเพราะเป็นลูกค้าที่ซื้อบ้านประกอบกับเชี่ยวชาญเรื่องหุ้น มีการฝากเงินสดให้จำนวน2ล้านบาท
และระหว่างทาง หลังจากที่มีการฝากลงทุนไปแล้ว2ล้าน นางสาวแอมก็มาชักชวนเล่นหุ้นตัวอื่น โดยจะเทรดหุ้นให้ ซึ่งทุกครั้งที่ได้กำไรจะแบ่งกัน โดยส่วนแบ่งตนเองจะได้ 75% ส่วนนางสาวแอมในฐานะที่เป็นคนเล่นหุ้นให้จะได้ส่วนแบ่งจากกำไร 25% และมีเงื่อนไขว่าหากหุ้นตกหรือติดลบ นางสาวแอมจะชดใช้ส่วนที่ติดลบ โดยตนเองก็มองว่าไม่ได้เสียหายอะไรเพราะเนื่องจากนางสาวแอมก็เชี่ยวชาญเรื่องการเทรดหุ้นอยู่แล้ว อย่างน้อยก็ทำให้มีกำไรจากการเทรดหุ้น จึงได้มีการเติมเงินเข้าไปในพอต (ยูสเชอร์) ของตัวเอง10ล้านบาท แล้วเอาพอต ซึ่งเป็นชื่อล็อกอินพร้อมพาสเวิร์ดให้นางสาวแอมเอาไปใช้ ในการซื้อและเทรดหุ้น โดยช่วงระหว่างนั้น นางสาวแอมได้เอาเงิน 10 ล้าน ไปซื้อหุ้นหลายตัว ตอนแรกก็มีกำไรคืนกลับมาหลายแสน แต่พอผ่านไปซักระยะ ปรากฏว่าหุ้นร่วงทุกตัว ตนเองจึงตัดสินใจที่จะขายออก ซึ่งจากเดิมที่เติมเงินเอาไว้ 10 ล้าน ตัดสินใจขาย (ขาดทุน) ถอนออกมาตอนนั้น 6 ล้าน จึงติดลบเพราะการเทรดหุ้นของนางสาวแอม 4 ล้าน
และระหว่างทางตนเองนึกขึ้นได้ว่าเคยฝากเทรดหุ้นของบีทีเอช หลังจากที่เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แล้วตัวเลขของหุ้นเพิ่มขึ้น จึงได้ไปสอบถามว่าเงินที่ฝากลงทุนก่อนหน้านี้ 2 ล้าน ได้กำไรเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ เพื่อที่จะปิดแล้วเอาเงินคืนมาแทน4ล้านที่เสียไป แต่ปรากฏว่านางสาวแอมอ้างและบ่ายเบี่ยง ทำนองว่าพอตมีปัญหา หรือเข้าสู่ระบบไม่ได้ พร้อมกับบ่ายเบี่ยงไปเรื่องอื่น จึงทำให้ตนเองเริ่มเอะใจ และพยามที่จะขอดู สุดท้ายมารู้ความจริงว่าเงิน 2 ล้าน ไม่ได้เอาไปลงทุน และไม่ได้มีการซื้อหุ้นตามที่มีการพูดเอาไว้ แต่เอาเงินไปใช้สูญเปล่า ตนเองจึงไหวตัวทัน แล้วพยามที่จะไปทวงเงินคืน ประกอบกับแฟนของตนเองก็มีปัญหาเรื่องการจ่ายเงินค่าบ้าน จึงมองว่าเริ่มถูกหลอกแล้ว ก็เลยมีการบุกไปที่หน้าบ้าน เพื่อที่จะไปทวงถาม แต่เจ้าตัวก็ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ใช้ชีวิตเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนนำไปสู่ตนเองต้องพานักข่าวไปบุกบ้านในปีดังกล่าว เพื่อที่จะกดดันให้ออกจากบ้าน
และภายหลังที่นางสาวแอมขนย้ายทรัพย์สินพร้อมกับคนในบ้านออกไปแล้ว ก็ได้มีการจ้างทนายเพื่อฟ้องดำเนินคดีเรียกค่าเสียหายกับเงินที่ถูกหลอก และเงินที่สูญไป โดยล่าสุดเพิ่งขึ้นศาลนัดแรกเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นางสาวแอมใช้ความน่าสงสาร หอบลูกจูงแม่แก่ๆ มาให้ศาลเห็นใจโดยอ้างว่ามีเงินติดตัวเพียงแค่ 20,000 บาท ซึ่งศาลก็เห็นใจ ยอมให้นางสาวแอมชดใช้ 20,000 บาท เป็นระยะเวลา 2 ปี เพื่อชดใช้หนี้ 2ล้านบาท และพฤติกรรมของนางสาวแอมตนเองเข้าใจว่าจบแล้ว จนกระทั่งมาเห็นช่อง 8 นำเสนอข่าวเมื่อคืนนี้ จึงมองว่าพฤติกรรมยังไม่จบ นอกจากจะทำกับครอบครัวตนเองแล้วยังไปทำกับคนอื่น ดังนั้น เมื่อเกิดพฤติกรรมซ้ำซาก ตนเองจึงไม่อยากได้เงินคืนแล้ว แต่อยากให้ติดคุก เพื่อที่จะไม่ออกมาก่อเหตุแบบนี้กับใครอีก ไม่เช่นนั้นก็จะมีผู้ตกเป็นเหยื่ออีกไม่ซ้ำหน้า
ขณะเดียวกัน ทีมข่าวยังพบประวัติของนางสาวแอมที่มีการก่อคดีในช่วงปี 2560 ถึง 2563 ซึ่งพบว่าช่วงเวลาดังกล่าวก็มีคดีอีกไม่ต่ำกว่า 15 คดี ที่เกี่ยวข้องกับคดีฉ้อโกงและตัวการฉ้อโกง ยักยอก โดยคดีส่วนใหญ่นั้นเข้าสู่ในกระบวนการในชั้นศาลไปบางส่วนแล้ว แต่ก็ได้รับการประกันตัวทุกคดีด้วยวงเงินประมาณ2-3แสนบาท
ทีมข่าวตรวจสอบพบว่าภายในพื้นที่ดอนเมือง ซึ่งเป็นโรงเรียนเก่าสมัยมัธยมศึกษา นางสาวแอมได้เรียนอยู่ที่โรงเรียนในย่านดอนเมือง ซึ่งในช่วงปี 2560-2563 ได้มีการย้อนมาก่อคดีในพื้นที่ดอนเมือง โดยไปชักชวนอดีตเพื่อนที่เรียนด้วย รวมทั้งครูในโรงเรียน ให้มีการลงทุนเล่นหุ้น จนกระทั่งกลายเป็นผู้เสียหายไม่ต่ำกว่า 5 คน
ด้านนางสาวชนก อดีตครูผู้สอนของนางสาวแอม เปิดใจว่า คดีของตนเองและครูคนอื่นเกิดขึ้นในปี 2562 ซึ่งสมัยนั้นนางสาวแอมย้อนกลับมาเยี่ยมครูที่โรงเรียน ซึ่งก็มีการใช้รถหรูขับเข้ามา พร้อมกับของฝากติดไม้ติดมือมาเยี่ยมครูหลังเรียนจบ และครูก็ได้มีการสอบถามเกี่ยวกับสารทุกข์สุกดิบ โดยนางสาวแอมก็พูดทำนองว่าตอนนี้ร่ำรวยจากการเล่นหุ้น และพยายามชักชวนให้ครูไปร่วมลงทุน โดยอ้างว่า ลงทุน 100,000 จะได้ปันผล 1ล้านบาท ซึ่งทำให้มีครูในโรงเรียน3คน กลายเป็นเหยื่อ หนึ่งในนั้นก็คือตนเอง ที่เห็นแก่เงินและผลตอบแทน จึงได้มีการทยอยลงทุนโอนครั้งละแสน หรือหมื่น รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 1,100,000บาท และระหว่างทางตนเองก็รอเงินปันผล แต่ตัวของนางสาวแอมก็บ่ายเบี่ยงและอ้างว่ารอเงินออก จนกระทั่งตนเองขอเงินมาใช้จ่ายจำนวนหนึ่งคือ 35,000 บาท แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้เงินคืนอีกเลย
และตัดสินใจจับเขาพูดคุยกับครูคนอื่นพร้อมกับเพื่อนนักเรียน ปรากฏว่าทราบพฤติกรรมลักษณะคล้ายกัน ลงทุนแล้วไม่ได้ปันผลหรือไม่ได้เงิน จึงพากันรวมตัวกันไปแจ้งความที่โรงพัก สน.ดอนเมือง ในคดี”ฉ้อโกง” ซึ่งในวันดังกล่าวมีครูในโรงเรียน 3 คน อดีตเพื่อนนักเรียน ที่เรียนห้องเดียวกันกับนางสาวแอม1คน และผู้เสียหายซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่ดอนเมืองแต่รู้จักกับนางสาวแอมอีก1คน รวมในวันที่ไปแจ้งความ ทั้งสิ้น5คน โดยสิ่งที่น่าตกใจคือ ครูในโรงเรียนหนึ่งในนั้นที่ถูกหลอกคือครูประจำชั้น ซึ่งหมดเงินไปประมาณ 700,000 บาท เป็นเงินเก็บก้อนสุดท้ายก่อนเกษียณ ซึ่งทุกวันนี้หลังเกษียณก็ไม่มีเงินใช้ เพราะถูกนางสาวแอมหรอก และสิ่งที่ไม่คิดว่าจะทำคือ ไม่หรอกเพื่อนที่เรียนด้วยกันหมดเงินไปเกือบล้าน ซึ่งหลังจากที่คดีของกลุ่มตนเองคืบหน้า ตำรวจฝากขัง นางสาวแอมก็มีการประกันตัวเองออกมาในวงเงิน 2 แสนบาท และกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ และยังมีการไปหลอกคนอื่นจนกระทั่งเป็นข่าวอยู่ในตอนนี้
โดยส่วนตัวไม่รู้เหมือนกันว่า จะต้องทำอย่างไรกับคนแบบนี้ เพราะเคยก่อคดีแต่ก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วถ้าหากไปดูประวัติในคดีเก่าก็จะเกี่ยวข้องกับฉ้อโกงทั้งหมด และเวลาที่มีผู้เสียหายเกิดขึ้น เจ้าตัวก็ไม่เคยเกรงกลัวต่อกฎหมายหรือตำรวจ เสมือนขึ้นโรงพักเป็นว่าเล่น และเคยขู่กลุ่มผู้เสียหายว่า “อยากได้เงินคืนแน่จริงก็ไปแจ้งความเลย”