กรณี นายนนทกิตติ์ เล่นแอปฯหาคู่ ได้เจอกับนางสาวแอม กระทั่งพูดคุยกัน และร่วมลงทุนสูญเงินกว่า 375,000 บาท ตามที่ทีมข่าวช่อง 8 ได้นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ต่อมาทีมข่าวได้ทราบว่าเหยื่อของนางสาวแอมไม่ได้มีเพียงแค่คนเดียว แต่มีหลายรายที่ถูกหลอก ไม่เว้นแม้กระทั่งครูที่โรงเรียนที่นางสาวแอเคยเรียนด้วย แถมนางสาวแอมยังเคยเปลี่ยนชื่อ-สกุลมาแล้วหลายครั้ง
ล่าสุดทีมข่าวยังได้เดินทางไปพบกับ นางสาวจิราภรณ์ อายุ 43 ปี น้าสาวของนางสาวแอม ซึ่งเธอคืออีกหนึ่งผู้เสียหายที่ถูกนางสาวแอมหลอกยืมเงิน โดยเธอเล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้เมื่อ 4 ปีก่อน นางสาวแอมได้เดินทางมาที่บ้าน โดยมาพร้อมกับพ่อและแม่นางสาวแอมซึ่งเป็นญาติสนิทกัน จากนั้นนางสาวแอม ได้เอ่ยปากขอยืมเงินจำนวน 7 แสนบาท อ้างว่า จะนำไปลงทุนเปิดร้านชาบู ตนเองด้วยความสงสารและเห็นว่าเป็นญาติสนิทกันจึงได้ทำสัญญากู้ยืมเงินให้นางสาวแอม โดยไม่คิดค่าดอกเบี้ยสักบาท โดยนางสาวแอมรับปากว่าจะหาเงินมาคืนให้ภายใน 1 เดือน
แต่เมื่อถึงเวลาคืนเงิน ช่วงแรกนางสาวแอมได้เซ็นเช็กให้ 2 ใบ จำนวน 3 แสน และ 4 แสน แต่เมื่อนำเช็คไปขึ้นเงินกลับพบว่า เช็คเด้ง ตนเองจึงเดินทางไปทวงเงินนางสาวแอมที่บ้าน แต่ทวงไปหลาย 10 ครั้งแล้ว นางสาวแอมก็ไม่ยอมจ่าย และครั้งสุดท้าย แอมบอกว่า อยากได้ก็ไปฟ้องเอา
จากนั้นตนเองจึงแจ้งความกับตำรวจดำเนินคดีกับนางสาวแอม ก่อนที่จะนำเรื่องเข้าสู่ศาลและฟ้องร้องค่าเสียหาย สุดท้าย ผ่านไป 4 ปีเต็ม นางสาวแอมได้จ่ายเงินมาให้ประมาณ 3 แสนกว่าบาท เหลืออีก 4 แสนกว่า ยังไม่ได้คืน จนตนเองและสามีรู้สึกเหนื่อยหน่ายที่จะต้องไปขึ้นศาล เพราะแอม ผลัดจ่ายมาเรื่อยๆ
และล่าสุดตนเองทนไม่ไหว จึงได้แจ้งกับศาลไปว่า ไม่ต้องการเงินแอมแล้ว และขอให้ศาลสั่งให้แอมติดคุกไปเลย ซึ่งแอมก็ถูกศาลสั่งติดคุกประมาณ 3 เดือน แต่ไม่เคยติดจริง และได้ประกันตัวออกมา ซึ่งตนเองก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ถือว่าเป็นเวรกรรม โดยตนเองประกาศขอตัดญาติกับแอมและครอบครัวแอมไปแล้ว และขอให้แอมอย่าไปหลอกลวงใครอีกเลย บาปกรรมมันมีอยู่จริง
วันนี้ (28 ส.ค.) ทีมข่าวช่องแปด ติดตามความคืบหน้าอีกครั้ง ซึ่งได้เดินทางไปเจอกับนางสาวกี้ อายุ28ปี อดีตเพื่อนร่วมชั้นของนางสาวแอม และยังเคยเป็นอดีตหัวหน้าฉันตอนสมัยโรงเรียนเก่าย่านดอนเมือง ในฐานะผู้เสียหาย ซึ่งถูกนางสาวแอมหลอกเงินไปเมื่อปี 2562 เป็นเงินจำนวน 100,000 บาท โดยอ้างว่าจะมีการให้ร่วมลงทุนซื้อหุ้น และในจำนวน 100,000 บาทจะได้ปันผล1ล้านบาท จึงทำให้ตนเองหลงเชื่อ แล้วยังเป็นตัวกลางพานางสาวแอมไปรู้จักกับเพื่อนคนอื่น รวมทั้งพากลับไปเยี่ยมครูในโรงเรียน จนเป็นเหตุทำให้เหตุการณ์ในช่วงปี 2562 มีครูและเพื่อนคนอื่น รวมทั้งสิ้น6คน รวม5คดี ซึ่งมีการแจ้งความเอาไว้ที่โรงพัก สน.ดอนเมือง กรุงเทพ โดยมีการแจ้งข้อกล่าวหาต่างกรรมต่างวาระ ซึ่งมีการแจ้งข้อกล่าวหา “ฉ้อโกง” หลังจากนั้น เรื่องส่งไปยังศาล ได้มีการขึ้นศาลแขวงพระนครเหนือ ปรากฏว่านางสาวแอมได้มีการหาเงินก้อนจำนวนหนึ่ง คือ 200,000 บาท ประกันตัวออกไปทันที
นางสาวกี้ เปิดใจกับทีมข่าวช่องแปด ด้วยอาการเสียงสั่นเครือ ว่า ก่อนหน้านี้หลังจากที่จบชั้นมัธยมศึกษาปี6 ตนเองกับนางสาวแอมก็แยกย้ายกันไปมีชีวิตในรู้ว่ามหาวิทยาลัย ซึ่งนางสาวแอมได้ไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยย่านบางนา แต่ตนเองเรียนอยู่ในพื้นที่ดอนเมือง จนกระทั่งผ่านไปเกือบ 6ปี นางสาวแอมทัก Facebook มาหาตนเอง ทำนองว่าไม่ได้เจอเพื่อนเก่านานอยากเจอ อยากคุยด้วย ไปเรียนที่ใหม่ไม่มีเพื่อน เพราะสังคมต่างจากที่อยู่ ตนเองจึงมีโอกาสได้เจอกับนางสาวแอม ซึ่งการเจอกันในรอบ6ปี นางสาวแอม ก็มีฐานะที่ดีขึ้นมีการใช้รถหรูและแต่งตัวดี พร้อมกับมาแนะนำว่ากำลังประกอบอาชีพเกี่ยวกับการเทรดหุ้นจึงทำให้มีเงินใช้และรวยจนทุกวันนี้
โดยการกลับมา จึงทำให้ตนเองดูจากภูมิฐานที่ดีขึ้น จนหลงเชื่อมีการร่วมลงทุนประมาณ100,000บาท ซึ่งก็เป็นเงินเก็บในช่วงที่เรียนจบใหม่ จากนั้นก็เป็นคนพาไปแนะนำให้ครูในโรงเรียนรวมทั้งรุ่นพี่ที่เป็นช่างภาพอิสระ รวมถึงเพื่อนกลุ่มอื่นได้รู้จัก แล้วการพาไปแนะนำให้รู้จักนั้นจึงกลายเป็นเหยื่อแล้วถูกหลอกไปด้วยกันทั้งหมด แต่สิ่งที่ผิดสังเกต ตนเองได้สอบถามเกี่ยวกับกลุ่มเพื่อนในอดีตหลายคน ซึ่งถามว่านางสาวแอมได้ติดต่อใครบ้าง เจ้าตัวอ้างว่าไม่ได้ติดต่อใคร และตนเองพยามที่จะติดต่อหาเพื่อนบางกลุ่ม เจ้าตัวรีบกีดขวางแล้วสั่งห้ามไม่ให้คุย ซึ่งตอนแรกก็ไม่ได้เอะใจอะไร จนกระทั่งมานึกได้ตอนหลังว่าคนพวกนั้นถูกหลอกไปหมดแล้ว จึงกีดกันไม่ให้ตนเองไปติดต่อเป็นการส่วนตัว หากตนเองโทรกลับไปในช่วงวันนั้นก็คงจะรู้ความจริงทั้งหมด
และหากย้อนกลับไปในช่วงที่เรียนชั้นมัธยมฯ ยอมรับว่านางสาวแอมเป็นคนที่ขยันทำมาหากิน และขยันที่จะหาของมาขายในห้องเรียน เพื่อที่จะหารายได้เสริม และที่สำคัญตัวของนางสาวแอมก็เป็นคนทะเยอทะยาน แต่ก็ไม่มีพฤติกรรมที่จะหลอกลวงหรือโกงใคร เพราะแม่ของนางสาวแอมก็เป็นแม่ค้าขายผักธรรมดา จึงไม่มีใครคาดคิดว่าจะโตขึ้นมาแล้วจะเป็นคนแบบนี้
หลังจากที่เรียนจบแล้วไปเรียนที่มหาวิทยาลัยดังย่านบางนา ก็เข้าใจว่าอาจจะไปมีสังคมใหม่ แล้วทำให้ต้องมีการกดดันตัวเองแล้วทะเยอทะยานสูง จึงใช้วิธีการนี้เพื่อหลอกเงินคนอื่นหรือใช้เป็นกลวิธีหาเงินทางลัด ซึ่งส่วนตัวก็ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ขนาดนี้ จนกระทั่งได้ตัดสินใจแอบโทรไปถามเพื่อนกลุ่มเก่าที่นางสาวแอมสั่งห้ามไม่ให้โทร ปรากฏว่ารู้ความจริงว่าก็ถูกหลอกเช่นเดียวกับตนเอง แต่นางสาวแอมไหวตัวทันได้มีการคืนเงินต้น แล้วไม่ต้องการให้เป็นคดี จึงพยามเข้าไปเคลียร์เงิน จึงเข้าใจว่าช่วงปี 2560 ที่เริ่มก่อเหตุตอนแรก ได้มีการเคลียร์เงินให้กับผู้เสียหาย จึงทำให้เรื่องไม่บานปลาย แต่ช่วงหลังเข้าใจว่าขึ้นโรงขึ้นศาล จนกระทั่งมีความชำนาญ จึงไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย แล้วใช้วิธีการเดิม อ้างว่าไม่มีเงิน จะชดใช้ ขอไกล่เกลี่ย เพื่อขอให้มีการถอนแจ้งความ หรือเตรียมเงินก้อนไว้ประกันตัวหากมีคดี หรือสร้างความน่าสงสารให้ศาลเห็นว่ามีลูกมีแม่แก่ ซึ่งก็เป็นพฤติกรรมเดิมที่ใช้เป็นไม้ตาย แล้วยังคงก่อเหตุซับซ้อนและซ้ำซากจนถึงทุกวันนี้
อย่างไรก็ตาม นางสาวกี้ เผยอีกว่า จากพฤติกรรมของนางสาวแอมที่ก่อนหน้านี้เริ่มต้นก่อเหตุจากเพื่อนในโรงเรียนสมัยมัธยม เริ่มไปก่อเหตุกับเพื่อนในรั้วมหาวิทยาลัย จนกระทั่งเริ่มมาตีสนิทเข้าสังคมไฮโซแล้วไปหลอกคนมีเงิน จนกระทั่งสุดท้ายคาดว่าน่าจะหมดหนทางหรือเหยื่อ จึงหันไปเล่นแอพพลิเคชั่นหาคู่แล้วไปหลอกคนในแอพ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ไม่มีคนรู้จัก แต่สร้างโปรไฟล์ให้น่าเชื่อถือ เพราะคนที่อยู่รอบข้างถูกหลอกกันไปหมดแล้ว จึงต้องหันไปหาคนที่ไม่รู้จักแล้วไปหลอกลวงคนอื่นแทน
ต่อมา เพจบิ๊กเกรียนได้โพสต์ว่าจะพาผู้เสียหายที่เป็นเหยื่อของนางสาวแอมไปขึ้นศาลในวันที่ 29 ส.ค.
โดยทนายเจมส์ได้ออกมาชี้แจงว่าเรื่องฉ้อโกงจริงๆแล้วสามารถยอมความได้ อยู่ที่ว่าจะมีการเจรจากันยังไง ตัวของผู้ต้องหาถูกแจ้งความหลายสิบคดี แต่ถ้าผู้เสียหายม่ติดใจเอาความ หรือมีการถอนแจ้งความ ก็มีอันที่คดีจะต้องยุติ