จากกรณี มีการหายตัวไปของทั้ง 5 คน ที่เป็นเครือญาติกัน คือนางอุษา อายุ 43 ปี , น.ส.ชนนิกานต์ หรือ บีม อายุ 22 ปี , น.ส.ญาสุมินร์ หรือ รุ้ง อายุ 22 ปี , ด.ช.พรพิพัฒน์ หรือ ฟอร์ด อายุ 13 ปี และด.ญ. ศิรประภา หรือ ฟ้าใส อายุ 13 ปี โดยทั้ง 5 คน หายออกจากบ้านไปพร้อมกับ นายลมกรด แสงสว่าง หรือ แบงค์ อายุ 36 ปี ซึ่งเป็นแฟนหนุ่มของ น.ส.ชนนิกานต์
ความคืบหน้าที่สภ. ท่าศาลาช่วงเช้าที่ผ่านมา หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวนายแบงค์ ลมกรดเข้าไปสอบปากคำ และได้ให้นายแบงค์ ปรึกษากับทนายตามสิทธิ์ของผู้ต้องหาแล้ว ในระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวนายแบงค์ ลมกรด เข้าห้องคุมขัง ก่อนที่จะนำตัวฝากขังศาลในวันพรุ่งนี้
นายแบงค์ ลมกรดได้บอกกับทีมข่าวว่า ตอนนี้ตนยังไม่ขอพูดอะไร จะไปให้การในชั้นศาลเท่านั้น เรื่องทั้งหมดตัวเองจะมาเปิดเผยในภายหลัง และยอมรับว่าเครียดมากหลังจากถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวมาดำเนินคดี เมื่อบอกว่า นางอุษา อยากพูดคุยด้วย นายแบงค์ได้ตอบกลับมาว่า ให้ไปพูดคุยเรื่องทั้งหมดกันในชั้นศาล
ทีมข่าวจึงถามนายแบงค์ ว่าเรื่องทั้งหมดได้หลอกครอบครัวนางอุษาไหม นายแบงค์ยังพูดอีกว่า “เมียใคร ใครก็รัก จะไปหลอกทำไม” และยอมรับว่าตอนนี้เครียดเรื่องต่อสู้คดีมากๆ
ขณะที่ นายบุญฤทธิ์ พรหมดนตรี ทนายความของนายลมกรด กล่าวว่า ขณะนี้นายแบงค์ มีความเครียด เนื่องจากถูกควบคุมตัวมาดำเนินคดีในต่างถิ่น ไม่มีญาติอยู่หรือครอบครัวอยู่ที่นี่ ซึ่งทางครอบครัวของนายแบงค์ได้วานขอให้ทนายช่วยดูแลในเรื่องของคดีความ และให้ทนายความอยู่ด้วยในชั้นพนักงานสอบสวน เพราะเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม แนวทางการต่อสู้คดีตอนนี้นายแบงค์ยังคงปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และขอไปให้การทั้งหมดในชั้นศาล ซึ่งนายแบงค์ยังยืนยันว่าตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์เรื่องทั้งหมดตรงกันข้ามทั้งหมดในทุกเรื่องที่ถูกกล่าวหา
โดยยืนยันว่าเป็นการยินยอมพร้อมใจไปด้วยไม่ใช่การหลอกลวง ไม่มีการข่มขู่และอยากจะพิสูจน์ตัวเอง ตอนนี้ที่นายแบงค์ยังไม่อยากคุยกับสื่อเพราะว่าเครียดถึงขั้นคิดที่จะฆ่าตัวตาย
เพราะไม่ญาติอยู่ที่นี่ แนวทางการสู้คดีไม่รู้จะทำอย่างไร และเรื่องเงินทองไม่รู้จะติดต่อใครยังไง ทนายยังยืนยันกับผู้สื่อข่าวว่าที่เข้ามาดูคดีเพื่อให้ความเป็นธรรมเกิดขึ้นในสังคมไม่ได้จะมาเพื่อฟอกผิดให้เป็นถูก
เวลา 10.00 น. ระหว่างที่ตำรวจกำลังสอบปากคำนายแบงค์ ลมกรดนั้น ปรากฏว่านางอุษา อายุ 43 ปีและนางสุจิต อายุ75ปี แม่อุษา ได้เดินทางมาที่ สภ.ท่าศาลา
โดยนางอุษา ให้สัมภาษณ์ว่า ตัวเองทราบข่าวว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ จับนายแบงค์ ลมกรด ได้เมื่อวาน ยอมรับว่ารู้สึกดีใจ และสบายใจขึ้นมาก ซึ่งก่อนหน้านี้ที่ยังจับนายแบงค์ไม่ได้ ตัวเองและครอบครัวก็รู้สึกระแวง ไม่กล้าออกจากบ้าน กลัวนายแบงค์ จะมาประสงค์ร้ายกับพวกตัวเองอีก
ที่ตัวเองมาโรงพักวันนี้เพื่ออยากจะเจอหน้านายแบงค์ และอยากจะถามเขาว่า “มาทำร้ายครอบครัวตัวเองทำไม” ที่ผ่านมาคำพูดกับการกระทำของนายแบงค์ สวนทางกันมาตลอด ทำให้ตัวเองหลงเชื่อแล้วไปกับเขา
ที้งนี้ตัวเองก็อยากขอบคุณ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ช่วยจับกุมตัวนายแบงค์ และช่วยเหลือครอบครัวตัวเองตลอดมา รวมทั้งขอบคุณนักข่าว ที่ข่วยเหลือครอบครัวตัวเอง
เหตุครั้งนี้ ตัวเองก็อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ไปสอบสวน ผู้หญิงเสื้อแดง ชาวจังหวัดชลบุรี ที่เป็นญาตินายแบงค์ เพราะตัวเองเชื่อว่า เขามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
ส่วนทางด้านนางสุจิต อายุ75ปี แม่อุษา ก็บอกว่า ถึงตำรวจจะจับตัวนายแบงค์ได้ แต่ตัวเองก็ยังโกรธนายแบงค์ เพราะอยากรู้ว่าที่ผ่านมา เขาพาลูกและหลานตัวเองไปทำไม เขาเคยบอกว่าเขารักหลานสาวตัวเอง แล้วเขาพาหลานสาวตัวเองไปลำบากทำไม
ขณะที่ พ.ต.อ.เกษมสิทธิ์ จำปาทอง รองผกก.สอบสวน สภ.ท่าศาลา กล่าวว่า เช้านี้ผู้ต้องหาใช้สิทธิ์ปรึกษาทนายและไม่ขอให้การในชั้นพนักงานสอบสวนจะขอไปให้การในชั้นศาลซึ่งเป็นสิทธิ์ของผู้ต้องหา
เบื้องต้นผู้ต้องหายังให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหา พรากผู้เยาว์ , ฉ้อโกง,หน่วงเหนี่ยวและข่มขืนใจ ซึ่งเมื่อคืนเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องหาไปพบแพทย์เนื่องจากมีโรคประจำตัว เป็นเบาหวาน ความดัน โรคเกาต์ และโรคหัวใจ ซึ่งแพทย์ได้ให้ยามาทาน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมีการดูแลอย่างใกล้ชิดให้ทานยาตามแพทย์สั่งเท่านั้น เนื่องจากผู้ต้องหามีความเครียด และมีความคิดที่จะฆ่าตัวตาย ซึ่งการดูแลก็เหมือนกับผู้ต้องหาทั่วไปแต่จะมีสิบเวรคอยตรวจสอบผู้ต้องหาอยู่เสมอ
ต่อมาทีมข่าวช่อง 8 เดินทางมายังสวนมังคุดของนายสุพจน์ อายุ 49 ปี สามีนางอุษา โดยนายสุพจน์ ให้สัมภาษณ์ทั้งน้ำตาว่า ตัวเองทราบข่าวแล้วว่านายแบงค์ถูกจับ แต่ตัวเองก็รู้สึกเฉยๆ และไม่อยากได้ยินชื่อนี้ เพราะตัวเองไม่ให้ค่าตั้งแต่แรกแล้ว
ที่ผ่านมานายแบงค์เป็นคนที่ทำให้ทุกอย่างวุ่นวาย ทำให้ครอบครัวของตัวเองฉิบหายไปหมด ทรัพย์สินตัวเองเสียหายไปกว่าล้านบาท
ในเรื่องของทรัพย์สินเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะได้คืนมา เพราะตั้งแต่เกิดเหตุ นายแบงค์ได้ให้นางอุษาภรรยาของตัวเอง เอารถกระบะเอาไปจำนำ แล้วนายแบงค์ก็เอาเงินไปใช้จ่าย ซ้ำยังเอาจักรยานยนต์ 2 คัน ไปเข้าไฟแนนซ์ ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวนายแบงค์ก็เอาไป อีกทำให้ครอบครัวเสียเงินไปเกือบล้านสูญไปทั้งหมด
ตอนนี้ถึงแม้นายแบงค์จะถูกจับแล้วก็ตาม ปัจจุบันรถกระบะที่เอาไปจำนำ ตัวเองต้องผ่อนกุญแจเปล่า ล่าสุดก็มีใบสั่งส่งมาที่บ้านว่ามีคนขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดที่จ.มหาสารคาม ทั้งที่ตัวเองยังไม่ได้จับรถกระบะเลยแต่คนอื่นเอาไปขี่ ซึ่งตัวเองก็อยากให้นายแบงค์มารับผิดชอบในสิ่งที่ทำไป แล้ววันนี้ต้องทำงานมาชดใช้หนี้ยอมรับว่าหมดแรงจูงใจที่จะต่อสู้ ถึงขั้นเคยคิดผูกคอตาย
ตอนนี้ทำงานไปเงินก็ไม่ได้ใช้ ยังทำใจไม่ได้บางวันก็ต้องหลบครอบครัวมาที่สวนมังคุด นายสุพจน์ ยังบอกกับผู้สื่อข่าวว่า นายแบงค์นั้นเอาทุกอย่างจากครอบครัวตัวเองไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินทอง นอกจากนี้ยังทำให้สภาพจิตใจครอบครัวแตกร้าวไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก ซึ่งตนไม่มีวันให้อภัยนายแบงค์ ในสิ่งที่ทำลงไป
ขณะเดียวกันวันนี้ ทีมข่าวได้มีโอกาสวิดีโอคอลไปหา นายจักรกฤษณ์ อายุ 31 ปี ซึ่งเป็นผู้เสียหายรายล่าสุดที่ถูกนายแบงค์ หลอกให้ขับรถไปส่ง และผู้เสียหายรายนี้ ก็เป็นคนที่วางแผนให้ตำรวจเข้าจับกุมนายแบงค์ ได้ในพื้นที่ สภ.เสม็ด จ.ชลบุรี
ซึ่งนายจักรกฤษณ์ เล่าว่า ตนเองมีอาชีพขับรถผ่านแอปฯ ในจังหวัดชลบุรี ที่ได้ไปเจอกับนายแบงค์ เป็นเพราะว่า เมื่อเวลาประมาณ 22.00 น. ของวันที่ 24 สิงหาคม นายแบงค์ เรียกใช้บริการผ่านแอปพลิเคชั่นให้ไปรับที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี กระทั่งเมื่อตนเองไปถึง ก็พบว่านายแบงค์ กำลังยืนรอรถอยู่กับนางบรรจง หรือสาวชุดแดง ตามที่ช่อง 8 เคยนำเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้ ซึ่งเมื่อได้เจอกับนายแบงค์ คำแรกที่เขาพูดออกมาก็คือ ไม่ต้องไปสนใจราคาในแอปพลิเคชั่น เดี๋ยวเขาจะกดยกเลิกและขอเหมาให้ไปส่งที่ อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช โดยให้ค่าจ้างในการเดินทางไปกลับรวมค่าน้ำมัน 11,000 บาท ซึ่งตอนนั้นในแบงค์ อ้างว่าเขาจะไปเดินเรื่องเอกสารเพื่อเบิกเงิน หากเบิกได้ไปถึงจะเคลียร์ค่าจ้างให้ทันที กระทั่งตนเองก็ตกลง แต่มีข้อแม้ขอให้น้องชายติดรถไปด้วย เนื่องจาก ระยะทางมันไกลต้องมีคนเปลี่ยนกันขับ ซึ่งนายแบงค์ ก็ตกลง เท่ากับระหว่างเดินทางไปที่ อ.ท่าศาลา เดินทางไปทั้งหมด 4 คน โดยเดินทางไปถึงที่ อ.ท่าศาลา ในเวลา 09.00 น. ของวันที่ 25 สิงหาคม ซึ่งเมื่อไปถึง นายแบงค์ ก็ให้ตนเองพาเข้าไปจอดที่ห้างฯสาขาท่าศาลา อ้างว่าจะไปเดินเอกสาร จากนั้นนายแบงค์ ก็ลงรถแล้วเดินเข้าห้างไปกับนางบรรจง ซึ่งทั้งคู่ใช้เวลาอยู่ในห้างโลตัส 3 ชั่วโมง
จนกระทั่งในเวลาประมาณ 12.00 น. ก็เดินกลับมาที่รถ จากนั้น นายแบงค์ ก็ให้ตนเองไปจอดรถตรงหน้าร้านอาหารที่น้องบีม เคยทำงานอยู่ พอไปถึงนายแบงค์ ก็โทรศัพท์คุยกับน้องบีมกับคนชื่อรุ้ง แต่จับใจความไม่ได้ว่าเขาคุยเรื่องอะไรกัน ซึ่งตอนนั้นยืนยันว่า ไม่เห็นทั้งน้องบีมกับน้องรุ้ง หรือนางอุษา ออกมาเจอกับนายแบงค์ กระทั่งเวลาผ่านไปถึง 14.00 น. นายแบงค์ ก็ให้ตนเองพาเข้าไปพักโรงแรมที่อยู่ใกล้กับร้านอาหารดังกล่าว แต่คืนนั้นทั้งคืนแบงค์ ไม่ได้เจอกับน้องบีม
จากนั้นพอถึงช่วงเช้าของวันที่ 26 สิงหาคม นายแบงค์ ก็ให้ตนเองขับรถพาไปที่ห้างฯ พอเสร็จจากห้างฯ ก็ให้พาไปที่ธนาคารแห่งหนึ่งสาขาท่าศาลา ซึ่งเขาอ้างเหมือนเดิมว่าติดปัญหาเอาเงินออกมาจากธนาคารไม่ได้ ซึ่งระหว่างที่วนไปวนมา ยืนยันว่าเขาคุยโทรศัพท์กับน้องบีม ทั้งวัน ส่วนนางบรรจง จะทำหน้าที่จัดแจงหาที่พักให้ ซึ่งตลอดการเดินทาง นางบรรจง มีพิรุธ เนื่องจากเขามีท่าทาง ลุกลี้ลุกลน เดินไปเดินมาไม่ยอมหลับยอมนอน จนทำให้ตนเองสงสัย
ซึ่งด้วยความสงสัยว่าสองคนนี้ มีท่าทางแปลกๆ ก็เลยตัดสินใจเปิดกระเป๋าของนายแบงค์ กระทั่งไปพบว่า ในกระเป๋านายแบงค์ มีแต่ เชือกไนลอน และซิมโทรศัพท์ไม่ต่ำกว่า 100 ซิม ตนเองจึงออกอุบายว่ามีธุระ ต้องเดินทางกลับชลบุรี กระทั่งเดินทางมาถึงชลบุรี ในเวลาประมาณ 06.00 น. ของวันที่ 27 สิงหาคม ซึ่งเมื่อมาถึง นายแบงค์ ก็ไม่ยอมจ่ายเงินอ้างว่าไม่สบาย ให้ไปส่งที่โรงพยาบาลชลบุรี แต่ตนเองไม่เชื่อ ก็เลยพานายแบงค์ ไปที่บ้านของตนเอง แต่เมื่อไปถึง นายแบงค์ ก็หาเงินมาจ่ายไม่ได้ ตนเองจึงขอถ่ายบัตรประชาชน ของทั้งสองคน ซึ่งนางบรรจง ยื่นบัตรมาให้ถ่ายทันที แต่นายแบงค์ มีท่าทางยึกยักไม่ยอมหยิบบัตรมาให้ถ่าย ตนเองจึงถามไปว่า พี่มีอะไรปิดบังผมอยู่หรือเปล่า กระทั่งนายแบงค์ หยิบบัตรขึ้นมาให้ถ่าย ซึ่งขณะนั้น ด้วยความอยากรู้ว่านายแบงค์ คือใครคิดไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน ก็เลยเอาชื่อตามบัตรไปกดดูในกูเกิล ปรากฏว่า ทั้งข่าวทั้งประวัติหมายจับขึ้นมาเต็มหน้าจอไปหมด จึงอุทานกับนายแบงค์ไปว่า เฮ้ยนี่พี่เป็นคนดังนี่หว่า นายแบงค์ ก็เลยวิ่งหนีออกไปจากบ้านตนเองทันที ด้วยความตกใจจึงตั้งสติ คุมตัวนางบรรจงเอาไว้ กระทั่งตนเองได้ออกอุบาย ให้นางบรรจง โทรศัพท์ตามนายแบงค์กลับมา ซึ่งบอกไปว่าถ้ายอมกลับมาดีๆจะไม่แจ้งความ ทำให้นายแบงค์ ยอมเดินกลับมาที่บ้าน ซึ่งระหว่างรอนายแบงค์กลับมา ตนเองได้ไปสะกิดภรรยาให้โทรศัพท์ไปแจ้งกับตำรวจ กระทั่งเมื่อนายแบงค์ เดินกลับมาถึงก็ถูกตำรวจคุมตัวทันที ซึ่งระหว่างที่ตำรวจเข้ามาคุมตัว นายแบงค์ ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยอมรับว่าตกใจมาก ไม่คิดว่าจะได้เจอคนดังอย่างนายแบงค์ ตัวเป็นๆ ที่สำคัญยังโชคดีที่ชวนน้องชายติดรถไปด้วย เพราะถ้าไปคนเดียว ไม่รู้ว่านายแบงค์ จะใช้ เชือกไนลอนที่พกไปด้วยก่อเหตุทำอะไรกับตนเองหรือไม่
ทีมข่าวช่อง 8 ได้ข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตำรวจมาว่า ก่อนนายแบงค์ ลมกรด จะโดนจับกุมในวันที่ 27 สิงหาคม 2566
ช่วงวันที่ 24 สิงหาคม และ 25 สิงหาคม 2566 นายแบงค์ ลมกรด ได้เหมารถยนต์สีดำ มาพักที่รีสอร์ตในอำเภอท่าศาลาจำนวน 2 แห่ง
ทีมข่าวช่อง 8 เดินทางมายังรีสอร์ตแห่งที่ 1 ที่นายแบงค์มาพักเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2566 โดยพนักงานรีสอร์ต และเจ้าของรีสอร์ต ไม่สะดวกให้สัมภาษณ์ หรือให้บันทึกภาพ โดยให้ข้อมูลสั้นๆว่า นายแบงค์ ได้มาที่รีสอร์ตแห่งที่ 1 จริง โดยพนักงานรีสอร์ต เห็นมากับผู้หญิง 1 คน มาเปิดห้องในวันที่ 24 สิงหาคม 2566 เวลา 14.30 น. และเช็กเอาต์เวลา 12.00 น. ของวันที่ 25 สิงหาคม 2566
นอกจากนี้ ทีมข่าวช่อง 8 เดินทางมายัง รีสอร์ตแห่งที่ 2 ที่นายแบงค์ มาพักในวันที่ 25-26 สิงหาคม 2566
โดยทีมข่าวช่อง 8 ได้พูดคุยกับนางสาวน้อยนามสมมติ เจ้าของรีสอร์ตแห่งที่สองให้สัมภาษณ์ว่า ตัวเองยืนยันว่านายแบงค์ ชายที่ตัวใหญ่ ผมยาว ได้มาพักที่รีสอร์ทของตัวเองจริง ซึ่งเขาขับรถยนต์คันสีดำเข้ามาเช็กอินในเวลาประมาณ 17:30 น. ของวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา และเช็กเอาต์ออกรีสอร์ตในวันที่ 26 สิงหาคม ส่วนตัวแล้วไม่ทราบว่าในแบงค์มาพักที่รีสอร์ตแห่งนี้กับใครบ้าง เพราะตัวเองไม่ได้สังเกต
ส่วนนางอุษา และนางสาวบีม ตัวเองไม่เจอพวกเขามา พร้อมกับนายแบงค์ ยอมรับว่าตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังมาทราบว่านายแบงค์เป็นผู้ต้องหาในคดีดัง
นอกจากนี้ทีมข่าวช่อง 8 ยังได้กล้องวงจรปิดอีกสองมุม เวลาประมาณ 17.35 ของวันที่ 25 สิงหาคม 2566 จับภาพนายแบงค์ขับรถยนต์คันสีดำเพื่อไปเปิดห้องในรีสอร์ตแห่งที่2
ต่อมาทีมข่าวได้มาพูดคุยกับ น.ส.ชนนิกานต์ หรือบีม อดีตแฟนของนายแบงค์ ลมกรด
นางสาวบีม ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า หลังทราบข่าวว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจับตัวนายแบงค์ได้ตัวเองก็รู้สึกดีใจ เขาจะได้มารับผลกรรมที่เขาทำไว้กับครอบครัวตัวเองและคนอื่นๆ โดยวันที่ 9 และ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา นายแบงค์ ได้พยายามแอดเฟซบุ๊กหลายบัญชี และส่งข้อความมาหาตัวเอง แต่ตัวเองก็ไม่ได้ตอบกลับ และบล็อกเขาไป เพราะไม่อยากติดต่อกับผู้ชายรายนี้อีก ที่เขาทักมาหาตัวเอง คิดว่าเขาคงหมดเงิน เลยอาจทักมาขอเงินตัวเอง
ตลอดระยะเวลาที่ตัวเองและครอบครัวไปกับนายแบงค์ เขาก็หลอกตัวเองตลอด หลอกว่ามีเงินในสมุดบัญชีหลายเล่ม กระทั่งตัวเองมารู้ความจริงทีหลังว่าเป็นเอกสารเปล่า
สาเหตุที่ตัวเองตกเป็นเหยื่อจนทำให้นายแบงค์หลอกตัวเองไปหลายเดือน อาจมาจากตัวเองเป็นคนโง่ เป็นคนหัวอ่อน ไม่ทันคน คนเขาถึงหลอกง่ายหรือไม่ ตอนนี้ตัวเองก็ไม่กล้าออกไปเจอผู้คน ทำงานอยู่แต่ในบ้าน แล้วก็ไม่กล้ากลับไปเรียนไปเจอเพื่อนๆอีก
ถ้าเจอหน้านายแบงค์ ตัวเองอยากจะถามเขาว่า “ยังมีจิตสำนึกหรือไม่” ตัวเองไม่ให้อภัยเขา เพราะคำขอโทษมันช่วยอะไรไม่ได้
ส่วนประเด็นที่นายแบงค์บอกว่าเขาเครียดจนอยากฆ่าตัวตายตัวเองก็ไม่เชื่อ เพราะถ้าเขาคิดอยากฆ่าตัวตายจริงเขาทำไปนานแล้ว ผิดกับตัวเองที่เจอเรื่องราวค่อนข้างหนัก และเคยคิดฆ่าตัวตายมาแล้วด้วย แต่ตัวเองก็คิดถึงหน้าแม่ คิดถึงน้อง จึงดึงสติกลับมาได้ และหวังว่าสักวันหนึ่ง ต้องผ่านไปได้
ตอนนี้ชีวิตตัวเองไม่เหลืออะไรเลย เพราะสิ่งที่ตัวเองเคยมี นายแบงค์เขาเอาไปหมดแล้ว ตอนนี้ตัวเองต้องมาเก็บกวาด ในสิ่งที่เขาเอาของตัวเองไป
เหตุการณ์ครั้งนี้ ตัวเองก็รู้สึกสงสารแม่ และสงสารน้องที่ตัวเองพาผู้ชายคนนี้เข้ามาในครอบครัว ยืนยันว่า ตั้งแต่ตัวเองหลุดพ้นจากนายแบงค์มาเมื่อเดือนที่แล้ว ตัวเองก็ไม่เคยเจอกับนายแบงค์อีกเลย
นอกจากนี้ นางสาวบีม ยังได้ส่งแชต ที่นายแบงค์ พยายามติดต่อหาเธอ ทางเฟชบุ๊กเมื่อวันที่ 9 และ 13 สิงหาคมที่ผ่านมาด้วย