ความคืบหน้าคดี นายสาณิช อายุ 41 ปี ก่อเหตุใช้มีดทำร้าย นางสาววิภาพร อายุ 41 ปี ภรรยา และ ดช.ปุณณพัตน์ และ ดช. บุณญานนท์ อายุ 13 ปี ลูกชายเสียชีวิตรวม 3 ศพ ก่อนผู้ก่อเหตุที่เป็นพ่อจะพยายามใช้มีดทำร้ายตนเองเพื่อฆ่าตัวตายตามแต่ไม่สำเร็จได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดภายในบ้านหลังหนึ่ง อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อช่วงกลางดึกของวันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา สาเหตุมาจากความเครียด เรื่องหนี้สินและภรรยาของผู้ก่อเหตุที่เสียชีวิตได้ถูกแก๊งแอปฯให้กู้เงินหลอกเอาเงินไปกว่า 1.7 ล้านบาท
วันนี้ทีมข่าวได้ภาพจากวงจรปิดเป็นหลักฐานเพิ่มเติม ในวันที่ 27 ส.ค. มีเพื่อนร่วมงานของนางสาววิภาพร ซึ่งคาดว่าเป็น 3ใน 7 คน ผู้ที่ให้ผู้เสียชีวิตยืมเงิน เดินทางเข้ามาที่บ้านด้วย เป็นการมาทำหนังสือสัญญายืมเงิน ตามข้อมูลที่ตำรวจระบุไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งในบ้านจะมีหลานสาวของนายสาณิช อยู่ด้วย โดยใช้เวลาในการทำหนังสือสัญญาจำนวน 3 ฉบับ (ข้อมูลตำรวจ) ประมาณ 1 ชั่วโมง ก่อนจะเดินทางกลับไปพร้อมเอกสาร ก่อนที่ในช่วงดึกจะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น
ทีมข่าวได้สอบถามหนึ่งในเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่ง หลังที่สอบปากคำแต่สิ้นเป็นคนสุดท้าย ซึ่งเป็นผู้ที่ให้ผู้เสียชีวิตยืมเงินเป็นจำนวนเงิน 900,000 บาท แต่ปฏิเสธที่จะให้ข้อมูล กล่าวเพียงสั้นๆว่าที่ให้นางวิภาพรยืมเงินเพราะเห็นใจ สงสาร และไว้เนื้อเชื่อใจ แต่ เมื่อถามว่ามีการทำ สัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ตรงนี้ ก็ปฏิเสธที่จะตอบคำถามนี้ บอกเพียงว่าให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวนไปแล้ว
ย้อนกลับไปที่ภาพของชาย-หญิงปริศนาที่ขับรถป้ายแดงมาหาครอบครัวผู้ตายก่อนเกิดเหตุสลดนั้น ทีมข่าวได้ทราบข้อเท็จจริงจากคุณยุพา พี่สะใภ้ของผู้ก่อเหตุมาแล้วว่า เป็นหลานสาวแท้ๆของนายสาณิชผู้ก่อเหตุ ไม่ใช่แก๊งเงินกู้แต่อย่างใด ไปมาหาสู่ และพูดคุยกันเป็นประจำอยู่แล้ว
ขณะเดียวกันในระหว่างที่ทีมข่าวจอดรถสังเกตการณ์อยู่หน้าบ้านที่เกิดเหตุ ระหว่างนั้นได้มีรถเก๋งสีดำคันหนึ่งได้ขับมาจอดบริเวณข้างบ้านหลังที่เกิดเหตุ จากนั้นมีกลุ่มคน 3 คนลงมาจอดรถ และยืนอยู่บริเวณหน้าบ้านของนายป๋า ซึ่งเป็นสามีของนางสาวเออดีตนายจ้างของนายสาณิช ที่เคยหลอกให้นายสาณิชเซ็นค้ำประกันรถยนต์จำนวน 800,000 บาทให้
เมื่อทีมข่าวเดินเข้าไปสอบถาม มีหญิงสาวคนหนึ่งในกลุ่มได้บอกกับทีมข่าวว่า ตนเองนั้นเคยเป็นอดีตลูกจ้างของนางสาวเอ เมื่อ 5-6 ปีก่อน และเป็นเพื่อนร่วมงานของนายสาณิชผู้ก่อเหตุ โดยตนเองนั้นถูกนางสาวเอ อดีตเจ้านายหลอกเอาเงินไปจำนวน 1 ล้านบาท จากนั้นนางสาวเอได้หนีหายสาปสูญไป ติดตามตามตัวไม่ได้ เมื่อเดินทางไปหาที่บ้าน นายป๋าสามีก็อ้างว่า เมียตัวเองหายไปไหน และตนเองก็ยังไม่ได้เงินคืน จนตนเองไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว ได้แต่ทำใจ และรู้สึกสงสารเพื่อนที่ครอบครัวต้องตายแบบนี้
วันนี้ทันทีที่ทราบข่าวจึงเดินทางมาดูบ้านที่เกิดเหตุและมาดูบ้านของนางสาวเออีกครั้งว่าจะมีใครเดินทางกลับมาหรือไม่ ซึ่งตนเองเชื่อว่า นายป๋า สามีนางสาวเอรู้ดีทุกอย่าง และที่นายป๋า และนางสาวเอ ไม่ได้มีทะเบียนสมรสกัน เพื่อเพราะรู้ช่องว่างของกฎหมาย ทำให้นายป๋าสามีถูกเอาผิดไม่ได้ เพราะชื่อที่เอาเงินไปคือชื่อของนางสาวเอ