เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุบริเวณโรงแรมพักชั่วคราว อยู่บริเวณถนนสาย 347 ตำบลบ้านป้อมอำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หลังจากรับแจ้งพนักงานในโรงแรมถูกยิงหลังจากหมดเวลา ก่อนมีการโต้เถียงกัน จากนั้นจึงเจอแล้วยิงใส่ทันที
โดยผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ คือ นายสุริยะ อายุ 36 ปี ซึ่งเป็นพนักงานของโรงแรมที่ถูกยิง
ส่วนผู้ก่อเหตุ ทราบชื่อคือ นายรังสรร
ทีมข่าวช่อง 8 ได้ลงพื้นที่สถานที่เกิดเหตุ พบนายสุริยะ อายุ 36 ปี พนักงานของโรงแรมที่ถูกยิง ได้เล่าเหตุการณ์วันเกิดเหตุให้ฟังว่า ตนไปเคาะประตูเรียกเขา ตอนแรกให้น้องพนักงานไปเรียกก่อนแต่ว่าเขาได้ เดินออกมาและด่าน้องพนักงานด้วยคำหยาบคาย ตนจึงเดินไปเคาะด้วยตัวเอง 2-3 รอบ เขาจึงเดินออกมาบอกว่าเดี๋ยวจะต่อเวลา ตนจึงปล่อยไป แต่พอผ่านมา2 ชั่วโมงแล้ว เขาก็ยังไม่ออกมา ตนจึงเดินไปเรียกอีกรอบ จากนั้นจึงได้มีปากเสียงกัน
หลังจากนั้นคนร้ายได้ท้าต่อยกับตนด้านหน้าโรงแรม แต่คนไม่ได้ออกไป คนร้ายถึงขับรถกลับเข้ามาด้านไหนห้องสุดท้ายของโรงแรมหลังจากนั้นถึงได้เรียกต้นให้เข้าไปหา พร้อมด่าหยาบคายตลอดเวลา ตนจึงได้เดินไป พอไปถึงคนร้ายได้ง้างมือจะชกตน ตนจึงปาขวดแก้วใส่ จากนั้นจึงชกไปที่คนร้าย แต่คนร้ายสู้ตนไม่ได้ จึงได้ทำการชักปืนที่เอว จ่อยิงตนตรงเอวอย่างใกล้ๆ ตอนนั้นตนไม่รู้ว่ายิงเข้าหรือไม่เข้า แต่มองเห็นเสื้อตัวเองเป็นรูขาด จึงคิดว่ายิงเข้า เลยตัดสินใจถีบคนร้ายล้ม และวิ่งหนีไปหลบที่ห้องอื่น
จากนั้นคนร้ายก็ได้มีการขี่รถจักรยานยนต์วนหาตน แต่หาไม่พบ จึงได้ไปข่มขู่พนักงานด้านหน้าโรงแรมว่า รถจักรยานยนต์ของนายสุริยะ คือคันไหน ให้เอากุญแจมา หลังจากพนักงานยื่นกุญแจให้จึงได้เดินไปเอารถจักรยานยนต์ของนายสุริยะ จะขับออกไป แต่คนร้ายน่าจะนึกห่วงรถจักรยานยนต์ของตัวเอง จึงได้เปลี่ยนใจ ขี่รถจักรยานยนต์ตัวเอง และดันรถของนายสุริยะไปพร้อมด้วย เพื่อที่จะหลบหนี แต่พอไปถึงด้านหน้าโรงแรม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขับรถเข้ามาพอดี คนร้ายเห็นจึงตัดสินใจทิ้งรถจักรยานยนต์ของนายสุริยะไว้ และขี่รถจักรยานยนต์ของตัวเองหลบหนีไป
โดยนายสุริยะเชื่อว่า คนร้ายน่าจะมึนเมา และน่าจะเป็นคนเล่นยา เพราะตาดูเหลือง ทรงใช่เลย
นายสุริยะ ยังกล่าวอีกว่า ตนไปโรงพยาบาลมา เพื่อตรวจร่างกาย พบว่า กระสุนยิงไม่เข้า หมอหากระสุนไม่เจอ มีแผลเพียงเล็กน้อย ตนเชื่อว่าน่าจะเกิดจากบารมีของหลวงปู่เทียม วัดกษัตราธิราชวรวิหาร จ.พระนครศรีอยุธยา ที่น้องพึ่งเช่ามาให้ตนก่อนเกิดเรื่องเพียง 1 วัน หลังรอดตายก็ได้ยกมือไหว้เช่นกัน
นอกจากนี้ ทีมข่าวช่อง8 ได้ภาพจากกล้องวงจรปิด ตอนคนร้ายมาข่มขู่ ขอกุญแจรถของนายสุริยะ จากพนักงานคนอื่น โดยมีพนักงานได้แอบถ่ายไว้จากในห้องพักพนักงาน
จะเห็นได้ว่า คนร้ายได้มีการพูดคุยกับพนักงานท่านอื่นเพื่อที่จะขอกุญแจรถ โดยมีพนักงานอีกคนได้ยื่นกุญแจให้
หลังจากนั้นคนร้ายได้ขึ้นไปเพื่อที่จะขี่รถของนายสุริยะ ไป แต่นึกได้ว่ามีรถตัวเองอยู่ จึงกลับไปขี่รถตัวเองแทน
จากนั้นจึงได้ขี่รถของตนเองออกไป พร้อมกับจูงรถของนายสุระยะออกไปด้วย
นอกจากนี้ วงจรปิดจับภาพนายรังสรรได้ขี่รถจักรยานยนต์เข้ามา หลังจากที่ได้ทะเลาะกับพนักงานและขับออกไปแล้ว แต่วกกลับมาอีกรอบ
หลังจากที่คนร้ายที่รถจักรยานยนต์เข้าไปด้านในของโรงแรม และเรียกนายสุริยะเข้าไปหา และได้จ่อยิง ตากคลิปจะเห็นได้ว่า นายสุริยะได้วิ่งหนีออกมาด้านหน้า และวิ่งเข้าไปหลบอีกฝั่งของโรงแรมจากจุดที่ยิง จากนั้นในเวลาไล่เลี่ยกัน คนร้ายก็ได้ขี่รถจักรยานยนต์ของตัวเอง ตามออกมาด้านหน้าโรงแรม แต่ไม่เจอคนร้ายไม่เจอนายสุริยะ
จากนั้นคนร้ายจึงวนกลับมาที่บริเวณพนักงานคนอื่นยืนอยู่ด้านหน้าโรงแรม และได้ข่มขู่ให้เอากุญแจรถของนายสุริยะมา และได้ไปที่รถของนายสุริยะ จากคลิปจะเห็นได้ว่าคนร้ายพยายามจะนำรถจักรยานยนต์ของนายสุริยะออกไปด้วย โดยได้ขึ้นไปขี่บนรถนายสุริยะ ถอยรถให้ตั้งตรง และกลับไปขี่รถจักรยานยนต์ของตนเอง จากนั้นจึงค่อยๆขี่รถตัวออกไป พร้อมจับรถของนายสุริยะ พยุงไปพร้อมด้วย เพื่อที่จะหลบหนีหลังก่อเหตุยิง
ทีมข่าวได้ลงพื้นที่บ้านของนายรังสรร อายุ 36 ปี ผู้ก่อเหตุ พบพ่อ แม่ และน้องชาย โดยนายทวีศักดิ์ อายุ 33 ปี น้องชายของนายรังสรร ได้เปิดเผยกับทีมข่าวว่า เมื่อวานได้มีคนโทรมาหาตน บอกว่าตนไปก่อเหตุที่โรงแรมในอยุธยามาหรือเปล่า ตอนนั้นตนนึกว่ามิจฉาชีพจึงบอกว่า ไม่ได้ไปไม่รู้จักอย่ามายุ่งกับตน แล้วจึงวางสายไป จากนั้นพ่อของตนก็ได้โทรมาหาแล้วถามตนว่า ตนไปทำอะไร ก่อเหตุอะไรมา มีหมายเรียกตนมา มีตำรวจโทรมาหาพ่อ ตนจึงได้บอกพ่อไปว่าไม่ต้องสนใจ มิจฉาชีพ นอกจากนั้นในไลน์กลุ่มหมู่บ้านก็ได้มีการส่งรูปตนมา และถามตนว่า ตนไปทำอะไรมา ไปยิงใครตาย ตนก็เลยงง แล้วจึงได้เดินเอาไลน์ไปเปิดให้หัวหน้าดู หัวหน้าจึงบอกว่าให้ตนกลับบ้านเลย ให้ไปแจ้งความ พอตนไปแจ้งความกับตำรวจ สภ.บางบัวทอง แต่ตำรวจไม่ได้รับแจ้งความ เพราะตนยังไม่ได้บอกข้อมูลอะไรกับคนที่โทรมา
พอตนออกมาจากโรงพัก ตำรวจก็ได้โทรมาอีก ตนจึงให้น้าเป็นคนคุย ทางตำรวจก็ได้บอกให้ตนกลับไปที่สภ.บางบัวทอง น้าของตนจึงเดินทางไป แต่ตนไม่ได้ไปด้วย พอน้าคุยเสร็จจึงได้รู้ว่าเป็นตำรวจจริงไม่ใช่มิจฉาชีพ จากนั้นทางตำรวจจึงได้คุยกับทางบริษัทที่ตนทำงานอยู่ ทางบริษัทก็ยืนยันว่าระหว่างเกิดเหตุนั้น ตนอยู่ที่ทำงานอยู่ และทำงานอยู่ ตำรวจจึงได้รู้ว่าจับผิดคน และกลับไป โดยที่ไม่ได้มีการพูดคุยอะไรกับตนเพิ่มเติม ตนก็ยังเกิดความสงสัยว่าทำไมถึงจับผิดคนได้ ทั้งที่ตนกับพี่ชายก็ไม่ได้หน้าเหมือนกัน ตนก็เสียหาย เพราะคนเขาก็ไปพูดกันว่าตนเป็นคนทำ
โดยปกติแล้วตนกับพี่ชาย ก็ไม่ได้เจอกันบ่อย เจอกันล่าสุดก็นานมากแล้ว จนจำไม่ได้ว่าวันไหน ตนก็ไม่ทราบเลยว่า นายรังสรร พี่ชายได้ดื่มเหล้า หรือว่าเล่นสารเสพติดหรือไม่ ตอนนี้ทางนายรังสรร ก็ยังไม่ได้ติดต่อทางครอบครัวมาเลยสักคน