ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 พนักงานสอบสวนได้มีการสอบปากคำ นายเก่ง (สงวนนามสกุล) หนึ่งในคนงานที่ทำงานเป็นคนสวนในบ้านของกำนันนก ที่ได้ให้การสารภาพว่า เป็นคนนำอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุไปฝังดิน ผู้สื่อข่าวได้สังเกตท่าทางนายเก่ง พบว่าระหว่างให้ปากคำ มีสีหน้าเคร่งเครียดและเป็นกังวล ใช้มือปาดน้ำตาร้องไห้อยู่ตลอดเวลา
ทีมข่าวช่อง 8 ได้ภาพจากกล้องวงจรปิด ที่เกี่ยวข้องกับคำรับสารภาพของนายเก่ง ซึ่งได้รับคำสั่งจากกำนันนกให้นำปืนที่นายหน่องยิง พ.ต.ต.ศิวกร ไปทำลายหลักฐานโดยการฝังดิน
กล้องวงจรปิดตัวที่ 1 วันเดียวกันกับที่เกิดเหตุ 6 กันยายน เวลาช่วง 22.00 น. นายเก่งขี่รถจักรยานยนต์กลับห้องพักที่อยู่ในซอย 12 หมู่ 5 ในอำเภอเมืองนครปฐม ซึ่งเจ้าตัวได้นำปืนที่นายหน่องก่อเหตุยี่ห้อกล็อก ขนาด 9 มม. มาด้วย เพื่อหวังซ่อนไว้ที่ห้องพักก่อนจะขี่รถไปฝังไว้ที่จุดอื่นในวันที่ 7 กันยายน
กล้องวงจรปิดตัวที่สองบันทึกเหตุการณ์วันที่ 7 กันยายน นายเก่งนำปืนที่นายหน่องใช้ก่อเหตุออกมาจากห้องพักของตนมาที่บ้านพักของญาติตนเอง ห่างจากห้องพักนายเก่ง 650 เมตร โดยนายเก่งขี่รถจักรยานยนต์มาที่บ้านพักของญาติ พร้อมกับภรรยาของตนเองในช่วงเวลา 18.39 น. ของวันที่ 7 กันยายน
เมื่อมาถึงจอดรถจักรยานยนต์หน้าบ้านพัก และภรรยาของนายเก่งก็เดินเข้าไปในบ้านพักของญาตินายเก่ง โดยตลอดเวลานายเก่งไม่เข้าไปในตัวบ้านแต่ยืนบริเวณหน้าบ้านพัก ซึ่งเจ้าตัวมีท่าทีลุกลี้ลุกลน เปิดเบาะรถจักรยานยนต์ขึ้นคล้ายจะเอาของบางอย่างออกมา ก่อนปิดเบาะรถ จากนั้นก็มีการพูดคุยกับภรรยาอยู่บริเวณหน้าบ้านพักของญาติสักพักหนึ่ง โดยจะมีบางช่วงที่ไม่เห็นนายเก่งปรากฏตัวในภาพวงจรปิด เนื่องจากกล้องวงจรปิดส่องไปไม่ถึง
จากนั้นเวลาประมาณ 18.41 น. นายเก่งและภรรยาก็ขี่รถออกมาจากบ้านพักของญาติซึ่งอยู่ติดกับจุดที่นายเก่งฝั่งปืนไว้ จากคำรับสารภาพของนายเก่งบอกว่านำปืนยี่ห้อกล็อก ขนาด 9 มม. ห่อด้วยผ้าคลุมโต๊ะจีนสีทองและสีขาว ใส่ถุงพลาสติกทับอีกชั้น ไปขุดหลุมฝังดินไว้ใกล้กรงหมา ริมบึงข้างอ่างน้ำประปา เขตตำบลนครปฐม อ.เมือง จ.นครปฐม
ทีมข่าวเดินทางไปที่ห้องพักของนายเก่งลูกน้องกำนันนกที่เพิ่งรับสารภาพว่าเป็นคนนำปืนที่นายหน่องใช้ก่อเหตุไปฝังดินไว้ที่บ้านญาติของตนเอง บรรยากาศห้องพักปิดเงียบไม่มีใครอยู่ ซึ่งเพื่อนบ้านบอกว่าทั้งครอบครัวไม่ได้กลับมาตั้งแต่เมื่อวานนี้
ทีมข่าวได้พูดคุยกับนางนิด (นามสมมติ) เพื่อนบ้านของนายเก่ง บอกว่า ตนเห็นตำรวจนำตัวนายเก่งมาที่ห้องพักเมื่อวานนี้ จึงเพิ่งทราบว่านายเก่งเป็นลูกน้องของกำนันนกและทำงานมาด้วยกันหลายปีแล้ว ที่ผ่านมาตนไม่ทราบข้อมูลส่วนตัวของนายเก่งว่าทำงานอะไรและทำงานกับใคร ทราบเพียงแต่ญาติของนายเก่งเป็นพนักงานในเทศบาลจึงได้มาพักอาศัยที่ห้องเช่านี้
ในส่วนรถจักรยานยนต์ที่ใช้ก่อเหตุ ก็ยืนยันว่ารถที่ทางตำรวจยึดไปเป็นรถของนายเก่งจริง เพราะเห็นเจ้าตัวใช้รถคันนี้เป็นประจำ ซึ่งหลังเกิดคดีดังกล่าวก็ปรากฏว่า ญาติและภรรยาของนายเก่งก็หายตัวออกไปจากห้องพักตั้งแต่เมื่อวานนี้ และยังไม่กลับมาอีกเลย คาดอาจหลบนักข่าวและเครียดกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ปกติแล้วนายเก่งจะอยู่กับภรรยาสองคนในห้องพัก และจะมีห้องข้างๆ เป็นห้องของป้าของนายเก่ง ส่วนตัวไม่เคยพูดคุยกับนายเก่งเพราะเจ้าตัวเป็นคนค่อนข้างเก็บตัวและเงียบ
ภายหลังเจ้าหน้าที่สอบสวนนายเก่งแล้ว ก็ได้พาออกมาจากห้องสอบสวน โดยผู้สื่อข่าวได้มีการพยามสอบถามในหลายประเด็น เช่น มีใครเป็นผู้สั่งการให้ดำเนินการหรือไม่ นายเก่งไม่ได้ตอบคำถาม แต่ตอบรับคำถามด้วยการพยักหน้ายอมรับ เมื่อถามต่อว่า นายเก่งมีเจตนาที่จะเอาปืนไปซ่อนหรือไม่ โดยเจ้าตัวปฏิเสธโดยการส่ายหน้า
เมื่อถามคำถามสุดท้าย ก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดว่า รู้สึกตกใจไหมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นายเก่งได้พยักหน้าตอบรับอีกครั้ง ก่อนที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำตัวขึ้นลิฟต์ขึ้นไปสอบปากคำเพิ่มเติม
นอกจากนี้ ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีสาวชุดดำ (ผู้อยู่ในเหตุการณ์วันเกิดเหตุ) ที่ตำรวจได้มีการเรียกมาสอบปากคำตั้งแต่ช่วงบ่ายที่ผ่านมา หลังจากสอบปากคำเสร็จตำรวจก็ได้ปล่อยกลับบ้านช่วงหัวค่ำ
หญิงสาวรายนี้ เปิดเผยกับทีมข่าวว่า วันนี้ตนเองเข้ามาให้ปากคำในฐานะพยานในวันเกิดเหตุ เพราะในวันเกิดเหตุตนอยู่ร่วมกับงานเลี้ยงด้วย เนื่องจากแฟนของเธอนั้นเป็นตำรวจที่มาร่วมงานเลี้ยงด้วย โดยในวันนั้นมีผู้ร่วมงานประมาณ 26-27 คน ซึ่งก่อนเกิดเหตุตนไม่ได้ยินหรือเห็นคนทะเลาะกัน จากนั้นตนก็ได้ลุกเข้าไปห้องน้ำ ระหว่างที่อยู่ในห้องน้ำจึงได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด พอเดินออกมาดูก็เห็นเพียงแค่คนเจ็บที่อยู่ระหว่างการช่วยเหลือเท่านั้น ส่วนสารวัตรศิวกร เธอไม่เห็นแล้วว่าออกไปไหน
ส่วนตัวของกำนันนก และนายหน่อง ตนเองก็ไม่เห็นเช่นกันว่าไปอยู่ที่ไหน หลังจากนั้นตนก็ขึ้นรถมาพร้อมกับผู้กำกับสืบสวนจังหวัดนครปฐม เพื่อพาคนเจ็บมาส่งที่โรงพยาบาล นอกจากนี้ในสถานที่เกิดเหตุ ตนก็ไม่ทราบเช่นกันว่าในที่ตรงนั้นมีใครเป็นคนทำลายหลักฐาน รวมถึงนำเซิร์ฟเวอร์กล้องวงจรปิดไปทิ้ง เนื่องจากได้ออกมาก่อนหน้านั้นแล้ว และอยู่โรงพยาบาลจนถึงตีสอง ซึ่งระหว่างที่เธออยู่โรงพยาบาลก็มีทางเจ้าหน้าที่ตำรวจต่างก็ทยอยเดินทางเข้ามาที่โรงพยาบาลกันอย่างต่อเนื่อง สำหรับงานเลี้ยงที่เกิดขึ้นตนยืนยันว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามาร่วมงานด้วย