วันที่ 11 ก.ย. 2566 ทีมข่าวช่อง 8 ได้พูดคุยกับพยานคนที่อยู่ในงานบ้านกำนันนก โดยได้ข้อมูลว่า ช่วงคืนเกิดเหตุ (6 ก.ย.) เวลา 20.54 น. มีการสั่งให้วงดนตรีหยุดเล่น จากนั้นเวลา 21.26 น. เสียงปืนก็ดังขึ้น
ทีมข่าวได้คุยกับพยานในงาน เปิดเผยว่า คืนดังกล่าว ช่วงที่ตนเองกับพ่อกำลังจะกลับ และอยู่ระหว่างการเก็บของขึ้นรถ ปรากฏว่าได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด ก่อนที่จะรัวอีกหลายนัด หลังจากที่เสียงปืนดังขึ้น ก็เห็นคนแตกกระเจิงลุกขึ้นจากโต๊ะจีน เช่นเดียวกับตนเองและพ่อก็พากันหมอบหลังลำโพง เพราะกลัวโดนลูกหลง จึงไม่ทันสังเกตว่ามีตำรวจหรือใครโดนยิง และก่อนที่เสียงปืนจะดังขึ้น ก็เข้าใจว่ามีการพูดคุยกันเสียงดัง เนื่องจากต่างฝ่ายต่างอยู่ในอาการมึนเมา แต่ตัวเองจับใจความไม่ได้ว่ามีการพูดคุยกันเรื่องอะไร และหลังจากสิ้นเสียงปืน ก็เห็นว่ามีตำรวจคนหนึ่งกระโดดเข้าไปตะครุบนายหน่อง ท่าผา เพื่อที่จะแย่งปืนแล้วคุมตัวเข้าไปภายในห้อง จากนั้นตัวของกำนันก็บอกกับลูกน้องว่า "พากูกลับ กูลุกไม่ไหว เมา" ก็เห็นว่ามีลูกน้องบางคนเดินเข้าไปหิ้วปีกเดินเข้าไปตามหลังนายหน่อง แล้วตนเองก็ได้ยินเสียงแต่ว่าช่วยกันดูคนเจ็บ โดยเหตุการณ์ในคืนวันดังกล่าว ไม่ใช่ว่าไม่มีตำรวจพกปืน บางคนมีปืนติดอยู่ที่เอว แต่ก็แปลกใจว่าไม่มีการยิงสกัดหรือเข้าระงับเหตุ
และหลังจากเหตุการณ์สงบ มีบางคนทยอยเดินทางออก และกำนันก็บอกให้ลูกน้องคนสนิทว่า “พากูกลับบ้านด้วย กูขับรถไม่ไหว” ซึ่งตนเองก็สังเกตว่าตัวของกำนันก็อยู่ในอาการมึนเมาพอสมควร แทบจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ลักษณะเมาแอ๋
พยานอีกคนที่เป็นพ่อ ระบุว่า ก่อนที่เสียงปืนจะดังขึ้นประมาณ 30 นาที มีตำรวจคนหนึ่งแต่จำไม่ได้ว่าเป็นใคร เดินมาสั่งให้มีการปิดเพลงทันที และสั่งให้เก็บของ จากนั้นก็มีผู้ชายอีกคนเดินเอาเงิน 2,500 บาท มายื่นให้กับลูกชาย ซึ่งลูกชายก็ไหว้ขอบคุณ แต่ผู้ชายคนดังกล่าวบอกว่าไม่ใช่เงินของผมแต่เป็นเงินของกำนัน ลูกชายจึงเดินออกจากหลังลำโพงไปขอบคุณกำนันและเดินกลับมา
จังหวะดังกล่าวเห็นว่า กำนันลุกออกจากโต๊ะเล็กที่เป็นโต๊ะที่คนตายและคนเจ็บนั่งอยู่ เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะใหญ่ซึ่งเป็นโต๊ะยาว จากนั้นก็ได้ยินเสียงคล้ายคนพูดคุยเสียงดังแต่ก็เข้าใจว่าเมา แล้วมีเสียงปืนดังรัวขึ้น ตอนนั้นตนเองก็ไม่ได้คิดจะมองหรือดูเหตุการณ์ พยายามที่จะหนีและหาที่หลบ
หลังสิ้นเสียงปืน ได้ยินเสียงตำรวจและในบรรดาคนที่อยู่ในงานพูดทำนองว่าพาคนเจ็บส่งโรงพยาบาล ตอนนั้นตนเองก็รีบเก็บของขึ้นรถ แต่ตอนที่ยังเก็บของไม่เสร็จ รถที่พาคนเจ็บส่งโรงพยาบาลก็ได้ขับออกจากบ้านไป ตนเองกับลูกชายจะเก็บของต่อ และเจ้าของโต๊ะจีนก็ทยอยเก็บของบนโต๊ะ แต่ในบรรดาเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ในวงเหล้าคืนนั้น บางส่วนก็ทยอยเดินทางออก แต่ตนเองก็ไม่รู้ว่าใครไปกับใครบ้าง เพราะไม่ได้สนใจมัวแต่เก็บของ
โดยช่วงที่ตนเองเก็บของเสร็จแล้ว และกำลังออกจากงาน ช่วงที่ขับรถสวนกับรถมอเตอร์ไซต์สายตรวจที่เข้ามาในบ้านที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นรถสายตรวจมอเตอร์ไซค์ยังไม่ใช่รถสายตรวจกระบะ แต่หลังจากนั้นตัวเองไม่รู้ว่าเหตุการณ์เกิดอะไร และไม่รู้ว่ามีการทำลายหลักฐานตามที่ปรากฏเป็นข่าวหรือไม่ เพราะตนเองกลับออกไปก่อน จากนั้นคนงานและโต๊ะจีนก็อยู่ระหว่างการเก็บของและออกไปทีหลัง เนื่องจากของเขาเยอะ ฉะนั้นจึงยืนยันว่าไม่รู้เหตุการณ์ว่ามีการทำลายหลักฐานหรือใครล้างคราบเลือด
ส่วนประเด็นที่อ้างว่ามีใครสั่งการหรือสั่งให้มีการยิงในวงโต๊ะจีนนั้น ส่วนตัวไม่ทราบเพราะอยู่หลังลำโพง และห่างจากจุดที่นั่งกินเลี้ยงกัน และที่สำคัญตัวเองไม่เห็นว่า มีการตบโต๊ะของตัวกำนันหรือไม่ จึงไม่รู้ว่ามีคนสั่งการหรือเป็นการก่อเหตุด้วยตัวเองของนายหรือหรือไม่
จากนั้น ทีมข่าวตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณซอยทางเข้าบ้านของวงดนตรีที่ถูกจ้างไปเล่นในงานคืนวันเกิดเหตุ โดยมีภาพจากกล้องวงจรปิดเวลาประมาณ 22:50 น. ของคืนวันที่ 6 ก.ย. จับภาพรถกระบะสีดำซึ่งมีการขนตู้ลำโพงอยู่ท้ายกระบะ ขับกลับเข้ามาภายในซอยเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้าน
ขณะเดียวกัน วันนี้ (11 ก.ย.) ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ได้มีเลขาฯ นักการเมืองท้องถิ่นคนหนึ่ง เดินทางมาพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้ปากคำเพราะอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย ชายคนนี้ตอบสั้นๆ ว่า ช่วงเกิดเหตุตนเองนั่งอยู่ริมน้ำ หลังจากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีกเลยและเดินเข้าห้องสอบสวนไป
และนอกเหนือจากตำรวจ 25 นาย ที่อยู่ในวันงาน ยังตรวจสอบพบว่า วันนี้มีตำรวจที่อยู่ในที่เกิดเหตุเพิ่มอีก 3 นาย รวมเป็นยอดทั้งหมด 28 นาย วันนี้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อมาให้ปากคำ และมีรายงานว่า ยังมีตำรวจที่มาร่วมงานในวันนั้นเพิ่มเติมอีก ชุดสืบสวนอยู่ระหว่างตรวจสอบเพิ่มเติม
ตำรวจ 1 ใน 3 นาย ที่เข้ามาให้ปากคำเพิ่มเติม ผู้สื่อข่าวพยายามซักถามแต่นายตำรวจคนดังกล่าวปฏิเสธ อ้างว่าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ก่อนจะเดินหลบเข้าไปในห้องสอบสวน
ขณะที่ช่วงค่ำ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้าหลายประเด็นของคดีว่า ตำรวจที่อยู่ในที่เกิดเหตุทั้งหมดยังให้การที่ไม่เป็นความจริง แต่จะสอบหาความจริงเองโดยชุดพนักงานสอบสวนของกองปราบปราม ที่ร่วมกับตำรวจภูธรภาค 7 ส่วนพลเรือนที่เรียกเข้ามาสอบปากคำคาดว่าจะมีเพิ่มอีก หากสอบไปถึงใครก็จะสอบหมด วันนี้จะไม่เกรงใจใคร จะทำความจริงให้ปรากฏ
ส่วนกรณีผู้กำกับเบิ้ม พรุ่งนี้ (12 ก.ย.) จะสรุปว่า การตายเกิดจากอะไร เบื้องต้นวันนี้เห็นจากที่เกิดเหตุว่าเป็นการยิงตัวตาย แต่ว่ากำลังจะไล่กล้องทั้งหมดในที่เกิดเหตุ เพื่อให้เห็นว่าในที่เกิดเหตุเป็นอย่างไรบ้าง ลักษณะท่าทางการตายเป็นอย่างไร จะตรวจสอบส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สิ้นสงสัย โดยผู้กำกับปีนเข้าบ้านไปเมื่อเวลาประมาณตี 4 แต่ว่ากำลังไล่กล้องวงจรปิดทั้งหมดว่าเสียงปืนดังกี่โมง ก็จะทราบเวลาตายขณะนั้น โดยหมอบอกว่าเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 6-8 ชั่วโมง