จากกรณีจากกรณี นายธนัญชัย หมั่นมาก หรือ หน่อง อายุ 45 ปี ใช้อาวุธปืนยิงตำรวจทางหลวง พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว สว.ส.ทล.1 กก.2 บก.ทล. เสียชีวิต ต่อมาเวลา 05.45 น. ของวันที่ 8 กันยายน ชุดสืบสวนกองบัญชาการสอบสวนกลางได้วิสามัญฆาตกรรมหน่อง เนื่องจากต่อสู้ เหตุเกิดที่ซอยโรงธูปร้างที่ ต.ท่าเรือ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี
วันนี้ 12 ก.ย. 2566 ทางครอบครัวจัดพิธีฌาปนกิจศพนายหน่องที่วัดหนองกบ ต.หนองกบ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี บรรยากาศเป็นไปอย่างโศกเศร้า มีเฉพาะคนสนิทของนายหน่องที่มาร่วมงานเท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นเจ้านายเก่าและเพื่อนร่วมงานเก่า แต่ไม่ปรากฏคนรู้จักกำนันนกที่รู้จักกับนายหน่องมาร่วมงานในวันนี้ และไม่ปรากฏคนที่ร่วมงานเลี้ยงกำนันนกในวันเกิดเหตุมาร่วมงานส่งดวงวิญญาณของนายหน่องเป็นครั้งสุดท้าย
ทำให้บรรยากาศในวันนี้มีการจัดงานค่อนข้างเรียบง่ายและมีแต่คนสนิทเท่านั้น ส่วนญาติของนายหน่อง มีน.ส.วัฒนิกา อายุ 41 ปี ภรรยาของนายหน่อง เป็นแม่งานในการจัดงานครั้งนี้ และมีลูกสาวของนายหน่องที่คอยช่วยเหลือในงาน ส่วนลูกชายของนายหน่องบวชหน้าไฟให้พ่อเป็นเวลาหนึ่งวัน และมีแม่ของนายหน่องที่มาร่วมงานส่งลูกชายครั้งสุดท้าย แต่ไร้เงาพี่ชายของนายหน่อง
ในส่วนพิธีฌาปนกิจศพจัดพิธีอย่างเรียบง่าย โดยอนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าเก็บภาพได้บริเวณหน้าเมรุเท่านั้น ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพบรรยากาศขณะที่ทำพิธีในส่วนอื่น โดยมีชาวบ้านที่สนิทและคนสนิทมาร่วมงานเท่านั้น
ทีมข่าวยังได้พูดคุยกับลูกสาวของนายหน่องอายุ 21 ปี ซึ่งยังคงเสียใจกับการสูญเสียพ่อครั้งนี้ เปิดใจกับทีมข่าวโดยอนุญาตให้เฉพาะข้อมูลว่า ครอบครัวของตนยอมรับผิดที่พ่อใช้อาวุธปืนยิงใส่สารวัตรแบงค์ ซึ่งไม่ได้เข้าข้างพ่อเพราะเหตุการณ์นี้พ่อเป็นคนผิดจริง
แต่ในส่วนตนที่เป็นลูกสาว ตอนที่พ่อมีชีวิตอยู่ได้พยายามปกป้องตนขณะที่ตนถูกคนอื่นรังแกตลอด ในส่วนที่คนอื่นมองพ่อไม่ดีตนไม่ได้ว่าอะไร แต่สำหรับพ่อก็ยังเป็นคนที่ตนเคารพนับถืออยู่จนถึงตอนนี้ ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนขอวอนให้สังคมอย่าทัวร์ลงที่คนในครอบครัวตนที่เหลือ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ยอมรับว่า ครอบครัวบอบช้ำทางจิตใจจากการที่สื่อมวลชนต่างขุดประวัติของพ่อออกมาแฉพฤติกรรมที่ไม่ดี แต่เข้าใจในหน้าที่ของสื่อมวลชน ขณะเดียวกันแม่ของตนบอบช้ำทางจิตใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น จึงยังไม่สามารถชี้แจงหรือพูดอะไรไปได้มากในขณะนี้ และขอขอบคุณทุกคนที่ในงานต่างมาส่งดวงวิญญาณของพ่อตอนเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งพ่อของตนคาดหวังไว้ว่าอยากให้ตนเป็นเสาหลักในครอบครัวตนก็จะเข้มแข็งเพื่อเป็นเสาหลักของครอบครัวให้ได้ตามที่พ่อบอก
ทีมข่าวได้พูดคุยกับนายเอ (นามสมมติ) อายุ 37 ปี อดีตเพื่อนร่วมงาน บอกว่า ตนรู้จักกับนายหน่องมาประมาณ 6-7 ปีแล้ว โดยเป็นเพื่อนร่วมงานบริษัทรับเหมาก่อสร้างเดียวกันเมื่อประมาณปี 2559 ตอนนั้นนายหน่องทำหน้าที่ยื่นซองประมูลบริษัทรับเหมาก่อสร้าง เป็นคนที่ทำงานเก่งและมีคนรู้จักเยอะ ระหว่างที่ทำงานด้วยกันหน่องเป็นคนขยันทำงานและตั้งใจมาก แต่ติดเป็นคนใจร้อน หากเป็นคนที่แข่งขันเรื่องงานกับหน่องด้วยก็อาจมีปัญหาขัดแย้งกันบ้าง ซึ่งหน่องยังมีเรื่องที่แตะไม่ได้คือเป็นคนที่รักเจ้านายมาก
ขณะที่ตนรู้จักกับหน่อง เคยเห็นหน่องใจร้อนอยู่ครั้งเดียว คือ ช่วงที่หน่องต้องยื่นซองประมูลรับเหมาก่อสร้างของบริษัท แต่ปรากฏว่าติดขัดบางอย่างกับเจ้าหน้าที่รายหนึ่ง หน่องเลยมาถามตนว่า “ติดคนนี้คนหนึ่งเอาไงดี” จากนั้นหน่องก็ชวนตนไปเคลียร์กับเจ้าหน้าที่รายนั้น และปรากฏว่า อยู่ๆ หน่องก็เข้าไปต่อยหน้าทันที ยอมรับว่าตนตกใจมากและเป็นครั้งแรกที่เห็นพฤติกรรมหน่องว่าเป็นคนใจร้อน แต่ยืนยันนายหน่องไม่ได้มีพฤติกรรมเกี่ยวกับยาเสพติดและไม่ดื่มสุรา มีเพียงติดสูบบุหรี่เท่านั้น
ต่อมา บริษัทรับเหมาก่อสร้างยุติกิจการทำให้ตนไม่ได้เจอกับหน่องอีก และมาทราบภายหลังว่าหน่องไปทำงานกับกำนันนก ยืนยันติดต่อกับหน่องครั้งสุดท้ายคือคุยทางโทรศัพท์ช่วงต้นปีนี้ แต่หน่องไม่ได้เล่าอะไรให้ฟัง จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนไม่ขอออกความเห็น เพราะตอนนี้เป็นหน้าที่ของตำรวจแล้ว ตนก็อยากฝากเพียงว่า “อะไรที่ดีไม่ดีก็อโหสิกรรมให้กัน ก็อยากให้หน่องไปสู่ภพภูมิที่ดี”
ด้านนายสมชาย (นามสมมติ) ลุงของนายหน่อง บอกว่า หน่องมีภรรยา 2 คน โดยในงานฌาปนกิจศพวันนี้ ภรรยาของนายหน่องคนที่หนึ่งและคนที่สองก็มาร่วมส่งดวงวิญญาณครั้งสุดท้าย และมีพี่น้องที่มาร่วมงานคือพี่ชายคนโต แต่พี่ชายคนรองที่มีกรณีกับ พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร อดีตผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ไม่ได้มาร่วมงานในวันนี้ อ้างติดธุระนอกพื้นที่ ไม่มั่นใจว่าที่ไม่มาเพราะติดธุระจริงหรือเกี่ยวกับกรณีที่ถูกพาดพิง
ย้อนกลับไปในวันที่เกิดเหตุการณ์ 6 กันยายน ยอมรับหน่องกลับมาที่บ้านพักของภรรยาหลังก่อเหตุ โดยขับรถกระบะเข้ามาร่ำลาภรรยาและลูกก่อนที่จะขับรถหนีตามเวลาที่ปรากฏในกล้องวงจรปิดช่วง 22.23 น. ของวันที่ 6 กันยายน และขับรถออกไปในคืนเดียวกันช่วง 22.51 น. ก่อนถูกตำรวจวิสามัญในช่วงเช้ามืดวันที่ 8 กันยายน
ก่อนหน้านี้ ญาติคนอื่นก็ทราบจากภรรยาของว่า นายหน่องไปทำงานกับกำนันรายหนึ่ง แต่ไม่ทราบว่าเป็นกำนันนก และทำงานด้วยกันเป็นเวลาหลายปีแล้ว หลังจากที่นายหน่องไปทำงานกับกำนันนกก็สังเกตได้ว่าฐานะของนายหน่องดีขึ้นผิดหูผิดตา โดยนายหน่องไปทำงานกับกำนันนกและมีธุรกิจส่วนตัวปล่อยเงินกู้รายวัน ทำให้เพียงไม่กี่ปีต่อมาครอบครัวของนายหน่องก็มีฐานะร่ำรวยขึ้นมา
ซึ่งกำนันนกก็เคยมาหาหน่องที่บ้านพักหลังนี้นานๆ ครั้ง และก็ช่วยเหลือมาโดยตลอดรวมทั้งให้เงินให้ทอง จึงทำให้นายหน่องรักกำนันนกมาก ในส่วนอาวุธปืนนายหน่องมีมานานแล้ว ซึ่งเห็นประจำเพราะหากนายหน่องเกิดภาวะเครียดก็จะยิงปืนขึ้นฟ้าเล่น
ส่วนเหตุผลที่นายหน่องกล้าก่อเหตุยิงตำรวจจนเสียชีวิต เชื่อว่า ด้วยความที่นายหน่องเป็นคนมุทะลุไม่กลัวใคร ใจร้อน และรักกำนันนก ทำให้เชื่อว่าจึงกล้าก่อเหตุ ยอมรับว่าเหตุการณ์ครั้งนี้สะเทือนใจ ทั้งครอบครัวตนและครอบครัวของตำรวจ ก็เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ด้าน พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร อดีตผู้บัญชาการปราบปรามยาเสพติด ได้กล่าวถึงพี่ชายของหน่องว่า ตัวพี่ชายหน่องก็คงเสียใจที่น้องตาย แต่เหตุการณ์นี้มันรุนแรงเกินกว่าที่ตัวพี่ชายหน่องจะมาใส่อารมณ์ แม้แต่ทนายความตนก็ได้บอกไป การที่พี่ชายหน่องมาพูดแบบนั้น มันจะทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น ตนขอถามว่าพี่ชายหน่องจะรับไหวมั้ย ตอนนี้ผู้กำกับเขาเครียดจนฆ่าตัวตายไปคนนึงแล้ว จะมาพูดทำไม การที่จะมาพูดว่าน้องตัวเองเป็นหมาพิตบูล ตนขอบอกว่า “ไอ้หนูไม่ควรพูด” ที่ไม่ควรพูดเพราะน้องชายตัวเองไปก่อเหตุ ยิงนายตำรวจระดับนายพันเสียชีวิต แล้วตำรวจเขาจะเข้าจับกุมก็ยิงต่อสู้กันจนโดนวิสามัญ ควรจะเงียบดีกว่า
ตนก็เห็นมาบ้างในโลกโซเชียลว่า เขาท้าท่านเรวัต ตนก็เลยไปเปิดดู พิจารณาดูแล้ว ก็ไม่เห็นว่าเขาจะท้าตนตรงไหน ไม่เห็นมีด่าตน “พวกคุณก็อยากจะมัน ให้ผมไปฟัดมันละมั้ง ถ้าพี่ชายมันถูกแอบยิงตายก็คงบอกสงสัยเรวัชมา” เวลาจะเป็นแม่ทัพขี่คอช้างแล้ว ถ้าผลทหารฝั่งตรงข้ามมาท้าตีท้าต่อย มันไม่สมศักดิ์ศรี “ถ้าคุณเป็นมวยวัดแล้วไปท้าบัวขาวต่อย คิดว่าบัวขาวจะต่อยมั้ย แต่ผมไม่ใช่บัวขาว ผมเลี้ยงเสือไว้ไง ถ้าหมาเห่ามาก ก็จะได้ปล่อยเสือไปกัดหมา” ต้องตั้งสติว่าอะไรผิดอะไรถูก แต่ตนก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไรเขา