วันนี้ที่ห้องสอบสวนตำรวจภูธรภาค 7 ทางเจ้าที่ตำรวจได้มีการนำตัวนายโบ๊ท หนึ่งในผู้ต้องหาที่มีการนำเซิร์ฟเวอร์ที่เกิดเหตุไปโยนทิ้งน้ำ เพื่อทำลายหลักฐานมาสอบปากคำเพิ่มเติ่ม พร้อมกับหญิงสาวปริศนา ตอนนี้ยังไม่มีใครทราบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องราวดังกล่าวอย่างไร แต่จากสังเกตของนักข่าวพบว่า ท่าทีสีหน้าของหญิงสาวคนดังกล่าวดูเครียดอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะมีการกดโทรศัพท์พูดคุยกับใครสักคนด้วยท่าทีเคร่งเครียด
จากการสอบถาม นายโบ๊ท เปิดเผยว่า ตนเองได้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาทำลายพยานหลักฐานไปแล้วเมื่อวานนี้ แต่ พนักงานสอบสวนได้อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวเนื่องจากตนเองเดิน เข้ามามอบตัวและ มารับทราบข้อกล่าวหาด้วยตนเอง
ส่วนการถูกดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันทำร้ายหลักฐาน กล่าวว่า ได้มารับทราบข้อกล่าวหาดังกล่าวไปเรียบร้อยแล้ว และได้รับการปล่อยตัวไปเนื่องจากเป็นการรับสารภาพและเข้ามามอบตัวด้วยตัวเอง
จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปตรวจสอบในบ้านและพบอาวุธปืน 3 กระบอก ยอมรับว่าอาวุธปืนทั้งหมดไม่ใช่ชื่อของตนเองเป็นผู้ครอบครอง จึงถูกตำรวจนำมาแจ้งข้อหา ครอบครองอาวุธปืนผิดมือ และที่ตนเองมีอาวุธปืนหลายกระบอกนั้นไม่ใช่รับจำนำ แต่ไม่ได้เปิดเผยว่าเป็นปืนของใคร
ขณะที่เมื่อทีมข่าวได้สอบถามย้ำว่ายืนยันใช่หรือไม่ว่าที่นำเซิร์ฟเวอร์กล้องวงจรปิดไปทิ้ง นายโบ๊ทตอบว่าใช่ แต่เมื่อถามว่ากำนันนกเป็นผู้สั่งหรือไม่ นายโบ๊ท ตอบว่าเรื่องคดีไม่ขอตอบ
ตำรวจเรียกผู้ประกอบการรถบรรทุกในจังหวัดนครปฐมเข้าสอบปากคำเพื่อหาความเชื่อมโยง กลับส่วยสติกเกอร์ รถบรรทุกในพื้นที่
ล่าสุดเวลาประมาณ 14.20 น. ยังคงมีบุคคลที่เกี่ยวข้องเดินทางเข้ามาให้ปากคำอย่างต่อเนื่อง จากการสอบถามนายเก้า อายุ 60 ปี ผู้ประกอบการรถบรรทุกรายหนึ่ง ได้เปิดเผยกับทีมข่าวหลังจากให้ปากคำเสร็จ บอกว่า ในวันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เรียกเข้ามาสอบถาม เกี่ยวกับเรื่องสติกเกอร์ส่วย โดยตน ยืนยันว่า ไม่ได้มีการจ่ายเงินเกี่ยวกับเรื่องส่วยสติกเกอร์แต่อย่างใด และก่อนหน้านี้ไม่เคยมีเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานใดเข้ามาติดต่อถึงเรื่องนี้ ส่วนตัวมีรถอยู่ในครอบครองประมาณ 4-5 คัน และไม่ได้รู้จักกับ “กำนันนก” เป็นการส่วนตัว แต่รู้จักชื่อเพราะประกอบธุรกิจประเภทเดียวกัน แต่อยู่คนละเขตทั้งนี้ ไม่ได้รู้สึกเครียดหรือกังวลอะไรเพียงแต่เดินทางมาให้ปากคำตามข้อเท็จจริงเท่านั้น ซึ่งนอกจากตน เจ้าหน้าที่ได้เรียกผู้ประกอบการรถบรรทุกรายอื่นมาเข้าให้ปากคำด้วย
นอกจากนี้ ยังมี บุคคลอื่นเดินทางเข้ามาให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง รวมถึงสาวปริศนา ที่เข้ามาสอบปากคำก่อนหน้านี้ ว่าจะเกี่ยวข้องกับบัญชีม้าหรือไม่
อ. ปรเมศวร์ เผย การฮั๋วการประมูลของธุรกิจ “กำนันนก” ที่มีราคาต่ำถึง 30% ส่งผลให้เกิดการคอรัปชั่นของราชการไทย
วันนี้ทีมข่าวช่อง 8 ได้พูดคุยกับ “อาจารย์ ปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อัยการอาวุโสสำนักงานอัยการสูงสุด” ถึงลักษณะความผิดปกติ ของการประมูลโครงการก่อสร้างของ “กำนันนก” ที่มีการเสนอราคาที่ต่ำกว่า 30% จากราคากลางที่หน่วยงานภาครัฐได้กำหนดราคาไว้ 349 ล้าน แต่มีการประมูลไปได้ในราคา 240 ล้าน
ซึ่งเรื่องของราคามาตรฐานนั้น ไม่ได้มีบ่งบอกที่แน่ชัด อาจจะต่ำกว่า 5% หรือมากกว่า 10% ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น ไม่ได้มีการตายตัว แต่จากข้อมูลที่ออกมา เป็นพฤติกรรมราคาที่ต่ำกว่าปกติ จนทำให้รู้ได้ว่า มีพฤติกรรมการฮั้วการประมูล ซึ่งมีความผิดตามกฎหมาย พร้อมทั้งนี้ เมื่อมีการฮั้วการประมูล ทำให้มองได้ว่า วัสดุที่นำมาใช้ หรือสิ่งที่เอามาใช้ ไม่มีคุณภาพ และประการที่สอง ถ้าสิ่งเอามาใช้มาคุณภาพก็เป็นในเรื่องของหน่วยราชการประเมินผิด มันมีเหตุจูงใจอะไรไหม มันเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงต้องมีราคากลางไว้ พอเปิดซองมาผลก็อาจจะสูงหรือต่ำกว่าราคาได้เช่นกัน แต่ก็ต้องมีเรื่องของสเปค วัสดุอุปกรณ์ที่นำมาใช้ก่อสร้าง
และเมื่อมีการฮั้วการประมูล ส่วยก็จะเกิดขึ้น มาในรูปแบบของรถขนส่ง เพราะถ้าไปเห็นข้อมูลที่เกิดขึ้น จะมี “กำนันนก” ได้การประมูลไปเยอะที่สุด ในจังหวัดนครปฐม ซึ่งเมื่อสืบเชิงลึกก็จะทราบว่า บริษัทอื่น ไมสามารถยื่นซองประมูลได้ คนที่ทำการประมูลได้ก็อาจติดขัดเรื่องการวิ่งรถ เพราะเป็นบริษัทที่การก่อสร้างถนน ตึก อาคาร บ้านช่อง บรรทุกดิน หิน และถ้าบริษัทอื่น บรรทุกเกิดนิดหน่อยก็จะโดนจับ ถ้าไม่อยากให้ใครมาประมูลก็จับบ่อยๆ เรื่องรถก็ของเรา เรื่องขนก็จับไป ที่การไปให้เขาจับบ่อยๆ ก็ต้องมีคอนเนคชั่นที่ดี ต้องคุยกัน จนคนอื่นไม่กล้า และเขาก็ทำการประมูลเอง พร้อมบริษัทที่เข้าร่วมการประมูล ก็เป็นเพื่อนกัน อย่างที่เห็นได้ชัดว่ามีการซื้อซองเพื่อยื่นประมูลถึง 32 บริษัท แต่ทำการยื่นจริงๆ เพียง 3 ที่ มันเป็นความผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด แต่ถ้ามุมมองของกฎหมายก็จะเห็นว่ามันมีความผิดปกติ อันนี้น่าจะต้องไปปรับปรุงแก้ไขต่อไปอีก
เมื่อตนเองได้งานประมูลมา คนอื่นอยากได้ก็มาซื้อ งานต่อ ตรงนี้ก็คิดว่า ดีเอสไอ กับ ปปช. ต้องเข้ามาเช็ค ในข้อเท็จจริง และมันคือสิ่งที่ตนมอง ก็ไม่เคยพลาด เพราะรูปการมาแบบนี้ ไม่งั้นจะมีการฮั้วการประมูลหรือส่งส่วยมันไหม แต่เขามีรายได้ถึงพันล้าน
เรื่องการทุจริต เจ้าหน้าที่ของรัฐทุกคนที่เกี่ยว ไม่นายก เจ้าหน้าที่กองคลัง เจ้าหน้าที่พัสดุ ฝ่ายโยธา มันมี แต่ไม่ได้หมายถึงทุกคน ซึ่งถ้าไปดูจริงๆ เวลาตั้งการประมูล ถ้ามีการทุจริตในองค์กรใดองค์กรหนึ่ง ก็จะมีการตั้งกรรมการชื่อเดิมๆ คนอื่นไม่เอามา มันเป็นพฤติกรรม สำหรับโทษ เมื่อมีความผิด ในเรื่องขอคอรัปชั่นที่เป็นราชการ ก็จะเข้าค่าย พระราชบัญญัติกฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ปี 2542 ซึ่งมีโทษ 5-10 ปี
ซึ่งตนมองว่า คดีนี้ หรือการตรวจสอบครั้งนี้ ก็ทำให้ข้าราชการร้อนๆ หนาวๆ บ้าง สิ่งที่อยากฝาก คือ คนที่ทำงานราชการอยากให้ทำอะไร อย่างตรงไปตรงมา อย่าไปตัดตอนการทำเส้นทางด้วยงบที่ตนเองกำหนด เพื่อใช้เงินของประชาชนให้เกิดประโยชน์มากที่สุด
จอนนี่มือปราบ ประณาม 6 ตำรวจ ทำลายหลักฐาน ช่วยกำนันนก เผยผู้กำกับเบิ้มเป็นคนดี แต่ไม่สามารถปฏิเสธระบบได้
ด.ต.ยุทธพล ศรีสมพงษ์ หรือ จอนนี่มือปราบ เผยถึงเหตุยิง พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว สว.ส.ทล.1 กก.2 บก.ทล. เสียชีวิต ในงานเลี้ยง บ้านกำนันนก ระบุว่า “ชีวิตมันต้องแลกด้วยชีวิต มันถึงจะยุติธรรม เพราะจริง ๆ คุณไม่ควรจะไปสั่งการและกระทำต่อเขาอย่างนั้นเลย ชีวิตทุกชีวิตล้วนมีค่า เขายังมีอนาคตอีกยาวไกล”
ตนขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของสารวัตรอย่างมาก ตนรู้สึกเจ็บปวด เพราะตนก็เป็นตำรวจ พ่อก็เป็นตำรวจ รักอาชีพตำรวจและรักประชาชน ไม่อยากให้เกิดความสูญเสียเกิดขึ้นทั้งกับตำรวจและประชาชน
“ฝากไปถึงกำนันถ้าเป็นไปได้อย่าประกันตัวนะน้อง น่าจะเข้าใจ อยู่ข้างในดีแล้ว อย่าออกมาเลย ลูกพี่เรวัชท่านบอกว่าอย่าประกันตัว ออกมาไม่รู้ว่าใครเป็นใคร มันมีความเคียดแค้นอยู่ ซึ่งตนก็เห็นด้วยกับท่านเรวัช”
นอกจากนี้ตนก็ยังมีความสงสัยในส่วนของตำรวจที่อยู่ในงานว่าทำไมไม่มีใครตอบโต้ปล่อยให้คนร้ายหลบหนีออกไปจากบ้านได้อย่างไร ตนทั้งสงสัยเสียใจและเจ็บปวด แต่ก็ขอเป็นกำลังใจและชื่นชมทีมสืบสวนสอบสวนที่ทำงานได้อย่างรวดเร็ว
จากนั้น ด.ต.ยุทธพล ยังได้โพสต์คลิปอีกคลิป โดยระบุถึง 6 ตำรวจที่ถูกออหมายจับในคดีดังกล่าวว่าเหตุดังกล่าว สร้างความเสื่อมเสีย พร้อมตำหนิเหล่าตำรวจที่เข้าไปเกี่ยวข้องในคดีว่า ไม่มีความห่วงใยต่อผู้เสียชีวิต แต่กลับไปรับใช้โจร มีทั้งการทำลายหลักฐาน เก็บเซิร์ฟเวอร์กล้องวงจรปิด นอกจากนี้ยังระบุเพิ่มเติมว่าในอดีต ตนเคยมีโอกาสได้ร่วมงานกับพ.ต.ต.ศิวกร ยอมรับว่าท่านเป็นนักสืบฝีมือดี แต่ต้องมาพบกับความสูญเสีย
ในฐานะที่ตนเป็นตำรวจที่มีประชาชนติดตามจำนวนมาก ไม่ขอปกป้อง และขอประณาม พร้อมส่งกำลังใจให้ผู้บังคับบัญชาที่คลี่คลายคดีขอให้จัดการขั้นเด็ดขาดกับเหล่าตำรวจที่เข้าไปรับใช้โจร และเชื่อว่ายังมีอีกหลายพื้นที่ที่ตำรวจมีพฤติกรรมเช่นนี้
กระทั่งล่าสุด วันนี้ (13 ก.ย.66) จอนนี่มือปราบได้ลงคลิปล่าสุด โดยระบุถึงการเสียชีวิตของผู้กำกับเบิ้ม ว่าขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้กำกับเบิ้ม โดยตนเองนั้นเคยร่วมงานกับผู้กำกับเบิ้มในช่วงที่เป็นตำรวจคอมมานโดที่กองปราบ โดยผู้กำกับเบิ้มนั้นเป็นสารวัตรของตน มีโอกาสได้ร่วมงานกัน 3 ปี ทำหน้าที่สืบสวนทั่วราชอาณาจักรไทย
ขอยืนยันว่าผู้กำกับเบิ้มเป็นคนดี แต่ด้วยระบบจึงทำให้ท่านเข้าไปในงานเลี้ยงเลือดวันนั้น โดยท่านไม่สามารถปฏิเสธเพราะระบบและวัฒนธรรมที่มีมานานได้ แต่พื้นฐานของท่านเป็นคนดีคนหนึ่ง ก่อนตายผู้กำกับเบิ้มได้โทรมาหาตนเองเมื่อวันที่ 8 ก.ย.66 คุยกันประมาณ 6 นาที ตนถามว่ามีอะไรจะให้ตนช่วยชี้แจงหรือไม่ ซึ่งผู้กำกับเบิ้มบอกว่าท่านตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ วินาทีนั้นมัวแต่ห่วงเอาคนเจ็บส่ง รพ. ซึ่งตนก็บอกว่ามีอะไรก็บอกผมนะครับ ผิดว่าไปตามผิด ถูกว่าไปตามถูก และตนก็จะยังเป็นกำลังใจให้เหมือนเดิมแต่หลังจากนั้นก็มาทราบข่าวท่านยิงตัวเองเสียชีวิต
จอนนี่มือปราบ บอกว่า เรื่องที่เกิดขึ้นพูดแล้วก็เจ็บปวด ถ้าใครติดตามตนมานานจะรู้ว่าตนไม่เคยออกมาพูดเรื่องตำรวจเลยไม่ว่าจะคดีไหน แต่เคสนี้มันเจ็บปวดตั้งแต่แผลแรก คือแผลที่สารวัตรศิวกรถูกยิง แล้วตำรวจที่อยู่ในงานช่วยปกปิดช่วยทำลายหลักฐาน และเจ็บปวดกับวัฒนธรรมและระบบที่เป็นมา บางคนถึงกับน้ำตาไหลเพราะเจ็บปวดกับเรื่องนี้
ขอไว้อาลัยแด่นายตำรวจทั้ง 2 ท่าน แสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต แสดงความเสียใจและเป็นกำลังใจให้กับตำรวจน้ำดี หวังว่าเรื่องนี้จะเป็นบทเรียนและเป็นครั้งสุดท้ายที่เกิดเรื่องแบบนี้ ไม่ไปเกิดขึ้นในพื้นที่ไหนอีก ขอให้ตำรวจทั้งประเทศช่วยกันสร้างความศรัทธาคืนให้กับประชาชน
นายอำเภอแจง หลังจากให้กำนันนกหยุดปฏิบัติงานแล้ว ต่อไปต้องสอบสวนด้านวินัยร้ายแรง และ สรุปผลการสอบสวนว่าจะดำเนินการด้านวินั้ยอย่างไรต่อไป
ทีมข่าวได้ประสานขออนุญาติเข้าไปสัมภาษณ์ ท่าน ยุทธนา โพธิสิหค นายอำเภอเมืองนครปฐม แต่ท่านติดธุระจึงไม่สามารถให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวได้ โดยสามารถให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ ทีมข่าวจึงสอบถามถึงกรณี หลังจากที่ท่านนายอำเภอยุทธนาได้เซ็นต์คำสั่งให้กำนันนกหยุดปฏิบัติงานแล้ว หลังจากนี้ขะดำเนินการอย่างไรต่อ โดยท่านนายอำเภอยุทธนาได้ขี้แจงกับทีมข่าวของเราว่า
“ในตอนนี้ทางจังหวัดได้มีคำสั่งให้กำนันนกหยุดปฏิบัติหน้าที่และตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยร้ายแรงกับกำนันนกตั้งแต่วันที่7 กันยายนที่ผ่านมา โดยหลังจากนี้ก็จะมีการสอบสวนถึงการกระทำความผิดของกำนันนกว่าจะรับโทษทางวินัยอย่างไรบ้าง โดยระยะเวลาในการสอบสวนทางวินัย ตนเองก็ยังไม่สามารถตอบได้ เพราะตอนนี้กำนันนกก็ยังถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำจึงต้องมีขั้นตอนในการขออนุญาตเพื่อเข้าไปสอบสวนในเรือนจำ แต่ทางท่านผู้ว่าราชการจังหวัดท่านได้กำชับมาว่าให้ดำเนินการอย่างเร่งด่วน
และภายในอาทิตหน้า ตนจะไปยื่นขออนุญาติทางเรือนจำเพื่อเข้าไปสอบสวนกำนันนกถึงการกระทำความผิดว่าผิดวินัยร้ายแรงในส่วนไหนบ้าง โดยการสอบสวนของส่วนนี่จะไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะเป็นการสอบสวนทางวินัย และจะไม่เกี่ยวข้องกับความผิดทางอาญา ในส่วนของโทษทางวินัยถ้าสูงสุดก็คือ การปลดออกจากตำแหน่งกำนันและผู้ใหญ่บ้าน
"ชาดา" ไม่หนักใจสังคมคาดหวังสูงเรื่องขึ้นทะเบียนมาเฟีย-ผู้มีอิทธิพล เผยให้เเต่ละจังหวัดทำรายงานขึ้นมา ยังไม่ได้ขีดกรอบเวลา
นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการเริ่มนโยบายขึ้นทะเบียนรายผู้มีอิทพล ว่าเดี๋ยวแต่ละจังหวัดจะต้องทำรายงานขึ้นมา
ส่วนในการลงรายละเอียดการทำงานนั้น นายชาดา กล่าวว่าต้องเป็นไปตามกฏหมาย โดยดูว่าบุคคลดังกล่าวนั้นเข้าข่ายเป็นผู้มีอิทธิพลหรือไม่ หากเข้าข่ายก็ว่ากันไปตามกฏหมาย หลังจากได้รับรายงาน
เมื่อถามว่า สังคมคาดหวังสูง มีความหนักใจหรือไม่ นายชาดาตอบว่าไม่ได้หนักใจอะไร
ส่วนจะขีดเส้นกรอบเวลาในการทำงานอย่างไร ที่จะให้แต่ละจังหวัดรายงานเข้ามา นายชาดาตอบสั้นๆว่า ยังไม่ได้ขีดเส้น เดี๋ยวค่อยว่ากัน ก่อนเดินขึ้นที่ประชุม
"สุทิน" สั่งทหารห้ามออกนอกแถว หากพบมีเอี่ยว ธุรกิจสีเทา 'ผู้มีอิทธิพล ผู้บังคับบัญชาต้องรับผิดชอบ
นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีหากมีทหารถูกพาดพิงว่าอยู่เบื้องหลัง ธุรกิจสีเทาและผู้มีอิทธิพลจะมีการสั่งการตรวจสอบดูแลควบคู่ไปกับกระทรวงมหาดไทย อย่างไร ว่า มีการตรวจสอบอยู่แล้ว เป็นเรื่องที่เราต้องให้กองทัพกวดขัน ทหารของตัวเองให้อยู่ในแถว ถ้าพบทหารหน่วยใดออกไปทำการแบบนั้น ผู้บังคับบัญชาก็ต้องรับผิดชอบ เรามาจากพลเรือนเราต้องฟังเสียงจากสังคม สังคมเรียกร้อง เราไม่มีทางอื่นเราก็ต้องดำเนินการ