"นายกฯ" รับจัดตั้งรัฐบาลสลายขั้ว ขอเข้าใจคณิตศาสตร์พื้นฐาน แล้วแต่จะวิจารณ์นายกส้มหล่น ตระบัดสัตย์ ขอให้ดูที่ผลงาน เชื่อ 4 ปีข้างหน้า ผลลัพธ์สะท้อนผลเลือกตั้ง ยันเร่งแก้รธน. แต่ไม่สัญญาแล้วเสร็จ1-2ปีหรือไม่
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวบนเวทีเสวนา “Thairath Forum 2023” ภายใต้หัวข้อ “Future Perfect เปิดมุมคิด พลิกอนาคต” ถึงการทำงานในมิติการเมือง ที่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากช่วงก่อนเลือกตั้ง ว่า เป็นเรื่องของยุทธศาสตร์ทางการเมืองพื้นฐาน เราต้องการ 376 เสียงในการเป็นรัฐบาล และโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้ เราก็ทำตามสัญญาว่าจะไปรวมกับพรรคก้าวไกล แต่ไม่ผ่านการโหวตของ สว. ได้มาเพียง 324 เสียง ก่อนที่พรรคก้าวไกลส่งไม้ต่อมาให้พรรคเพื่อไทย ซึ่งนายเศรษฐา ถามกลับว่า หากพรรคเพื่อไทยไม่จับมือกับพรรคอื่น จะได้ถึง 376 เสียงหรือไม่ หากจะจับมือกับพรรคก้าวไกลต่อไปก็ไม่ถึง 376 เสียงอยู่ดี จะคอยอีก 9-10 เดือน จน สว. หมดวาระ ประชาชน ค่าน้ำ ค่าไฟ ก็คอยไม่ได้อยู่ดี รวมถึงนโยบายพักหนี้เกษตรกร วีซ่าฟรี ทุกเรื่องคอยไม่ได้ ขอให้ทุกคนตั้งต้นตรงนี้ก่อน ขอให้คิดเรื่องคณิตศาสตร์พื้นฐานก่อน ซึ่งเราก็มี 10 ล้านเสียงที่เลือกมาให้เราเป็นรัฐบาล และเราก็สามารถประสานกับพรรคการเมืองอื่น และตกลงกันได้ เรื่องนโยบาย เรื่องไหนที่เราไม่เอา ไม่สามารถผ่านการโหวตได้ก็ไม่แตะต้อง เป็นเรื่องที่ไม่ได้ขอความเห็นใจ แต่หากมองอย่างเข้าใจก็คือเรื่องพื้นฐาน
ส่วนการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ ถือเป็นการลงของรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารที่ผ่านมาลงอย่างสวยงาม หรือมีความชอบธรรมมากขึ้นหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารอยู่แล้ว พรรคการเมืองที่เข้ามาร่วมรัฐบาล และมาจากรัฐบาลเดิมก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการรัฐประหาร บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการรัฐประหารก็ลาออกไปแล้ว และเป็นการจัดตั้งรัฐบาลชั่วใหม่ พร้อมย้ำว่า เป็นการตั้งรัฐบาลขั้วใหม่ หลายคนอาจบอกว่า เป็นนายกฯส้มหล่น และนายกฯตระบัดสัตย์ ก็พูดกันไป แต่เชื่อว่า คนที่เข้าใจจริงๆ ก็เข้าใจในหลักคณิตศาสตร์ พร้อมย้ำว่า อยากให้มองเรื่องผลงาน เศรษฐกิจ สังคม ที่ให้คำมั่นไว้ว่าจะเดินต่อไป เพื่อให้ประชาชนทั้งประเทศไม่ผิดหวัง
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงวลี “ขอให้อยู่กับโลกความเป็นจริง” จะทำให้ความฝัน และความหวังของคนรุ่นใหม่หมดลงหรือไม่ ว่า ความฝัน ความหวัง และแรงบันดาลใจ เป็นหน้าที่ เป็นภารกิจหลักของผู้นำที่แบกไว้ และต้องนำเสนอ ต้องแสดงให้เห็นในช่วง 4 ปีว่าจะต้องค่อยเป็นค่อยไป และในที่สุดจะทำให้ประชาชนมีความหวัง หากเขาไม่มีความหวัง ไม่มีแรงบันดาลใจ ก็จะสะท้อนจากคะแนนเสียงในอีก 4 ปี
ขณะที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เคยพูดไว้ว่าในการประชุมครม. นัดแรก จะมีการตั้ง ส.ส.ร. เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ปรากฏว่ามติ ครม. ออกมาเพียงตั้งคณะกรรมการนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การตั้งคณะกรรมการชุดดังกล่าวตามมติ ครม. เป็นการตั้งคณะทำงาน เพื่อทำประชามติ ไม่ใช่ ส.ส.ร. ซึ่งต้องทำประชามติถามประชาชนก่อนว่าจะมี ส.ส.ร. ดำเนินการอย่างไร จะคัดเลือกจากภาคส่วนไหนบ้าง ซึ่งต้องทำงานร่วมกับสภา ไม่ใช่การดึง หรือไม่ให้ความสำคัญ แต่ใน ครม. นัดแรกได้ทำไปแล้ว แต่ยอมรับ ยังให้สัญญาไม่ได้ว่าจะแล้วเสร็จภายใน 1-2 ปี แต่ยืนยันว่า จะเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะดำเนินการ
นายกรัฐมนตรี ยังกล่างถึงการซื้อขายตำแหน่งข้าราชการตำรวจ ที่นำไปสู่การทุจริตคอรัปชั่น ว่า รัฐบาลไม่ได้เน้นแค่ข้าราชการตำรวจเท่านั้น ซึ่งในการประชุม ครม. นัดแรก ได้พูดคุยกับรัฐมนตรีถึงการไม่ยอมรับการซื้อขายตำแหน่ง การโยกย้ายข้าราชการอย่างไม่เป็นธรรม การไม่ให้เกียรติกับข้าราชการ ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลนี้ยอมรับไม่ได้ และต้องให้เกียรติข้าราชการที่มีผลงานดี เรื่องซื้อขายตำแหน่งถือเป็นเรื่องคอรัปชั่นที่ร้ายแรง รัฐบาลนี้ไม่ยอมรับ รวมถึงได้เน้นย้ำไปกับผู้บริหารกระทรวงการคลังในเรื่องนี้เช่นกัน ยอมรับว่า การซื้อขายตำแหน่งจะทำให้หมดไปนั้นยากแต่จะพยายามทำให้เหลือน้อยที่สุด จนเกือบเป็นไปไม่ได้ รวมถึงเรื่องการปราบปรามยาเสพติด ที่ต้องเร่งแก้ดำเนินการให้เหลือน้อยที่สุดเช่นกัน
ช่วงท้าย ผู้ดำเนินรายการได้ถามว่าทำไมนายเศรษฐาถึงไหว้สวย ซึ่งนายเศรษฐา บอกว่าคุณแม่ (ชดช้อย จูตระกูล) สอนมา เพราะมองว่าเรื่องการไหว้ทั้งสำคัญ เป็นความประทับใจครั้งแรกที่ได้พบกัน ดังนั้น การที่เราจะทำอะไรต่อไป ถ้าเกิดเริ่มต้นที่ดี มีการทักทายที่เหมาะสม ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นการให้เกียรติให้ความเคารพซึ่งกันละกันได้ดี ไม่ว่าจะเป็นใครต้องให้ความเสมอภาคเท่าเทียมกัน
ผู้ดำเนินรายการยังถามต่อว่าคุณแม่ได้สอนอะไรอีกบ้าง นายเศรษฐา บอกว่า ไม่พยามทำตัวให้เป็นภาระใคร พยามช่วยตัวเองให้ได้มากที่สุด ส่วนภายหลังที่ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คุณแม่ถามว่ารองนายกรัฐมนตรีเป็นใคร จะช่วยทำงานได้หรือไม่ ซึ่งก็ได้ให้ความเชื่อมั่นว่ารองนายกรัฐมนตรีทุกคนมีคุณภาพ ทำงานได้อย่างแน่นอน ซึ่งหลังทำงานตลอดทั้ง 7 วันคุณแม่ก็คอยถามเสมอว่าเป็นอย่างไรบ้าง กลับบ้านเมื่อไหร่ และก็จะได้เจอกันช่วงเช้า
ส่วนแนวคิดการนอนทำเนียบรัฐบาล โดยนายเศรษฐา ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง เพราะบ้านที่ตนอยู่ปัจจุบันมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก อาจทำให้เพื่อนบ้านได้รับความเดือดร้อน อีกทั้งจะได้ไม่ต้องเดินทาง ไม่เป็นภาระตำรวจติดตาม แต่ที่จะเป็นภาระจริงๆ ก็คงมีทีมเลขาฯ ตน 4-5 คนเท่านั้น ก่อนย้ำว่าตนทำงานเต็มที่ “เทหมดหน้าตักจริงๆ”
ผู้ดำเนินรายการถามคำถามสุดท้าย โดยได้อ้างอิงถึงคำพูดของโค้ชสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลว่าอยากเขียนเรื่องราวในประวัติศาสตร์ของตัวเอง ก่อนถามนายเศรษฐาว่าอยากเขียนเรื่องราวของตัวเองอย่างไร ในวันที่มีตำแหน่งและวันที่ลาจากตำแหน่ง นายเศรษฐา ตอบทันทีว่า “ตนไม่อยากเขียนเรื่องตัวเอง อยากให้ประชาชนเป็นคนเขียน” อยากให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ไม่มีการด้อยค่ากัน รวมพูดคุยกันได้อย่างเปิดเผย อยากให้สังคมดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่สุด