จากเหตุการณ์ นายหน่อง ลูกน้องของกำนันนก ใช้อาวุธปืนยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นาย ภายในงานเลี้ยงของ "กำนันนก" เป็นเหตุให้ พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว หรือสารวัตรแบงค์ เสียชีวิต เหตุเกิดเมื่อคืนวันที่ 6 กันยายนที่ผ่านมา
โดยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งการให้ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง รับสำนวนการสอบสวนคดี "กำนันนก" จากตำรวจภูธรภาค 7 มาสอบสวนต่อโดยให้หน่วยงานในสังกัดตรวจสอบทุกด้าน
ล่าสุด พลตำรวจโทจิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยหลังจากร่วมประชุมกับหน่วยงาน 11 หน่วยงาน ภายใต้สังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อเร่งดำเนินคดีที่พันตำรวจตรีศิวกร สายบัว ตำรวจทางหลวงที่ถูกยิงเสียชีวิตระหว่าง งานเลี้ยงในบริษัทของนายประวีณ จันทร์คล้าย หรือ อดีตกำนันนก เนื่องจากรับโอนคดีจากสภ.เมืองนครปฐม มาดำเนินคดีต่อที่ตำรวจสอบสวนกลาง
พลตำรวจโทจิรภพ ระบุว่า คดีนี้ตำรวจสอบสวนกลางรับคดีฆาตกรรม และคดีละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรา 157 ของตำรวจที่อยู่ในเหตุการณ์มาสอบสวนต่อแล้ว เนื่องจากพบว่าเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับผูัมีอิทธิพลในพื้นที่ เหตุอุกอาจ การก่อเหตุอุกฉกรรจ์ คดีมีความซับซ้อน หากคดีถึงชั้นอัยการ และศาลในพื้นที่แล้วอาจจะทำให้มีอิทธิพลของคนในพื้นที่มากดดันการทำงานได้ เบื้องต้นมีตำรวจ 13 นาย อาจจะถูกแจ้งข้อหา ตามมาตรา 157
โดยคดีนี้จะดำเนินการสืบสวน และสอบสวนต่อเนื่องจากตำรวจภูธรภาค 7 ไม่ได้เป็นการรื้อคดีใหม่ เช่นเดียวกับคดีละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ของตำรวจที่อยู่ในเหตุการณ์ หลังจากดำเนินคดีไปแล้ว 6 นาย ขณะนี้กำลังพิจารณาพยานหลักฐานให้ครบถ้วนก่อนว่าตำรวจนายใด มีพฤติการณ์ช่วยเหลือผู้ต้องหาหรือไม่
โดยจะพิจารณาใน 2 ประเด็น คือ ตามข้อเท็จจริง ในขณะเกิดเหตุเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทั้งก่อน และหลังเกิดเหตุ และประเด็นข้อกฎหมาย ต้องไปสอบถามกับพนักงานสอบสวน โดยจะพิจารณาว่าพฤติการณ์ใดบ้างที่จะเข้าข่ายผิดในข้อกฎหมายนี้ เช่น ในระหว่างเกิดเหตุ มีตำรวจนายใดโทรศัพท์แจ้งเหตุ นำตัวผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล หรือออกจากที่เกิดเหตุทันที ซึ่งก็จะเป็นไปได้หลายแนวทางข้อเวลาให้ตำรวจสอบสวนก่อน ซึ่งหากพบใครผิดก็จะดำเนินคดีตามกฎหมายทั้งหมด
สำหรับกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุ พบว่าในที่เกิดเหตุมีทั้งหมด 15 ตัว ซึ่งมีรายละเอียดเยอะมาก ซึ่งหากใครมีความผิดหรือไม่ผิดก็จะต้องตรวจสอบในกล้องวงจรปิดประกอบ แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะมีการออกหมายจับตำรวจเพิ่มเติมหรือไม่
ขณะที่พลตำรวจเอกวิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ขณะนี้ หัวหน้าคณะทำงานอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลของตำรวจที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นทั้งหมด ซึ่งตอนนี้ยังอยู่ระหว่างการทำงานของพนักงานสอบสวน ในกรอบเวลา 15 วัน และเมื่อครบกำหนดเวลา จะให้หัวหน้างานงานที่สอบสวนทางวินัยต้องรายงานมายังตนเอง ส่วนจะมีความผิดทางวินัย ร้ายแรงจนถึงขั้นออกจากราชการหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน แต่ความผิดทางวินัยที่ตรวจสอบไปนั้นคนละเรื่องกับความผิดทางอาญาที่สอบสวนกลางตรวจสอบ แต่การตรวจสอบก็จะประสานควบคู่กันไป
ภายหลังจากที่มีการโอนย้ายคดี มาให้กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองปราบปรามดูแล โดยพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยก่อนเดินทางไปภารกิจที่จีน โดยผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามเกี่ยวกับประเด็น การโอนสำนวนคดียิงสารวัตรแบงค์ และ คดีการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจที่ไปร่วมในงานเลี้ยง มาให้กองปราบปรามทำ ว่ารู้สึกน้อยใจหรือไม่
"ยืนยันว่าเป็นเรื่องของการทำงาน ไม่ใช่การน้อยใจหรือไม่น้อยใจ และการโอนสำนวนมาให้กองปราบปรามจะส่งผลดีมาก เพราะสำนวนเวลาสั่งฟ้อง จะส่งไปที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เพราะฉะนั้นวันนี้ใครจะวิ่งเต้น ก็วิ่งเต้นไม่ได้ เพราะสำนวนมาอยู่ในกรุงเทพฯแล้ว ที่พูดไม่ใช่หมายความว่าจะวิ่งเต้นได้ ในพื้นที่จังหวัดนครปฐม แต่เพื่อเป็นการป้องกันอีกชั้นหนึ่ง
เพราะฉะนั้นย้ำว่าไม่ได้น้อยใจ แต่เป็นการทำงานร่วมกัน เพื่อเป้าหมายเดียวกัน ให้ศาลพิพากษาลงโทษกำนันนกให้ได้ เพราะวันนี้พยานหลักฐานมัดแน่น และสิ่งที่ตนเองต้องทำต่อคือการตรวจสอบ ขยายผลเรื่องของการฮั้วประมูลโครงการต่างๆ และการร่ำรวยผิดปกติ และเส้นทางการเงินมีการทุจริตหรือไม่ โดยจะมีการประชุมในวันพรุ่งนี้" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่พลตำรวจโทจิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางแถลงข่าว ทางด้านพลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ปานแก้ว รักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจทางหลวง เปิดเผยว่า ในเรื่องนี้ตำรวจสอบสวนกลางจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายทั้งตำรวจและคนที่อยู่ในเหตุการณ์ โดยจะนำข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นมายืนยัน โดยจะต้องมาไล่เรียงใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่หลังเสียงปืนดังขึ้น มีใครที่วิ่งหนี หรืออยู่ต่อแล้วทำอะไรบ้าง ส่วนใครจะเกี่ยวกับข้อหาละเว้นปฏิบัติหน้าที่ฯ ก็จะมาตรวจสอบกันทีละนาย
พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ระบุว่า วันเกิดเหตุได้ไปตรวจสอบในที่เกิดเหตุ และคุยกับคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุหลายคน รวมทั้งพบเจอพันตำรวจเอกวชิรา ยาวไทยสงค์ (ผู้กำกับเบิ้ม) ในฐานะผู้บังคับบัญชาของพันตำรวจตรีศิวกร และที่บริเวณแขน และเสื้อมีรอยเลือดเปื้อนอยู่ รวมทั้งได้ช่วยเหลือพันตำรวจตรีศิวกร ร่วมกับลูกน้องอีก 3 คน ออกจากพื้นที่ โดนอุ้มอยู่บริเวณข้อเท้า ก่อนไปสั่งการต่อ รวมทั้งนำพันตำรวจโทวศิน พันปี ตำรวจที่บาดเจ็บไปส่งโรงพยาบาล จึงอยากให้สังคมให้ความเป็นธรรมกับพันตำรวจเอกวชิรา ที่รับผิดชอบในสิ่งที่กระทำไปแล้ว
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เปิดเผยอีกว่า โดย พ.ต.อ.วชิรา นั่งมาในรถกระบะ พร้อมกับ พ.ต.ต.ณรงค์ พิทักษ์ฉนวน ด.ต.สราวุฒิ เชียงทอง ออกมาช่วยยก พ.ต.ท.วศิน ขึ้นเปลเข้าห้องฉุกเฉิน ซึ่งหลักฐานส่วนนี้เป็นหลักฐานสำคัญที่สามารถยืนยันได้ว่าพ.ต.อ.วชิรา ให้การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ไม่ได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่แต่อย่างใด