จากเหตุการณ์ นายหน่อง ลูกน้องของกำนันนก ใช้อาวุธปืนยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นาย ภายในงานเลี้ยงของ "กำนันนก" เป็นเหตุให้ พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว หรือสารวัตรแบงค์ เสียชีวิต เหตุเกิดเมื่อคืนวันที่ 6 กันยายนที่ผ่านมา
ทีมข่าวช่อง 8 ได้พูดคุยกับ นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายคลายทุกข์ ถึงมุมมอง และคำสั่งการโยกคดี มาให้ สอบสวนกลาง นั้น เจ้าตัวได้เผยว่า ตนมองว่าในประเด็นของการมีคำสั่งด่วน จาก พบ.ตร. ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ “บิ๊กโจ๊ก” สิ้นสุดการทำงานทันทีเพราะสำนวนต่างๆ หรือการแจ้งข้อกล่าวหา ก็ขึ้นอยู่กับส่วนกลางกองปราบปราม และเท่าที่ตนทราบ ในการปฏิบัติงาน อยู่ในการวิเคราะห์ การกระทำความผิดของตำรวจ 14 นาย ว่าเป็นการช่วยเหลือผู้กระทำความผิดหรือไม่ ละเลยไหม หรือช่วยเหลือคนเจ็บหรือไม่ เป็นพฤติกรรมของแต่ละคน ซึ่งการแถลงข่าว ก็ต้องดูด้วยว่าจะฉีกหน้า “บิ๊กโจ๊ก” หรือไม่
ในมุมตนมองว่า ที่การโยกคดีนั้น อาจเป็นเพราะมีการแทรกแซง อาจจะมีตำรวจบางคน หรือ การที่ “บิ๊กโจ๊ก” แถลงข่าวทุกวัน อาจทำให้ภาพลักษณ์ของตำรวจเสีย ตนคิดว่าแบบนั้น เพราะทุกครั้งที่ “บิ๊กโจ๊ก” แถลง ก็จะพูดแบบตรงๆ ว่า ตำรวจพวกนี้ เป็นตำรวจที่แย่ ไม่มีใครเข้าข้าง และทำตัวเป็นไม้ค้ำยันกับผู้มีอิทธิพล บางคนก็คิดว่าจะทำให้ตำรวจเสียหาย และตำรวจที่อยู่ในที่เกิดเหตุ เป็นตำรวจทางหลวง และถ้าจะดำเนินคดีทั้งหมด มันจะสะท้อนไปถึงผู้การทางหลวง ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนกลางว่า กลายเป็นตำรวจสีเทาไปหมด
สำหรับในเรื่องความกังวลของประชาชน ว่าถ้ามีการโยกไป ที่สอบสวนกลาง ประชาชน อาจจะไม่ค่อยได้รับข้อมูล หรือมีการเงียบหายไปเลย ซึ่งสามารถมองแบบนั้นได้ เพราะในสไตล์การสอบสวนกลาง ก็จะไม่ให้รายละเอียดทุกอย่างที่อยู่ในสำนวน ซึ่งสามารถเห็นได้จาก เมื่อวานที่ท่าน "พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ" รองผู้การกองปราบ ฝ่ายสอบสวน ก็ไม่ค่อยอยากให้สัมภาษณ์ เพราะฉะนั้น หลังจากนี้ พี่น้องประชาชน อาจจะไม่ได้ข้อมูลลงลึก เหมือนกับ “บิ๊กโจ๊ก” ที่ให้ข้อลงลึกและเป็น ep เลย เพราะฉะนั้น มีความเป็นไรได้ ที่ประชาชนอาจจะคิดไปเอง และรอดูกันไป
ซึ่งถ้าถามว่าควรกังวลไหม ก็ต้องบอกว่า กรมสอบสวนการเป็นผู้บังคับบัญชาการของกรมทางหลวง จะช่วยกันไหม แต่ทุกสิ่งทุกอย่างมันเดินด้วยกล้องวงจรปิด เพราะฉะนั้น ส่วนนี้ก็จะไม่สามารถไปแก้ไข และตนเชื่อว่า กองบังคับการหน่วยสอบสวนกลาง ก็จะทำงานอย่างตรงไปตรงมา เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องพฤติกรรมตำรวจสีเทา ยิงตำรวจตาย ถ้าเกิดยังช่วยเหลือ ก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว แต่ก็เชื่อว่า เขาน่าจะตรงไปตรงมา แต่ก็พึ่งได้คดีมา ก็อยากให้เวลาเขาหน่อย
และสำหรับการทำงานของ “บิ๊กโจ๊ก” นั้นก่อนหน้า มีการยึดหลักฐานจากภาพกล้องวงจรปิด ที่เป็พยานที่ดีที่สุด แต่พยานบุคคลนั้น เป็นเรื่องของคำพูดคน มันสามารถเปลี่ยนได้ตลอดเวลา แต่ถ้ากล้องมีอยู่ทุกอย่าง ก็จบแล้ว และคงช่วยเหลืออะไรไม่ได้ เพราะไม่งั้นก็คงโดนมาตรา 157 เพราะพยานหลักฐานมันชัด จากกล้องวงจรปิด ขาดแค่ 2 ตัว
ตนเชื่อว่า สำนวนของ “บิ๊กโจ๊ก” ที่จะส่งต่อให้กองปราบปรามสามารถเชื่อถือได้ และสานต่อในการทำคดี แต่เพียงเรื่องการแจ้งความ ตำรวจ 13 นาย เป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนอยู่เหมือนกัน ว่าคนไหนมีการทำพฤติกรรมอย่างบ้าง ก็ต้องให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่าย
ในทางกฎหมาย เรื่องการตีความของการกระทำผิด 157 นั้น ตนมองว่า ในการกระทำความมาตรานี้ ต้องบอกว่า ตำรวจเป็นเจ้าหน้าที่พนักงาน มีหน้าที่จับกุม เมื่อพบมีการกระทำความผิด ก็เป็นไปตามวิอาญามาตรา 2 (16) และมีอำนาจสืบสวนจับกุม ตามมาตรา 17 ไม่ว่าจะนั่งกินเหล้า ถอดเสื้อ ยังเป็นตำรวจตลอดเวลา เห็นมีการยิงกัน ก็ต้องเข้าจับกุม จะอ้างว่าปืนอยู่ในรถ หรืออะไรไม่ได้เลย ตามแนวคำตัดสินศาลฎีกา เมื่อคุณเห็น ว่ามีการยิงตำรวจ คนที่ได้ยินและเห็นนั้น จะมีข้ออ้างว่า ขี้ขลาด ตอนนั้นนั่งดื่มอยู่ ก็ไม่สามารถอ้างได้ ต้องทำการจับ คนที่อยู่ตรงนั้น ต้องจับ ไม่ได้ปล่อยให้มีพฤติกรรม เก็บบ้าน เอากล้องไปทิ้ง ช่วยให้หลบหนี ล้างเลือด เก็บปลอกกระสุน ยกเว้นบุคคลที่เอาคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาล อาจจะรอด ในมุมตน ต้องโดน 157 ทุกคน เพราะเห็นยิงตำรวจตาย และเป็นตำรวจต้องเข้าจับกุม หรือบางคน ขึ้นลัมแล้ว แต่ไม่ยิง และก็ไม่ยิง ปล่อยบางคนนำขบวน สั่งให้มีการทำลายหลักฐาน และเอากล้องไปทิ้ง พวกนี้คือ ต้องโดนหมด ผิด 100% สิ่งที่อยากฝากถึงกองปราบปราม ตนเชื่อว่า หัวใจของกองปราบปรามเป็นมืออาชีพ และ เชื่อว่าจะทำงานแบบตนไปตนมา เอาผิด “กำนันนก” ได้ เชื่อแบบนั้น เพราะเขาที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน ถ้ามีการช่วยเหลือได้ ก็ไม่รู้จะพึ่งใครแล้ว เพราะเป็นหน่วยงานที่สุดยอดแล้ว ก็อยากให้ประชาชนเชื่อมั่น แต่ก็ต้องให้เวลาการทำงานเขา เพราะเขาพึ่งได้สำนวนเพียงไม่กี่วัน
ด้าน นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อัยการอาวุโส สำนักงานการสอบสวน เพื่อสอบถามความเห็นถึงกรณีดังกล่าว โดย อาจารย์ปรเมศวร์ กล่าวว่า ในส่วนของคดีต้องแยกเป็น2ส่วน ในส่วนของคดีการฆ่าสารวัตรแบงค์ ส่วนตัวคิดว่าชัดเจนแล้ว ทั้งเรื่องมูลเหตุจูงใจ การทำลายพยานหลักฐาน เมื่อเที่ยบกับคดีเก่าที่มี พันตำรวจตรีรายหนึ่งยิง ดาบตำรวจอนุสรณ์ เตชะเสน ศาลได้ลงความเห็นว่าถึงแม้ไม่มีประจักษ์พยานศาลก็ลงโทษได้เพราะมีมูลเหตุจูงใจชัดแจ้ง หรือแม้คดี อดีต สส.พรรคประชาธิปปัตย์รายหนึ่งยิง นายก อบจ. ในห้องน้ำแล้ว ไม่มีคนเห็นศาลก็ยังตัดสินจำคุก50ปี เพราะฉะนั้นคดียิงเนี่ยตนคิดว่ามันจบแล้ว ส่วนคดีที่ตำรวจบางนายมีการช่วยเหลือกำนันนกนั้น เป็นคดีทุจริต ที่ชัดเจนก็ได้ตั้งข้อหาไป6นายแล้ว ส่วนตำรวจที่เหลือก็ควรจะตั้งข้อกล่าวหาได้แล้วจะสังเกตได้ว่าทำไมถึงช้าผิดปกติ
แล้วในเรื่องการโอนย้ายคดีให้กองปราบปรามรับผิดชอบต่อก็ควรที่จะโอนมาทั้งหมดเพราะมันเป็นเนื้อเดียวกันเกี่ยวพันกัน และตัวกำนันนกเอง ก็มีส่วนในคดีทุจริต โดยเป็นผู้สนับสนุนให้เจ้าพนักงานกระทำการในหน้าที่มิชอบในการทำลายหลักฐานในการพาตัวผู้ต้องหาหลบหนี ซึ่งตนเองก็แปลกใจว่าทำไมไม่โอนย้ายคดีมาทั้งหมด เพราะคดีนี้ควรจะสั่งฟ้องแล้วเสร็จภายในต้นเดือน ธันวาคม หรือ 84 วัน หลังจากมีการจับกุมตัวผู้ต้องหา ซึ่งคดีนี้จะเป็นการพิสูจน์ว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะจริงใจแค่ไหน และ ผบ.ตร. ท่านใหม่ที่จะมารับหน้าที่ต้องชี้ให้ชัดว่าจะดำเนินการกับตำรวจในส่วนที่เหลืออย่างไร เพื่อเป็นการพิสูจน์ให้ประชาชนได้เห็นว่ายังมีที่พึ่งอยู่
ส่วนเรื่องที่มีการว่า บิ๊กโจ๊ก มีการเอาหลักฐานมาเปิดเผยให้ประชาชนได้รับมราบนั้นส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องดี เพราะเดี๋ยวนี้ก่อนที่จะขึ้นศาลจะต้องมีการเปิดเผยทั้งฝ่ายโจทก์ และฝ่ายจำเลยว่ามีพยานหลักฐานอะไรบ้าง เพื่อให้อีกฝ่ายได้ทราบว่าจะต้องแก้ข้อกล่าวหาอย่าวไร และส่วนไหนที่ตกลงกันได้ก็ไม่ต้องมาถกเถียงกันในชั้นศาล เพราะฉะนั้นการที่เอาหลักฐานพยานบางอย่างมาเปิดให้ประชาชนรับรู้จึงเป็นเรื่องดี เพราะประชาชนจะได้รู้ว่าการกระทำแบบนี้มันเลวร้ายเช่นไร และจะได้รับผลกระทบอย่างไร
และเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะรับช่วงทำคดีต่อจากนี้ก็ขอให้ทำให้มันชัดเจนและตรงไปตรงมา ตอนนี้ทุกคนฝากความหวังไว้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าจะทำความจริงของเรื่องนี้ให้ปรากฏอย่างไรความเชื่อมันของสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็จะได้กลับมามีความชอบขึ้นบ้าง
ส่วนในเรื่องคนที่จะโดน157 นั้น คนที่ช่วยเหลือสารวัตรแบงค์ ที่พาไปโรงพยาบาลน่าจะรอด ไม่เกี่ยวกับคนที่ตามไปหรือไปเยี่ยมไข้ แต่คนอื่นๆก็จะอ้างว่าไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้ และในส่วนเรื่องให้การเท็จนั้นถ้าเป็นการสอบสวนในส่วนของพยานจะให้การเท็จไม่ได้ถ้ามารู้ภายหลังว่าระหว่างสอบสวนพยานได้มีการให้การเท็จก็จะมีความผิดข้อหาให้การเท็จโดยทันที แต่ถ้าแต่แรกสอบสวนในฐานะผู้ต้องหาจะให้การอย่างไรก็ได้ จะให้การเท็จก็ได้แต่ศาลจะมีการตรวจสอบหลักฐานและพยานประกอบในการตัดสินคดีอย่างละเอียดก่อนที่จะตัดสินคดีความอยู่แล้ว
ส่วนในเรื่องของการโอนย้ายคดีมาให้ กองปราบปราม รับช่วงต่อนั้นตนเห็นเป็นเรื่องที่ดี เพราะคดีใหญ่ๆ ไม่ควรให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่เป็นผู้รับผิดชอบ ควรที่จะโอนย้ายเข้าส่วนกลางถูกแล้ว เพื่อป้องกันการทุจริตและการทำลายพยานหลักฐานในคดีนั้นๆ แต่ในการโอนย้ายคดีก็ต้องโอนทั้งหมดเพราะมันเป็นเนื้อเดียวกัน
ในส่วนความหนักแน่นของพยานและหลักฐานเท่าที่เห็น ในส่วนของเรื่องการฆ่าไม่โดนยกฟ้องอย่างแน่นอน และในส่วนของตำรวจที่ให้การช่วยเหลือก็ไม่โดนยกฟ้องอย่างแน่นอน แต่ส่วนที่ยังไม่แจ้งข้อกล่าวหาอันนี้น่าเป็นห่วง เพราะประชาชนก็จะมองในส่วนของตำรวจว่าจะช่วยกันเองหรือเปล่าสังคมต้องจับตาดู
และตอนนี้ก็เป็นหน้าที่ของ ว่าที่ ผบ.ตร.คนใหม่ว่าจะเรียกความเชื่อมั่นในส่วนของตำรวจกลับมาอย่างไร ซึ่งมันเป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงอยู่ แต่ตนก็คิดว่าเดี๋ยวก็จะแกมาในแนวทางที่ดี ในส่วนกระแสข่าวที่ว่ากำนันนกที่ถูกจับเป็นตัวปลอม อันนี้ตนเห็นว่าไม่น่าจะจริงเพราะเดี๋ยวนี่การตรวจสอบหลายๆอย่างทันสมัยและยังมีโซเชียลซึ่งเป็นการยากที่จะมีการจับตัวปลอม ส่วนโทษของกำนันนกจะถึงประหารหรือไม่ ก็ต้องขึ้นอยู่กับการนำสืบและมูลเหตุจูงใจในการก่อเหตุ ว่าสอบสวนออกมาเป็นเช่นไร
ในส่วนของร.ต.อ.จตุรวิทย์ พบว่าเป็น 1 ในตำรวจที่ช่วยเหลือพ.ต.ท.วศิน ที่ถูกยิงได้รับบาดเจ็บส่งโรงพยาบาล
แต่กลับปรากฏว่า ในช่วงเวลา 21.34 น. กล้องวงจรปิดจับภาพ ร.ต.อ.จตุรวิทย์ ขี่รถนำขบวนกำนันนก
ซึ่งในประเด็นนี้ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ยืนยันว่า หากพบช่วยเหลือผู้กระทำความผิด ต้องถูกดำเนินคดี