นางสมนา อายุ69ปี ร้องเพจ จ่าคิงส์ แตงทิม สะพานใหม่ ว่าพักอยู่บ้านในที่ตาบอด ไม่มีทางเข้าออก ล่าสุด ข้าวไม่ได้กิน ไปหาหมอไม่ได้ ถ้าป้าตายใครรับผิดชอบ บ้านป้าอยู่ตรงกลางเป็นไข่ดาว ไม่มีทางออกไปไหนได้
ทีมข่าวได้รับข้อมูลว่าพื้นที่ซอยบ้านตาบอดนั้น มีบ้าน 6 หลัง (มีบ้านคน และหอพัก) และพื้นที่รกร้าง 1 ที่ โดยพบว่าในซอยดังกล่าวมีคนพักอยู่บ้าน 2 หลัง คือบ้านของป้านา และหญิงสาวอีกคนที่เพิ่งมาซื้อบ้านอยู่แล้วดันโดนปิดรั้วเข้าบ้านไม่ได้
ทีมข่าวได้ไปพูดคุยกับฝั่งของคู่กรณีที่เคยมีข้อพิพาทเรื่องทางออกฝั่งซอยพหลโยธิน 54 กรุงเทพฯ แล้วมีการก่ออิฐปิดทาง
โดยพบว่าบริเวณดังกล่าวเป็นอพาร์ทเมนท์บริเวณรั้วมีการก่อกำแพงปิดแต่เมื่อสังเกตดีๆ จะเห็นว่าตรงกำแพงสีเขียว มีเสาเหล็ก คาดว่าเป็นรั้วเก่าที่เคยเป็นทางเข้าออกผ่านไปที่ตาบอด
ทีมข่าวสอบถามคุณสมบัติ หนึ่งในคนที่เคยอยู่ในที่ตาบอดแล้วเพิ่งย้ายออกมาไม่นานมานี้ เล่าว่า วันนี้ตนแอบลอดรั้วแผ่นเหล็กผ่านที่ดินเปล่าเพื่อเข้ามาดูหอพักที่ปิดไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากโดนปิดทางสองด้าน จริงๆ ซอยนี้เหลือบ้านอยู่อาศัยแค่ 2 หลัง หนึ่งในนั้นมีบ้านของป้าสมนา หรือป้านา คนที่ส่งเรื่องร้องเรียน
จังหวะที่ทีมข่าวกำลังคุยกับคุณลุงสมบัติอยู่นั้น ป้าสมนาเดินออกมาจากบ้านแล้วบอกกับเราว่า ไม่ได้ออกจากบ้านมาหลายวันแล้วนับตั้งแต่เขาปิดรั้วฝั่งที่ตนใช้ออกประจำคือ ซอยพหลโยธิน 52 ป้าใช้ทางนี้ออกมาหลายปีแล้ว
ป้าเล่าย้อนว่าในอดีตก่อนปี 41 ป้าใช้ทางเข้าออกฝั่งซอยพหลโยธิน 54 แต่ไม่กี่เดือน ทางนั้น (จุดสังเกตคือมีอพาร์ตเม้นท์สีเขียว) ได้ปิดโดยรั้วเหล็ก ชาวบ้านพื้นที่ตรงกลาง ได้ยื่นฟ้องร้องต่อศาลต่อกรณีที่มาปิดตรงทาง ต่อมาศาลตัดสินให้มีภาวะจำยอม และได้มารื้อ รั้วเหล็กนี้ออก ในปี 58 ก็ใช้ทางเข้าออก นี้สักพัก
จนมาปี 59-60 ทางตรงนั้น ได้โดนปิดโดย กำแพงปูน อีกครั้ง คราวนี้ชาวบ้าน ไม่ได้อยากทะเลาะกับเจ้าของที่ด้านหน้า คือทาง (พหล54 แยก 2) ด้วย เลยเลือกออกอีกทางก็คือทาง(พหล52แยก3)มาตลอด ตั้งแต่ปี60 จนต่อมา เมื่อปี64 ที่ผ่านมา ได้มีการซื้อขายที่ดิน คือที่ดินตรงพหล52แยก3 และเมื่อวันที่6 กันยายน2566 ทางเจ้าของใหม่มากั้นที่ตรงบริเวณพหล52แยก3 โดยปิดโดยสังกะสี คราวนี้พื้นที่ตรงกลางก็ไม่มีทางออกอีกเลย
ถามป้าว่าพอจะเจรจาพูดคุยเรื่องเปิดทางได้หรือไม่ป้านา บอกว่า อยากจะพูดคุยขอให้ทางฝั่งที่ตกลงเรื่อง ภาระจำยอม(ฝั่งพหลโยธิน 54) เปิดทางให้ขอเเค่ 4 เมตรให้รถเข้าออกได้
นักข่าวถามว่า ถ้าเขาไม่ยินยอม ป้าขายที่ไปอยู่ที่อื่นได้หรือไม่ ป้าบอกป้าตัวคนเดียว ป้าสร้างบ้านมาด้วยเงินทุกบาททุกสตางค์ของตัวเอง ยังไงก็ไม่ยอมขายที่ขอตายที่นี่
ด้านจ่าคิงส์ แตงทิม สะพานใหม่ เจ้าของเพจที่รับเรื่องร้องเรียนมาบอกว่า ตนเอง ได้ไปพูดคุยหารือเรื่องของทางออกนับตั้งแต่เห็นปัญหาของบ้านป้าสมนา ซึ่งฝั่งทางออกพหลโยธิน 54 นั้นก็บอกว่าเป็นภาระจำยอมที่ตกลงกันไปแล้วเลยมีการปิดทางฝั่งบ้านป้า ได้ใช้เข้าออก และไม่ยอมพูดคุยตกลงใดใดทั้งนั้น
ตนเองจึงเห็น ว่ามีทางออกฝั่งพหลโยธิน 52 ตอนนั้นตรงนั้นเป็นป่ารกร้างก็มีการปรับพื้นที่เล็กน้อยเพื่อให้คนอยู่ในซอยบ้านป้าสมนาและเพื่อนบ้านสามารถเดินทางเข้าออกได้ ซึ่งก็มีการใช้ทางอยู่หลายปีจนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้เจ้าของที่เตรียมจะสร้างหอพักจึงมีการล้อมรั้วปิดพื้นที่บางส่วน ต้นจึงได้ไปขอร้องว่าขอให้คนในซอยนี้ได้ใช้พื้นที่เข้าออกไปจนถึง 9 ตุลาคม แต่มีเหตุการณ์ เจ้าของบ้านในฝั่งบ้านป้าสมนาไปขู่ว่าจะฟ้องร้องบริษัทที่เปิดให้ใช้ทางเข้าออกชั่วคราว ทำให้ทางบริษัทสั่งปิดเมื่อวันที่ 6กันยายนที่ผ่านมา
ล่าสุดทางภูริพัฒน์ ชุ่มธรรม ทนายความฝั่งรั้วสังกะสีที่ให้ทางออกชั่วคราวกับบ้านตาบอด ฝั่งพหลโยธิน 52 ออกมาชี้แจงว่า จริงๆ เจ้าของที่ได้ซื้อที่ดินปล่อยไว้ตั้งแต่ปี 2546 โดยไม่ได้เข้ามาทำสิ่งปลูกสร้างใดใด ที่ผ่านมาทางเจ้าของไม่ทราบว่ามีการใช้ทางเข้าออกบ้านผ่านที่ดังกล่าวตั้งแต่เมื่อใด แต่ล่าสุดทางเจ้าของนั้นอยากจะสร้างสิ่งปลูกสร้างจึงมีการกั้นรั้วสังกะสีขึ้น
เมื่อทราบว่ามีบ้านชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนเป็นบ้านตาบอดไม่มีทางออกก็มีการเจรจาพูดคุยกับทางผู้นำชุมชนจนอนุญาตให้สามารถใช้ทางได้ 30 วันเพื่อที่จะไปเตรียมกระบวนการขั้นตอนในการออกทางฝั่งภาระจำยอมซึ่งก็คือฝั่งพหลโยธิน 54
ทนายให้ข้อมูลว่าส่วนของบ้านที่เป็นที่ตาบอดนั้นตามผังที่มีการกลางให้เห็นชัดเจนว่าต้องใช้ทางเข้าออกฝั่งที่มีการพูดคุยตกลงเรื่องภาระจำยอมนั้นหมายความว่าต้องออกในฝั่งซอยพหลโยธิน 54 ไม่ใช่ทางฝั่งตน ซึ่งถ้าฝั่งที่เป็นภาระจำยอม แล้วไม่ยอมเปิดก็จะต้องมีการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ส่วนฝั่งตนเป็นผู้ที่เปิดทางให้ใช้ตามระยะเวลาที่ตกลงกันคือ 30 วัน
ทีมข่าวได้ไปพูดคุยกับฝั่งของคู่กรณีที่เคยมีข้อพิพาทเรื่องทางออกฝั่งซอยพหลโยธิน 54 แล้วมีการก่ออิฐปิดทาง
โดยพบว่าบริเวณดังกล่าวเป็นอพาร์ทเมนท์บริเวณรั้วมีการก่อกำแพงปิด แต่เมื่อสังเกตดีๆ จะเห็นว่าตรงกำแพงสีเขียว มีเสาเหล็ก คาดว่าเป็นรั้วเก่าที่เคยเป็นทางเข้าออกผ่านไปที่ตาบอด
โดยเราพบนางสาวนิ่ม (นามสมมติ) หญิงคนหนึ่งปั่นจักรยานมา เป็นหนึ่งในเจ้าของพื้นที่ดังกล่าวพูดว่าเรื่องมันจบไปแล้วนานแล้วไม่อยากพูดแล้วเหมือนกับนักข่าวมาวุ่นวาย เพราะมีคนไปร้องเรียนกับใคร
ส่วนชายคนหนึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ออกมาพูดว่าเรื่องของภาระจำยอมได้ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วศาลยกคำร้อง ยอมรับว่าฝั่งของตนเป็นคนก่อกำแพงปิด เนื่องจากมีการตกลงไปเรียบร้อยแล้วเรื่องการใช้พื้นที่
นักข่าวถามว่าเมื่อตกลงกันแล้วลักษณะของที่ดินดังกล่าวมีข้อมูลบ่งชี้ว่าจำเป็นต้องออกทางซอยพหลโยธิน 54 ซึ่งต้องผ่านที่ของชายคนนี้ ชายคนนี้บอกไม่ใช่ และไม่ให้ผ่านที่ของเขา ไม่ว่าจะคุยอย่างไรก็ไม่ให้ผ่านเด็ดขาด