โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 10 ก.ย. 66 นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ “กัน จอมพลัง” ได้โพสต์ภาพและข้อความว่า หลังลงพื้นที่ช่วยเหลือเด็กที่ถูกทำร้าย ซึ่งได้ช่วยเหลือเด็กหญิงอายุ 4 ขวบและ 12 ขวบ ไว้ได้ จากการตรวจตามร่างกายเบื้องต้น พบว่าเด็กหญิงอายุ 12 ขวบ มีบาดแผลจากไฟไหม้ตามร่างกายหลายจุด และเด็กหญิงอายุ 4 ขวบ ได้รับบาดเจ็บที่ดวงตา และถูกจับแช่น้ำจนผิวหนังเปื่อยยุ่ย

กองพิสูจน์หลักฐานพร้อมด้วยสืบนครบาลลงพื้นที่ไปยังหอพักจุดที่นายกัน จอมพลัง เคยไปช่วยเหลือเด็กวัย 12 และ 4ขวบอีกครั้งหนึ่ง ปรากฎว่าตำรวจพบหลักฐานน่าสนใจหลายอย่าง หนึ่งในนั่นเป็นจดหมายที่เขียนโดยแม่เด็ก และอุปกรณ์ที่เชื่อว่าใช้ทำร้ายเด็กหญิงทั้ง 2 รายที่ได้รับการช่วยเหลือก่อนหน้านี้

พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธี ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนนครบาล และกองพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ลงพื้นที่ไปยังอพาตเมนต์ย่านพหลโยธิน 48 อีกครั้ง เพื่อตรวจสอบที่เกิดเหตุ

พล.ต.ต.นพศิลป์ กล่าวว่าประสาน ตำรวจ พฐ.เข้าเก็บพยานหลักฐานในห้องพักของ นางสาวเจษฎา ภรรยาคนที่ 2 ของผู้ต้องหา เนื่องจากเป็นสถานที่ใช้ทำร้ายร่างกาย จึงต้องค้นหาว่ามีอุปกรณ์และหลักฐานใดอยู่หรือไม่ เมื่อช่วงเช้าเรียกประชุมชุดสืบสวนสอบสวนเพื่อรวบรวมหลักฐานอย่างรอบคอบรัดกุมในทุกมิติ ก่อนเตรียมดำเนินคดีเนื่องจากมีประเด็นเกี่ยวพันกับการเสียชีวิตปริศนาของเด็กทารก 4 คน ที่เป็นลูก นางสาวเจษฎา โดยนายส่องศักดิ์ และนางสาวสุนัน ถูกดำเนินคดีเรียบร้อย

นางสาวเจษฎา ให้การรับสารภาพว่าเด็ก 4 คนเสียชีวิตแล้ว จึงต้องหาที่มาว่าเป็นอย่างไรโดยจะสอบย้อนหลังถึงปี 2559 ซึ่ง พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.สั่งการให้ขยายผลว่านอกจากสามีภรรยาคู่นี้ ยังมีใครช่วยอำพรางศพหรือไม่ โดยนางสาวสุนัน ให้การเป็นประโยชน์ต่อคดี แต่นายส่องศักดิ์ ให้การภาคเสธยอมรับบางเรื่องเท่านั้น โดยไม่พูดถึงสาเหตุการฆ่าลูก พบประวัติการรับยาจากแพทย์จริงเมื่อปี 2559 ตรวจสอบไม่พบประวัติถูกดำเนินคดีใด แต่จะเช็กย้อนหลังไป 15 ปี และสืบหาข้อมูลที่พักอาศัยว่าเคยพักอยู่ที่ใดบ้าง

"พบจดหมายการเขียนของภรรยา เป็นการระบายความในใจเชิงตัดพ้อที่ถูกข่มขู่จากสามี ระบุว่าถูกบังคับให้ทำร้ายลูก สอดคล้องกับคำให้การของ นางสาวเจษฎา ที่ระบุว่าสามีบังคับให้ทำร้ายลูก"

ทั้งนี้นับแต่เกิดเรื่อง นางสาวเจษฎา ไม่เคยแจ้งความเพียงแต่รับสารภาพว่ามีเด็กเสียชีวิตจริง และชี้จุดที่นำศพใส่ถุงดำไปทิ้งภายในซอยพหลโยธิน 50

กล้องวงจรปิดใกล้กับอพาร์ตเม้นต์ที่เกิดเหตุจับภาพรถของนายเอ็มขับรถมาจอดที่บริเวณหน้าอาพาร์ตเม้นต์ ในเวลา ตี 5.47 นาที แล้วเดินเข้าอพาร์ทเมนต์ไป

นายเอ็มใช้เวลาอยู่ในอพาร์ตเมนต์ที่เกิดเหตุนานประมาณ 6 ชั่วโมง กระทั่งเวลา 10.46 นายเอ็มเดินลงมาจากหอพัก มาที่รถ ก่อนจะเปิดประตูเอาของไว้ในรถ มีการเช็คล้อรถ เปิดฝากระโปรงหน้า และเดินอ้อมไปประตูด้านหลัง เพื่อเช็คของในรถ จากนั้นก็เดินวนเวียนรอบคันรถ จากนั้นก็เข้าไปนั่งในรถ ในเวลา 10.50

นายเอ็มนั่งในรถอยู่ประมาณ 17 นาที จึง ถอยรถออกไป ในเวลา 11.07 น.

ในวันเดียวกัน เวลา 15.35 นายเอ็มกลับเข้ามาในอพาร์ทเมนท์อีกครั้ง แต่ นายเอ็มยังไม่ลงจากรถทันที นั่งอยู่ในรถนานกว่า 5 นาที ก่อนที่จะลงมาส่งกระจกรถพร้อมใช้มือจับแต่งทรงผม แล้วเดินเข้าไปพักภายในอพาร์ทเม้นต์

นายเอ็ม นอนพักที่หอพักตลอดทั้งคืน กระทั่งวันที่ 10 กันยายน นายเอ็มออกมาจากหอพักช่วงเวลาประมาณ 12.29 น. แล้วเข้าไปนั่งอยู่ในรถ จนกระทั่งเวลา 12:32 น. ถึงจะถอยรถออกไป

กระทั่ง 13.16 น. จะเห็นว่ามีชาวบ้านจำนวนมาก เดินไปเป็นกลุ่ม ที่หน้าหอพัก ซึ่งจังหวะนั้นเป็นช่วงที่เด็กหญิงวัย 12 ปี ร้องขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านที่อยู่ข้างห้อง

กระทั่งเวลา 15.32 น. จะเห็นว่ามีรถตู้ของกันจอมพลังเข้ามาช่วยเหลือเด็กหญิงทั้งสองคน ที่ชาวบ้านได้ร้องขอความช่วยเหลือไป

ขณะที่ พล.ต.ต.อรรถพล อนุสิทธิ์ ผบก.น.2 เปิดเผยภายหลังการขุดค้นหาร่างเด็กบริเวณซอยพหลโยธิน 56 ระบุ เจ้าหน้าที่พบกระดูกชิ้นใหญ่หนึ่งชิ้นและชิ้นเล็กหนึ่งชิ้น จุดเดียวกับที่นายเอ็ม อ้างว่านำศพลูกชายมาทิ้ง

โดยเตรียมจะตรวจค้นเพิ่มเติมต่อในวันพรุ่งนี้ โดยจะประสานเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตบางเขน และ กู้ภัย ร่วมตรวจสอบด้วย

ขณะที่ นางจุก (นามสมมติ) อายุ 65 ปี เป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่ติดกับอพาร์ตเม้นต์ เปิดเผยว่า ในช่วงปี 56 เท่าที่จำได้ เห็นผู้ชายคนในภาพพาเมียและลูกหลายคนเข้ามาอยู่ที่นี่ ซึ่งห้องพักของครอบครัวนี้จะอยู่บริเวณชั้น 4 ปลูกต้นไม้ไว้ตรงระเบียง ซึ่งส่วนมากตนเองจะเห็นแต่คนที่เป็นเมียลงมาเก็บผักขึ้นไปทำอาหารกิน ส่วนผู้ชายเท่าที่เห็นเขาจะไม่ค่อยคุยกับใคร เช้าออกไปทำงานเย็นก็หลับมาที่ห้อง ยืนยันในช่วงปีนั้นที่ครอบครัวนี้เข้ามาอยู่ที่แมนชั่น ไม่เคยได้ยินเสียงผัวเมียทะเลาะกันหรือเสียงเด็กส่งเสียงร้อง ซึ่งครอบครัวนี้ใช้ชีวิตปกติเหมือนคนทั่วไป แต่ที่แปลกคือมีลูกเยอะเท่านั้น