ญาติเผยพิรุธ หลังสองผัวเมียโบกปูนอำพรางศพหลาน ได้กลิ่นปีศาจ - ขับรถวนเวียนแวะดูศพ 3-4 ครั้ง ก่อนถูกจับ

ขณะเดียวกันทีมข่าวยังได้พูดคุยกับ นายจำปี อาของน้องโมเดล ที่เล่าถึงข้อพิรุธของสองผัวเมียให้ฟังว่า ช่วงหลังจากเดือนพฤษภาคม หลังจากที่สองผัวเมียได้โบกปูนอำพรางศพของหลานสาวแล้ว ตอนนั้นครอบครัวไม่มีใครเอะใจ แต่ได้สังเกตว่า ทั้งสองคนมีอาการที่แปลกไปจากเดิม เนื่องจากทุกครั้งที่กลับมาบ้าน เวลาญาติสอบถามเรื่องหลานสาว ทั้งสองคนจะมีท่าทีอึกอัก และไม่สบตาขณะพูดคุย รวมถึงตนเองรู้สึกแปลกๆ ระหว่างพูดคุยเหมือนสัมผัสถึงพลังงานลบในตัวของทั้งสอง และรู้สึกได้กลิ่นเหมือนอยู่ใกล้กับปีศาจ เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

โดยหลังจากเดือนพฤษภาคมสองผัวเมียได้กลับมาบ้านประมาณ 3-4 ครั้ง โดยทุกครั้งทั้งสองคนจะเดินทางเข้ามาที่บ้านที่เกิดเหตุในช่วงเวลากลางวันก่อนจะขับรถออกจากบ้านเวลากลางคืน โดยไม่มีการนอนบ้าน บางครั้งขับรถเข้ามาจอดที่บ้านหลังเกิดเหตุประมาณ 15 นาทีก่อนจะขับรถออกไป ซึ่งก็ไม่รู้ว่าสองผัวเมีย ต้องการมาดูศพที่ทั้งคู่ได้โบกปูนไว้ว่ายังอยู่ดีหรือเปล่า หรือศพส่งกลิ่นเหม็นให้เพื่อนบ้านรู้หรือไม่

นอกจากนี้ญาติยังสงสัยด้วยว่าสองผัวเมียได้ทำร้ายลูกของตัวเองและนำไปเป็นขอทานหรือไม่ โดยญาติได้ส่งรูปน้องน้องมายด์มิ้นให้ทีมข่าวดูเพื่อยืนยันว่า น้องมายมิ้นก่อนหน้านี้ไม่ได้ป่วยเป็นโรคปากแหว่งเพดานโว่ น้องร่างกายปกติทุกอย่าง แต่หลังจากนายเอ็มและนางสาวจุ๋มนำน้องมายด์มิ้นกลับไปดูแลเองที่กรุงเทพ น้องมายด์มิ้นท์ถึงปากแหว่ง ซึ่งตนเองสงสัยว่านายเอ็มน่าจะทำร้ายน้องมายด์มิ้นมากกว่า

 

เจ้าของร้านปูน เผยคุ้นหน้า 2 ผัวเมีย แวะมาซื้อปูนซีเมนต์ที่ร้าน ช็อกนำไปโบกอำพรางลูกในไส้ - เปิดวงจรปิดตำรวพาชี้จุดทำแผนฯซื้อปูน

ขณะเดียวกันทีมข่าวยังได้เดินทางไปที่ร้านขาย ปูนซีเมนต์ที่ทั้งสองผัวเมียเดินทางมาซื้อหลังลงมือฆ่าลูกตัวเองเสร็จแล้วด้วย ซึ่งจากข้อมูลพบว่าสองผัวเมียได้เดินทางมาซื้อปูนซิเมนต์จำนวน 2 กระสอบ รวมถึงหินกับทรายอีกบางส่วนนำขึ้นรถเก๋งกลับไปที่บ้านเพื่อลงมือโบกปูนอำพราวลูกสาว ในช่วงเย็นวันที่ 15 พฤษภาคม

โดยทีมข่าวได้ภาพจากกล้องวงจรปิดเมื่อวานนี้ (19 ก.ย.) ที่ตำรวจได้เดินทางนำตัวสองผัวเมียมาทำแผนประกอบคำรับสารภาพด้านหน้าร้านขายปูนซีเมนต์ โดยร้านดังกล่าวอยู่ห่างจากจุดที่มีการฝังโบกปูนน้องโมเดล ประมาณ 5 กิโลเมตร

ทีมข่าวยังได้พูดคุยกับ นางสาวปาริชาติ เจ้าของร้าน ให้ข้อมูลว่า ตนเองและพนักงานค่อนข้างที่จะคุ้นหน้านางสาวจุ๋มซึ่งเป็นคนในพื้นที่ ส่วนนายเอ็มทราบว่าเป็นคนนอกพื้นที่ไม่เคยเห็นหน้าสักครั้ง

ส่วนที่สองผัวเมียเดินทางมาซื้อปูนซิเมนต์จำนวน 2 กระสอบที่ร้าน ช่วงเวลาไหนตนเองและพนักงานในร้านคงจำไม่ได้ เนื่องจากลูกค้าเข้าออกร้านแต่ละวันไม่ซ้ำหน้า จึงจำไม่ได้ว่า สองผัวเมียเดินทางมาซื้อปูนที่ร้านของตนเองเมื่อไหร่ แต่เท่าที่ตนเองทราบข่าวเมื่อวานนี้ตำรวจพามาทำแผนประกอบคำรับสารภาพคงเป็นร้านของตนเองจริงที่ทั้งสองมาซื้อปูนซิเมนต์ เนื่องจากร้านของตนเองอยู่ใกล้กับบ้านของนางสาวจุ๋มมากที่สุด ห่างกันเพียง 5 กิโลเมตรเท่านั้น ทั้งสองคน หากจะซื้อปูนไปใช้ก็คงเลือกร้านที่ใกล้บ้านอยู่แล้ว เพราะร้านขายปูนซิเมนต์อีกร้านจะต้องขับรถไปอีก 3 กิโลเมตรซึ่งคิดว่าเขาคงไม่เสียเวลาไป

ยอมรับว่าหลังทราบข่าวว่าสองผัวเมียเดินทางมาซื้อปูนที่ร้านและนำปูนซีเมนต์รวมถึงหินทรายของทางร้านไปโบกอำพรางฝังร่างเด็กไว้ในบ้านก็ตกใจมาก ไม่คิดว่าคนเป็นพ่อแม่คนจะลงมือฆ่าลูกในไส้อย่างโหดเหี้ยมได้ขนาดนี้

 

แม่นางสาวจุ๋ม ช็อก ลูกเขยฆ่าลูกในไส้มาแล้ว 5 ศพ ทุกศพ 4 ศพล้วนเป็นเด็กชาย แฉเคยได้ยินลูกสาวพูดหลังคลอด “กูเกลียดลูกผู้ชาย กูไม่อยากให้เป็นเหมือนกู” โชคดีหลานคนสุดท้ายไม่ถูกฆ่า

ต่อมาทีมข่าวได้เดินทางไปพูดคุยกับยายลำดวล นาหัวนิล แม่ของนางสาวจุ๋มผู้ต้องหาอีกครั้ง หลังทันทีที่ทราบข่าวว่า ไม่ใช่เพียงน้องโมเดลที่ถูกฆ่าแล้วนำศพไปทิ้งอำพราง แต่ยังมีเด็กชายอีก 4 คนที่ถูกฆ่าด้วย โดยเจ้าตัวบอกกับทีมข่าวทั้งน้ำตาว่า ตนเองเสียใจและผิดหวังในตัวลูกสาวและลูกเขยมาก ไม่คิดว่าทั้งสองคนจะมีจิตใจโหดเหี้ยมมากขนาดนี้

เธอยังบอกกับทีมข่าวอีกด้วยว่า ก่อนหน้านี้ประมาณ 6 เดือนก่อน ซึ่งลูกสาวได้คลอดน้องโตโต้ลูกชายคนสุดท้าย โดยนายเอ็มมาส่งลูกสาวที่ จ.กำแพงเพชร ก่อนคลอด 1 วัน และหลังจากคลอดเด็กเสร็จวันถัดมา นายเอ็มได้ขับจากกรุงเทพเดินทางมารับลูกสาวกลับทันที โดยทิ้งเด็กไว้ที่โรงพยาบาลให้ตนเองดูแลต่อ

ซึ่งก่อนจะรับลูกสาวไป นางสาวจุ๋มลูกสาว ได้มาตัดพ้อกับตนเองว่า “เอ็มมันไม่เอาเด็กผู้ชาย มันเกลียดเด็กผู้ชาย ฝากแม่เลี้ยงไอโตโต้มันหน่อยนะ” ตนเองจึงถามกลับลูกสาวว่า “ทำไมมันไม่เอาไปเลี้ยง” ลูกสาวตอบ ”เอ็มมันกลัวลูกจะเป็นเหมือนมัน มันเกลียดเด็กผู้ชาย “ ซึ่งตนเองก็งงกับคำตอบของลูกสาว จากนั้นตนเองก็ได้เลี้ยงน้องโตโต้มาคนเดียวตลอด

ส่วนที่ผ่านมา ลูกสาวมีลูกกับนายเอ็ม 3 คน คือ น้องมายมิ้น อายุ 4 ขวบ ที่ถูกทำร้ายตาบอด , น้องโมเดล 2 ขวบที่เสียชีวิต และน้องโตโต้ วัย 6 เดือน ที่ผ่านมา หลาน 3 คนนี้ ตั้งแต่เกิดตนเองเลี้ยงคนเดียวมาตลอด นายเอ็มและลูกสาว หลังคลอดไม่เคยคิดจะเลี้ยงดู หรือ โอนเงินมาให้ค่านมหรือค่าอาหารเลยสักบาท ทำให้เด็กทั้ง 3 ต้องกินอย่างอดๆอยากๆ ตนเองต้องยอมอดข้าว เพื่อเอาเงินมาซื้อนมข้มหวานเพื่อนำมาชงผสมน้ำให้หลานกิน เด็กทั้ง 3 ไม่เคยดูดนมจากเต้าของแม่ตัวเองเลยสักครั้ง

วันนี้หลานที่ตนเองเลี้ยงมา 1 คนตายไปแล้ว , 1 คนถูกทำร้ายจนตาบอด ปากแหว่ง, อีกคนโชคดีที่ไม่ถูกนายเอ็มเอาไปฆ่า ตนเองสัญญาจะขอเอาหลานอีก 2 คนที่ ยังมีชีวิตกลับมาเลี้ยงเอง หากพ่อแม่มันเลี้ยงลูกตัวเองไม่ได้

“เสียใจมาก ขนาดหมามันยังรักลูกของมัน ไฟไหม้บ้านหมามันยังคาบลูกมันหนี ผิดกับไอ้เอ็มและลูกสาวเกิดเป็นมนุษย์เสียเปล่าแต่กลับไม่รักลูกในใส้ของตัวเอง ขอให้ผลกรรมตามสนองกับสิ่งที่พวกมันทำกับหลาน”

ไอ้เอ็มฆ่าลูกผวา กลิ่นศพติดกาย เกาะไม่ปล่อย โม่ปูนปิดหลุมรีบหนีเจอแรงแค้นเด็ก