จากกรณี เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 21 กันยายน 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรเมืองกาญจนบุรี รับแจ้งเหตุ ยิงกัน มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย เหตุเกิดบริเวณบ้านพักหลังหนึ่ง ในพื้นที่หมู่ 8 ตำบลเกาะสำโรง อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี หลังรับแจ้งจึงได้ประสานเจ้าหน้าที่มูลนิธิพิทักษ์กาญจน์ เดินทางลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมให้การช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ แต่เมื่อไปถึงบริเวณบ้านที่เกิดเหตุ พบว่า ญาติๆของผู้ได้รับบาดเจ็บได้นำตัวผู้ได้รับบาดเจ็บทั้ง 2 รายส่งโรงพยาบาลไปก่อนหน้านี้แล้ว ทราบชื่อผู้ได้รับบาดเจ็บทั้ง 2 รายคือ นางทองเยื้อง อายุ 67 ปี มีบาดแผลถูกยิงเข้าที่บริเวณกลางหลัง 1 นัดและแขนขวาอีก 1 นัด ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บอีกรายคือ นายพรวน อายุ 67 ปี มีบาดแผลถูกอาวุธปืนยิงเข้าที่บริเวณขาด้านขวาจำนวน 1 นัด
ซึ่งผู้ก่อเหตุคือ นายสุเทพ หรือ หมู อายุ 44 ปี ชาวบ้านในหมู่เดียวกัน โดยหลังก่อเหตุ นายหมูได้ใช้อาวุธปืน จี้บังคับพาตัวนางสาวนลัทพร หรือ เฟิร์น อายุ 24 ปี ออกไปจากบ้าน
ล่าสุดวันนี้เมื่อเวลาประมาณ 07.30 น.(22 ก.ย.66) นางสาวนลัทพร หรือ เฟิร์น ซึ่งเป็นคนที่ถูกนายสุเทพ หรือนายหมู ฉุดตัวออกไปจากบ้าน ได้เดินหนีออกมาในขณะที่นายหมูนอนหลับ กระทั่งได้เจอกับญาติที่ข้างทาง ซึ่งทันทีที่ญาติๆพากลับมาที่บ้าน นางเฟิร์น มีอาการหวาดกลัวและมีอาการอิดโรยเนื่องจากไม่ได้กินข้าวกินน้ำตลอดทั้งคืนที่ถูกลักพาตัวออกไปจากบ้าน
จากนั้นในเวลา 08.30 น. นายหมู คนก่อเหตุ ได้ติดต่อขอมอบตัวกับตำรวจ สภ.เมืองกาญจนบุรี ซึ่งในขณะที่เข้าไปคุมตัว มีฝ่ายปกครองตำบลเกาะสำโรงได้ร่วมกันกับตำรวจไปพูดคุยกับนายหมู ซึ่งก่อนจะนำตัวขึ้นรถ นายหมู มีการขอดื่มน้ำ เนื่องจากเจ้าตัวไม่ได้กินอะไรมาตลอดทั้งคืน กระทั่งตำรวจได้เข้าไปค้นตัวเพื่อยึดปืนที่ใช้ก่อเหตุ แล้วก็มีการอ่านหมายจับให้นายหมูฟัง
หลังจากนั้นเมื่อตำรวจเคลียร์พื้นที่เสร็จ บรรยากาศในการนำตัวไปขึ้นรถเพื่อจะต้องนำตัวนายหมู ไปชี้จุดที่ก่อเหตุ ก็ได้มีน้องมะนาว (นามสมมติ)วัย 14 ปี ซึ่งเป็นลูกสาวของนายหมูเดินเข้าไปกอดพ่อ
จนกระทั่งเมื่อตำรวจนายหมู ไปขึ้นรถ ก่อนจะนำตัวไปทำแผน นางกรรณิการ์ (นามสมมติ) ซึ่งเป็นเมียหลวงของนายหมู ก็ได้ขอตำรวจเข้าไปคุยกับนายหมู ซึ่งเมื่อเปิดประตูมาเจอหน้ากัน นางกรรณิการ์ เมียหลวง ก็ถามว่าตาหมู ทำแบบนี้ทำไม แกไม่น่าทำเลย แต่นายหมู ตอบกลับด้วยการดึงหน้าของนางกรรณิการ์ มาจูบแล้วก็หอม โดยเมื่อหอมเสร็จ นายหมู ก็บอกกับนางกรรณิการ์ ว่าน้องเข้าใจพี่นะ กระทั่งญาติๆก็ได้ส่งกล่องข้าวให้กับนายหมู บอกว่ากินข้าวก่อนแล้วค่อยไปทำแผน
จากนั้นตำรวจได้คุมตัวนายหมู ไปชี้จุดทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ซึ่งบรรยากาศในการทำแผน มีทางญาติๆและชาวบ้านมารอดูกันเป็นจำนวนมาก โดยบางช่วงบางตอนทั้งก่อนทำแผน และหลังทำแผน ญาติๆของน้องเฟิร์น มีการพยายามเดินปรี่ไปหานายหมู และมีการตะโกนด่านายหมูด้วยคำหยาบคาย ทำให้ตำรวจต้องแบ่งกำลังไปดูแลความเรียบร้อยในการทำแผนชี้จุดของนายหมู
ซึ่งจุดแรกที่นายหมู พาตำรวจไปชี้ คือบริเวณหน้าบ้านที่เกิดเหตุ โดยนายหมู รับสารภาพกับตำรวจว่า ก่อนก่อเหตุซุ่มอยู่ในป่า จากนั้นเมื่อเห็นว่าน้องเฟิร์น ออกมาหน้าบ้านจึงเดินออกมาจากป่า เพื่อไปคุยกับน้องเฟิร์น แต่น้องเฟิร์น วิ่งหนีเข้าบ้าน ก็เลยเดินถือปืนตามเข้าไปในบ้าน แต่เฟิร์นวิ่งหนีทะลุไปที่ประตูหลังบ้าน ก็เลยเดินตามออกไป ซึ่งกระสุนปืนนัดแรกยิงขู่ลงที่พื้น หลังจากยิงขู่ก็ได้มีการดึงแขนเฟิร์นเข้าไปในบ้าน แต่ยายคนเจ็บเข้ามาแย่งปืน ก็เลยลั่นไกยิงขู่ออกไปอีก 1 นัด ยืนยันไม่รู้ว่ากระสุนปืนไปถูกยายที่เจ็บ โดยหลังจากยิงนัดที่2 ก็พยายามดึงแขนเฟิร์นออกไปจากบ้าน แต่นายพรวน คนเจ็บอีกคนมายืนดักหน้าบ้านก็เลยยิงขู่ออกไปอีก 2 นัด ซึ่งก็ไม่รู้ว่ากระสุนปืนไปถูกขานายพรวน จนได้รับบาดเจ็บ กระทั่งเมื่อกระสุนปืนหมดแม็กจึงได้มีการดึงแขนนางเฟิร์น เดินเข้าป่าแล้วก็ไปขโมยรถเพื่อนบ้านขี่พาเฟิร์นหลบหนีไปบนภูเขา
จากนั้นเมื่อทำแผนเสร็จ ในขณะที่ตำรวจคุมตัวนายหมู ไปขึ้นรถเพื่อกลับไปสอบปากคำต่อ ทีมข่าวได้ถามกับนายหมู ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่นายหมู มีสีหน้าเคร่งเครียด ไม่ตอบคำถามอะไรกับทีมข่าว
นอกจากนี้ ในขณะที่ทำแผน ทีมข่าวยังย้อนกลับไปดูคลิปว่าทางญาติๆของนางเฟิร์น หันไปตะโกนด่าใคร และพยายามไล่ใครออกจากบ้าน ปรากฏว่า คนที่เดินมาดูการทำแผน คือนางกรรณิการ์ ซึ่งเดินพาลูกสาวมาดูพ่อทำแผนประกอบคำรับสารภาพ แต่ก็ดูการทำแผนไม่เสร็จ และต้องเดินออกไปจากบ้านทันทีที่ถูกไล่
ซึ่งวันนี้ทีมข่าวได้พูดคุยกับ น้องเฟิร์น อดีตแฟนของนายหมู และเป็นผู้เสียหายเปิดใจกับทีมข่าวว่า ก่อนเกิดเหตุเดินอยู่ในบ้าน กระทั่งเห็นนายหมู เดินมาหน้าบ้าน ด้วยความตกใจก็เลยวิ่งหนีไปในบ้าน แต่นายหมู ก็ยังถือปืนวิ่งตามเข้าไป จากนั้นนายหมู ก็พยายามกระชากตนเองออกจากบ้านแล้วก็พูดขึ้นมาก่อนยิงปืนขู่ว่า มึงต้องไปกับกู กระทั่งยายได้เข้ามากอดตนเองเอาไว้ ซึ่งไม่รู้ว่านายหมู ตั้งใจยิงยายหรือไม่ จากนั้นก็ยิงญาติที่เข้ามาห้ามอีกคนแล้วก็ดึงแขนตนเองไปขโมยรถเพื่อนบ้านขี่หนีไปนอนในป่าอ้อย
ส่วนการหลบหนีไปนอนในป่าอ้อย ช่วงกลางดึก ยืนยันว่านายหมู พูดกับตนเองว่าเที่ยงวันนี้จะพาออกไปมอบตัวกับตำรวจ แต่ตนเองหิวข้าวทนไม่ไหว ก็เลยอาศัยช่วงที่นายหมูนอนหลับวิ่งหนีออกมาจากป่าอ้อย
เนื่องจากมื่อคืนนี้ทั้งคืนตนเองกับไม่ได้กินอะไรเลย ยืนยันตลอดทั้งคืน ไม่ได้ถูกนายหมู ทำร้ายร่างกาย ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ไม่ขอตอบ
ขณะเดียวกันวันนี้ ทีมข่าวได้เดินทางไปยังป่าอ้อยที่นายหมูกับน้องเฟิร์น ไปซ่อนตัวหลบตำรวจอยู่ทั้งคืน ซึ่งจากการตรวจสอบ ป่าอ้อยดังกล่าวอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 1 กิโลเมตร และจะอยู่ใกล้กับเชิงเขาที่นายหมูนำรถไปจอดทิ้งเอาไว้ ซึ่งวันนี้ทีมข่าวได้มีลองไปเดินจากจุดทิ้งรถและเข้าไปยังป่าอ้อยดังกล่าว เพื่อทดลองว่าทั้งคู่เข้าไปอยู่ในป่าอ้อยกันยังไง
ซึ่งจากการตรวจสอบจุดดังกล่าวพบว่า ทางเข้าป่าอ้อยมีรั้วลวดหนาม ถ้าหากทั้งคู่จะเข้าไปในไล่อ้อย เมื่อวานนี้ต้องลอดได้ลวดหนามเข้าไปทีละคน โดยเมื่อเข้าไปแล้ว วันนี้ทีมข่าวยังลองไปนั่งในป่าอ้อยว่า ถ้านั่งหลบอยู่ในนั้นสองคน จะรู้สึกยังไงบ้าง ซึ่งการทดสอบ ปรากฏว่าทีมข่าวนั่งอยู่ได้ไม่นาน เนื่องจากหากขยับตัวจะถูกใบอ้อยบาดตามร่างกาย ที่สำคัญเมื่อคืนนี้ฝนตกทั้งคืน ก็ยังไม่ทราบว่าทั้งคู่ ใช้ชีวิตอยู่กันยังไงในป่าอ้อยตามที่ทีมข่าวเข้าไปตรวจสอบ
ขณะเดียวกัน นางกรรณิการ์ บอกว่า วันนี้ที่เดินทางไปดูการทำแผนประกอบคำรับสารภาพเพราะว่าลูกสาวอยากไป ส่วนตัวเองไม่อยากไปเพราะรู้สึกอายคนอื่นเค้า ลูกสาวอยากไปจึงตัดสินใจพาไปดู ในฐานะคนเป็นแม่ให้อภัยนายหมู มานานแล้ว ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ญาติของเฟิร์นไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ ด่าแม้กระทั่งลูกที่ไปดูพ่อ รู้สึกเสียใจว่าทำไมเราไม่สามารถปกป้องลูกเราได้ ทั้งๆที่ลูกแค่อยากไปเห็นพ่อของเขา ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่วนตัวเชื่อว่า ถ้าเกิดนายหมูตั้งใจที่จะยิงคงยิงไปแล้ว และคิดว่าที่นายหมูทำลงไป ก็เป็นเพราะอยากได้เมียคืน ซึ่งเหตุการณ์นี้ ตนเองสงสัยว่าญาติของผู้หญิงไม่รู้สึกอะไรเลยหรอ มาให้สัมภาษณ์กับสื่อว่านายหมูติดยา ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่านายหมู ติดยาแต่ทำไมยังปล่อยให้เฟิร์นไปเอากันกับนายหมูได้ตั้ง 2ปี ทำไมครอบครัวไม่เห็นห้าม แค่พาลูกไปดูที่บ้านแค่นี้ถึงกับต้องไล่กันเลยเหรอ ซึ่งเมื่อคืนที่ผ่านมาลูกสาวนอนไม่หลับทั้งคืนเพราะเป็นห่วงพ่อ
ยืนยันว่าส่วนตัวรู้สึกเสียใจ ที่นายหมู ก่อเหตุโดยไม่คิด ซึ่งเมื่อเช้านี้ตอนนายหมู มอบตัวกับตำรวจก็ได้ไปเจอกัน โดยตนเองก็ได้ถามว่า “ทำไม ทำไม่คิด”ซึ่งนายหมู ก็ได้กล่าวขอโทษ ตนจึงบอกไปว่า “ให้อภัยเสมอแหละ จะได้ไม่มีเวรต่อกัน”
ซึ่งนางกรรณิการ์ ยังบอกอีกว่า “คนบ้านนั้นมันเลวในสายเลือดทั้งตระกูลนั่นแหละ” ไม่เชื่อว่านายหมู จะวางแผนเข้าไปฉุดนางเฟิร์น ซึ่งวันเกิดเหตุถ้านางเฟิร์นไม่โทรมาหานายหมู นายหมูก็คงไม่รู้ว่าน้องเฟิร์น กำลังจะไปอยู่ที่อื่น กระทั่งไปขโมยปืนบุกเข้าไปยิงและ ส่วนตัวก็ยังเชื่ออีกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนายหมู ไม่ได้ไปฉุด แค่เป็นความต้องการตัวเฟิร์น ออกมาพูดคุยด้วยเฉยๆ
ซึ่งวันนี้ ทีมข่าวได้ถามกับนางกรรณิการ์ ทิ้งท้ายว่าหากนายหมู ออกมาจากคุกและจะมาขอคืนดี จะว่ายังไง ซึ่งนางกรรณิการ์ ก็บอกว่าในฐานะพ่อของลูกก็ไม่ได้ว่าอะไร ถ้าอยากจะกลับมาอยู่ด้วย ก็คงให้อยู่ในฐานะพ่อของลูก เพราะตนเองไม่ได้รักนายหมูแล้ว ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับเฟิร์น ยังไงก็ต่อกันไม่ติด
ซึ่งวันนี้หลังจากเราได้พูดคุยกับนางกรรณิการ์ เสร็จแล้ว นางกรรณิการ์ ยังขอให้ทีมข่าวพาไปที่โรงพัก เนื่องจากอยากจะพาลูกสาวไปคุยกับนายหมู ซึ่งทีมข่าวก็รับปากว่าจะไปช่วยคุยกับทางตำรวจให้ กระทั่งเมื่อเดินทางไปถึงโรงพัก ทีมข่าวได้ประสานกับ พ.ต.อ.สุรยุทธ เมฆมังกร ผกก.สภ.เมืองกาญจนบุรี ว่าลูกสาวอยากจะพบกับนายหมู โดยทางผู้กำกับก็ยินดีที่จะพาลูกสาวไปพบกับนายหมู ซึ่งวันนี้ในการเข้าพบตัว น้องมะนาว (นามสมมติ) ได้ซื้อข้าวและชาดำเย็นไปให้กับนายหมู
หลังจากนั้นเมื่อทางตำรวจชุดสืบสวนได้ทำประวัติของนายหมู เสร็จแล้ว ตำรวจได้คุมตัวนายหมู ออกไปส่งตัวเข้าห้องขัง ซึ่งบรรยากาศในการคุมตัว สื่อหลายช่องได้รุมถามนายหมู ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่นายหมู ก็ตอบแค่บางคำ เช่นถามว่ายังรักเฟิร์นอยู่หรือไม่ นายหมู ก็ตอบว่ารักครับ ส่วนคำถามที่ช่อง 8 ถามว่า ทำไมพี่หมูต้องจูบบอกลาเมียหลวง ซึ่งนายหมู ตอบว่า เป็นเพราะว่าผมรัก ผมรักทั้งสองคน ตอนอยู่ในป่าอ้อยไม่ได้สั่งลาอะไรกับเฟิร์น ยืนยันไม่ได้ตั้งใจยิงใคร ไม่ได้หนีไปไหน ที่พาเฟิร์นออกมา ตั้งใจจะออกมามอบตัว แล้วก็ทิ้งท้ายก่อนเข้าห้องขังว่ารักครับ
ส่วนหลักฐานที่ทีมข่าวได้มาในวันนี้ เป็นแชต ที่ก่อนเกิดเหตุ นายหมู มีการคุยกับเฟิร์น ซึ่งในแชต จะเห็นว่า นายหมูได้ติดต่อไปหาเฟิร์น พร้อมกับบอกว่า “โทรศัพท์พี่เสีย อ้วนทำไมไม่รับโทรศัพท์ มันเกิดอะไรขึ้น , ตอนนี้พี่ทำให้อ้วนลำบากพี่ขอโทษ , ตอนนี้อ้วนพี่ก็ยังอยู่ลำบากถูกบังคับออกจากบ้าน , ส่วนเฟิร์นได้ตอบกลับมาว่า โทรศัพท์เสียมันสัมผัสไม่ไป หลังจากนั้นนายหมูจึงถามว่าอ้วนมารับรึ มีอะไรหาโทรศัพท์บอกสิเล่นไม่รับ อ้วนเป็นไร พี่เป็นห่วง คุยกันนิ , จะทิ้งพี่ไปจริงๆ รึอ้วนไม่รักพี่แล้วใช่ไหม , นี่เราจบกันแล้วใช่ไหม , พี่ก็ไม่มีใครอยู่ตัวคนเดียว , ก็เลยให้สุดไป
ทีมข่าวช่อง8 ได้ภาพจากกล้องวงจรปิด หน้าบ้านของนายธีรพล เจ้าของอาวุธปืน ในเวลา 12.58 น. ของวันที่ 21 ก.ย.66 จะสามารถจับภาพ นายหมู เดินผ่านหน้ากล้องมุ่งหน้าเข้าไปยังบ้านของนายธีรพล หลานชายซึ่งเก็บอาวุธปืนเอาไว้ในบ้านพัก
หลังจากนั้นกล้องวงจรปิดที่บ้านของนายธีรพล เจ้าของอาวุธปืน ในเวลา 12.59 น. จะสามารถจับภาพนายสุเทพผู้ก่อเหตุเดินเข้าไปหยิบอาวุธปืนที่อยู่ในบ้านพักของนายธีรพล จากนั้นไม่ถึงนาที ก็จะเห็นว่านายหมูปิดประตูแล้วก็รีบเดินออกมาจากบ้าน
ซึ่งวงจรปิดตัวที่ 4 และตัวที่ 5 จะเห็นว่า หลังนายหมู ขโมยปืนเสร็จเจ้าตัวได้เดินย้อนกลับไปที่บ้านก่อนจะขี่รถออกไปก่อเหตุในเวลา 13.02 น.
ขณะที่นายธีรพล อายุ 30 ปี หลานของผู้ก่อเหตุที่ถูกขโมยปืน บอกว่าช่วงเช้าที่ผ่านมา หลังจากนางเฟิร์น ผู้เสียหายหนีออกมา ได้มาแจ้งว่านายหมูอยู่ในป่าอ้อย และนายหมู อยากพบกับตนเองก่อนจะมอบตัว ตนเองจึงเดินทางไปที่ป่าอ้อย พอไปถึงตนเองก็บอกให้นายหมู ยกมือเดินออกมาจากป่าอ้อย ซึ่งนายหมูก็ทำตาม โดยปืน นายหมู เก็บไว้ในกระเป๋า ไม่มีกระสุนปืน เนื่องจากนายหมู ยิงหมดแม็กตั้งแต่ในที่เกิดเหตุ โดยส่วนตัว ก็ถามกับนายหมู ว่าทำไมถึงก่อเหตุ ซึ่งนายหมู ขอโทษและอ้างว่า ที่ต้องก่อเหตุเนื่องจากกลัวว่าเฟิร์น จะหนีไปอยู่กับคนอื่น ส่วนตัวให้อภัยนายหมู ที่ขโมยปืนไปจากบ้าน แต่เรื่องคดีคงต้องปล่อยให้ตำรวจดำเนินคดีไปตามกฎหมาย