จากกรณีเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2566 พระครูปลัดสุรพล ปภาโส ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบางโฉมศรี อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี เข้าแจ้งความที่ สภ.อินทร์บุรี ว่า ด.ช.ณัชพล สมพบวรพงษ์ อายุ 13 ปี หรือ น้องมัว ชาติพันธุ์ (ม้ง) ซึ่งอยู่ในความดูแล ได้หายตัวไปจากวัดบางโฉมศรี เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2566 เวลาประมาณ 11.30 น. โดยมี นายพัน ชายเก็บของเก่า ที่มาเก็บของเก่าบริเวณหลังวัด ได้หลอกว่าจะซื้อโทรศัพท์ให้ถ้าไปด้วยกัน จากนั้นก็ไม่กลับมาที่วัดอีกเลย


ภาพวงจรปิดจากกล้องชุดนี้เป็นกล้องของ อบต.ท่างาม บริเวณถนนริมเขื่อนแม่น้ำเจ้าพระยาหลัง อบต.ท่างาม โดยจากภาพจะเห็นว่า เป็นวันที่ 16 กันยายน 2566 เวลาประมาณ 11.50 น.ในภาพจะเห็นในพันได้ขี่รถซาเล้งโดยมี น้องมัว นั่ง มาบริเวณบริเวณหน้ารถ ซึ่งจุดดังกล่าว จะอยู่ไม่ห่างจากวัดบางโฉมศรี ซึ่งเป็นที่เกิดเหตุที่นายพันได้ไปหล่อลวงให้ น้องมัว ขึ้นรถมาด้วย

ภาพวงจรปิดชุดที่สองนี้เป็นวันที่16 กันยายน เช่นกัน เวลาประมาณ 12.30น. เป็นภาพวงจรปิดบริเวณ แยกอินทร์บุรี - หนองสุ่ม โดยจากภาพจะเห็นนายพันขี่รถซาเล้งและมี น้องมัว นั่งมาที่บริเวณหน้ารถ โดยเส้นทางดังกล่าวมุ่งหน้าเข้าไปที่ตัวอำเภอเมืองสิงห์บุรี ซึ่งสอดคล้องกับที่นายพันได้พา น้องมัว ไปพักที่โรงแรมสันติสุข ซึ่งอยู่ในตัวอำเภอเมืองสิงห์บุรี



ภาพวงจรปิดชนิดที่สามนี้เป็นภาพของวันที่ 17 กันยายน เวลาประมาณ 9.00 น. ซึ่งนายพัน ได้พา น้องมัว ออกจากโรงแรมสันติสุข และใช้เส้นทางถนนจักรสีห์ มุ่งหน้าค่ายบางระจัน โดยจะเห็นเหมือนเช่นเคยคือ นายพันขับรถซาเล้งและมี น้องมัว นั่งอยู่บริเวณหน้ารถโดย น้องมัว ไม่มีท่าทีขัดขืนหรือถูกบังคับแต่อย่างใด

นางจินดา อายุ 36 ปี แม่ของน้องมัวที่หายตัวไป พร้อมญาติอีก 3 คน ได้เดินทางจากอำเภอพบพระ จังหวัดตาก มายังสถานีตำรวจภูธรอำเภออินทร์บุรี เพื่อให้รายละเอียดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจและเฝ้าติดตามการกลับมาของลูกชาย โดยนางจินดากล่าวว่า น้องมัวเป็นลูกชายคนโต ในจำนวนลูกทั้งหมดสามคน ส่วนคุณพ่อของน้องมัวพึ่งเดินทางไปทำงานที่ประเทศอิสราเอลได้เพียง 2 เดือน ขณะนี้รู้สึกเป็นห่วงลูกชายมาก อยากวิงวอนขอให้นายพันนำลูกชายมาส่งคืนแล้วจะไม่เอาความแต่อย่างใด และสิ่งที่กังวลมากที่สุดคือ ได้รับการติดต่อจากลูกชายครั้งสุดท้ายว่า นายพันจะพาไปเที่ยวทะเล จึงกังวลใจกลัวนายพันจะพาลูกชายไปในที่ที่ไม่รู้จัก
ขณะที่ในเฟซบุ๊กของนายพัน ที่ใช้ชื่อว่า บรามี ย่า ล่าสุดไม่พบความเคลื่อนไหว แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า นายพันและน้องมัว น่าจะรู้จักและสนิทสนมกันมาก่อนหน้านี้แล้ว เพราะเมื่อเดือนสิงหาคมปรากฏมีภาพที่ทั้งสองอยู่ด้วยกัน

นอกจากนี้ ยังพบว่านายพัน ก็ได้ส่งข้อความมาทางโซเชียลที่แม่ของ น้องมัว ว่าให้มาบอกกับตนว่าไม่ให้เอาเรื่องจะรีบพา น้องมัว กลับมาส่ง แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการติดต่อเข้ามาเลย และข้อมูลที่ นายพัน ใช้เปิดโรงแรม เปิดเบอร์โทรศัพท์ก็เป็นข้อมูลปลอมทั้งหมด

ต่อมาทีมข่าวพบกับ นายวินัย อายุ66ปี หรือ ลุงแดง ซึ่งเป็นญาติกับนายพัน โดยลุงแดง ได้เล่าให้ทีมข่าวฟังว่า ตนเป็นน้องของย่า นายพัน ซึ่งภูมิลำเนาของ นายพัน อยู่ที่ อ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี ซึ่งตนเองก็ไม่ค่อยสนิทกับนายพันเท่าไหร่ แต่ทราบตั้งแต่ปี 2557 ว่า นายพันได้มาอาศัยอยู่ที่ จ.สิงห์บุรี และทราบว่านายพัน เคยมีคดีหนีทหาร จึงอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง ซึ่งตนเองก็เคยชวน นายพัน ทำงานด้วยที่ร้านอาหารที่ตนทำอยู่แต่นายพัน ปฏิเสธและบอกกับตนว่า ไม่ชอบทำงานประจำ จึงจะหาทำงานที่ไม่เป็นหลักแหล่งและรับจ้างไปวันๆ

แต่ตนยืนยันว่า นายพัน มีพฤติกรรมลักษณะชอบเด็กผู้ชาย และออกจะเหมือนแต๋วๆตุ๊ดๆ ซึ่งตนทราบข่าวในช่วงเช้าก็รู้สึกตกใจ ว่า นายพัน ได้มีการลักพาตัวเด็กไป และตนก็ไม่ทราบว่าจะพาเด็กไปอยู่ที่ใดเพราะนายพันอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง”

ในวันนี้(22 กันยายน 2566)ทีมข่าวจึงได้เดินทางลงพื้นที่ไปยังวัดบางโฉมศรี
อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี และได้พบกับพระครูปลัดสุรพล ปภาโส ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบางโฉมศรี โดยพระครูปลัดสุรพล ได้เล่าให้กับทีมข่าวฟังว่า เด็กที่ถูกลักพาตัวไป ชื่อด.ช.ณัชพล หรือ น้องมัว ซึ่งทางพ่อแม่ของเขาได้ฝากให้มาอยู่ที่วัดบางโฉมศรี

โดยน้องมัวมาอยู่ที่วัดแห่งนี้ได้เกือบ2ปีแล้ว ซึ่งปัจจุบันน้องมัวอยู่มัธยมศึกษาปีที่1 โดยวันที่เกิดเหตุเป็นวันที่ 16 กันยายน ที่ผ่านมาซึ่งเป็นวันเสาร์ โดยปกติวันเสาร์-อาทิตย์ ทางวัดจะมีการเช็กชื่อเด็กนักเรียนที่มาอยู่ที่วัดตลอด และจะมอบหมายงานให้ไปทำกันในบริเวณวัด เช่น กวาดวัด เก็บของ และอื่นๆ แต่เมื่อวันเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาตนไม่ได้อยู่ที่วัดเพราะมีกิจนิมนต์ไปต่างจังหวัดจึงไม่ทราบเรื่อง และเพื่อนนักเรียนของ น้องมัว ได้มาแจ้งอีกทีช่วงเย็นวันที่ 18 กันยายน ที่ผ่านมาว่า น้องมัว ได้หายตัวไป จึงแจ้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ และ แจ้งความที่ สภ.อินทร์บุรี

จากนั้นจึงเรียกเด็กนักเรียนที่อยู่ในความดูแลทั้งหมดซึ่งมีประมาณ300คนมาประชุมเพื่อสอบถามว่ามีใครเห็นเหตุการณ์บ้าง โดยจากการสอบถามจากเพื่อนนักเรียนของ น้องมัว จึงทราบว่า คนที่ลักพาตัวน้องมัวไป คือนายพันซึ่งเป็นชายที่มักจะมาเก็บของเก่าที่วัดนำไปทิ้งบริเวณหลังวัดไปขาย และมักชอบตีสนิทกับเด็กๆที่อาศัยอยู่ในวัดโดยเฉพาะเด็กผู้ชายและบอกให้เอาของออกมาให้เพื่อเอาไปขาย

โดยในวันที่เกิดเหตุนายพันพยายามชวนเด็กหลายๆคนไปด้วยแต่ไม่มีใครยอมไป จึงได้ถามหา น้องมัว โดยให้เพื่อนมาเรียก น้องมัว ให้ไปหาที่บริเวณหลังวัดโดยใช้อุบายหลอกว่าถ้าไปด้วยจะซื้อโทรศัพท์ให้ เมื่อน้องมัวออกมา

นายพันจึงได้พาน้องมัว นั่งรถซาเล้ง แล้วพาออกจากวัดไป ซึ่งหลังจากที่ตนทราบเรื่องจึงได้แจ้งให้กำนันและผู้ใหญ่บ้านทราบเรื่อง และหาข้อมูล จากการหาข้อมูลจึงได้ทราบว่า นายพัน ได้พา น้องมัว นั่งรถซาเล้ง มุ่งหน้าเข้าไปที่ตัวเมืองสิงห์บุรี

โดยปกติ นายพัน จะมาเก็บของเก่าและนำสายไฟมาเผาบริเวณหลังวัดที่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นประจำ จากคำบอกเล่า นายพันมีลักษณะพฤติกรรมชอบเด็กผู้ชาย ตนไม่ห่วงเรื่องการทำร้าย แต่ห่วงจะล่อลวงไปพรากผู้เยาว์มากกว่า ซึ่งในตอนนี้แม่ของ น้องมัว ทราบเรื่องและเดินทางมาจาก ต.ตาก เพื่อติดตามการตามหา น้องมัว อย่างใกล้ชิด ซึ่งเขาเป็นห่วงลูกเขามาก

ผ่าแผน "ไอ้พัน" มือถือใหม่ล่อเด็กม้งพาหาย 6 วันไร้เงา ถูกแฉปลื้มมากเด็กผู้ชาย