ออกหมายจับแล้ว! "ไอ้พัน" ชายขับซาเล้งลักพาตัว ‘น้องมัว’ เด็กชายวัย 14 ปี ขุดพบวีรกรรมฉาว ล่อล่วงเด็กไปทำอนาจารในป่า ก่อนหลบหนีมาก่อเหตุซ้ำที่สิงห์บุรี
จากกรณี "ไอ้พัน" หรือชื่อจริงคือ "ไอ้บอล" นายปิยะพงษ์ หนองเฆ่ อายุ 35 ปี ชายขับซาเล้งเก็บของเก่า ที่ได้ลักพาตัว ด.ช.ณัชพล หรือน้องมัว เด็กชายวัย 14 ปี ออกจากวัดบางโฉมศรี อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี ตั้งแต่ช่วง 11.30 น. ของวันที่ 16 กันยายน 2566
ทีมข่าวช่อง 8 ยังได้ข้อมูลเพิ่มเติมของ นายพัน โดยเมื่อปี 2557 "นายพัน" ปิยะพงษ์ หนองเฆ่ ได้ถูกออกหมายจับจากศาลจังหวัดปราจีนบุรี ในข้อหา พรากผู้เยาว์, ทำอนาจารกับเด็ก, ข่มขืนใจ และหน่วงเหนี่ยวกักขัง และต่อมาในปี 2560 นายพันก็ได้ก่อเหตุซ้ำอีกรอบ โดยการล่อลวงเด็กชาย 4 คน ไปทำอนาจารในป่า บริเวณหมู่บ้านโคกไข่เต่า ต.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี เพื่อกระทำอนาจาร แต่โชคดีที่เด็กคนหนึ่งหนีรอดออกมาได้ และโทรศัพท์แจ้งตำรวจให้มาช่วยเพื่อนได้สำเร็จ จากนั้นคาดว่านายพันได้หลบหนีมาอาศัยอยู่ที่จังหวัดสิงห์บุรี และประกอบอาชีพเก็บของเก่าขาย เพื่อที่จะได้ปกปิดตัวตนในการหลบหนีคดี
เปิดวงจรปิดเร่งติดตาม "ไอ้พัน" ขี่ซาเล้งลักพาตัว ด.ช.วัย 14
นอกจากนี้ทีมข่าวยังได้ภาพจากกล้องวงจรปิดเพิ่มเติมในวันที่ 16 กันยายน 2566 เวลาประมาณ 11.40 น. จะเห็นว่านายพันได้ขี่รถซาเล้งอยู่บริเวณทางเข้าวัดบางโฉมศรี ซึ่งตอนนั้นบนรถซาเล้งยังไม่มีน้องมัว
ต่อมาในวันเดียวกัน เวลาประมาณ 14.46 น. กล้องวงจรปิดสามารถจับภาพขณะนายพันขี่รถซาเล้งพร้อมน้องมัวมุ่งหน้าไปยังทางร้านขายของเก่า ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดดังกล่าว จากข้อมูลที่ทีมข่าวช่อง 8 ได้มา พบว่า นายพันมักจะเข้ามาขายของเก่าที่ร้านนี้เป็นประจำ ทุกครั้งที่เก็บของเก่าได้ก็จะนำมาชายที่ร้านนี้ โดยเท่าที่จับภาพได้ จะเห็นว่าน้องมัวได้ถือโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลา และไม่มีท่าทีจะขัดขืนหรือพยายามหนีใด ๆ
ต่อมาเวลาประมาณ 15.02 น. นายพันได้ขี่รถซาเล้งไปถึงที่ร้านขายของเก่า ซึ่งคาดว่านายพันได้นำของเก่าที่มีอยู่มาขาย เพื่อนำเงินไปใช้จ่ายในการหลบหนี
และในเวลา 15.03 น. นายพันได้ขี่รถซาเล้งกลับออกมาผ่านเส้นทางเดิมพร้อมกับน้องมัวที่กำลังนั่งก้มหน้าเล่นโทรศัพท์เช่นเดิม
ร้านรับซื้อของเก่า เล่าความจริง ไอ้พัน นำรถซาเล้งมาขาย
ทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปที่ สภ.อินทร์บุรี จึงได้พบกับซาเล้งสีแดงคันดังกล่าว ที่นายพันได้ใช้ในการพาตัวน้องมัวออกไปจากวัด ทีมข่าวจึงได้ติดตามเบาะแส และทราบว่ารถซาเล้งคันดังกล่าวสามารถยึดมาได้จากอู่ซ่อมรถมอเตอร์ไซค์แห่งหนึ่งใน ต.ขุนโขลน อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี ทีมข่าวช่อง 8 จึงได้เดินทางไปยังอู่ซ่อมรถมอเตอร์ไซค์ดังกล่าว จึงได้พบกับ นายสุรพล อายุ 69 ปี ซึ่งเป็นคนที่รับซื้อรถซาเล้งจากนายพัน
นายสุรพล เล่าว่า นายพันได้เข้ามาที่ร้านเพื่อที่จะขายรถซาเล้ง แต่ตนก็จำวันที่ที่แน่ชัดไม่ได้ว่านายพันเข้ามาวันไหน คาดว่าเป็นวันที่ 17 ก.ย.66 ที่นายพันได้เข้ามาจอดซาเล้งไว้หน้าร้าน และบอกขายในราคา 4,000 บาท แต่ตอนนั้นนายสุรพล แจ้งว่าวันนี้ไม่มีเงินซื้อ ถ้าจะขายค่อยมาใหม่พรุ่งนี้ จนช่วงประมาณ 15.00 น. ของวันถัดมา นายพันก็ได้กลับมาอีกครั้งพร้อมกับเด็กชายวัย 13-14 ปี ที่นั่งมาในซาเล้ง โดยเท่าที่สังเกตเห็น เด็กชายคนนั้นเอาแต่ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์อยู่บนซาเล้ง ไม่พูดไม่จาอะไรเลย ต่อมานายสุรพลก็ได้ตัดสินใจซื้อรถซาเล้งคันดังกล่าวในราคา 3,000 บาท เมื่อทำการซื้อขายเสร็จสิ่น ตนก็ได้ถามนายพันว่า "แล้วจะกลับยังไง จะเกินกลับกันหรอ" แต่นายพันบอกว่าเดี๋ยวขึ้นรถตู้กลับ จากนั้นนายพันก็ได้เรียกรถตู้โดยสารประจำทาง แล้วก็พาเด็กชายคนดังกล่าวขึ้นรถไปพร้อมกัน ซึ่งนายสุรพลก็เพิ่งมาทราบว่าจากเจ้าหน้าที่ตำรวจว่านายพันได้ลักพาตัวเด็กมา เพราะตอนแรกตนคิดว่าเป็นพ่อลูกกัน
พระครูปลัดสุรพล ฝากถึง ไอ้พัน นำตัวเด็กมาคืนที่วัด
จากนั้นทีมข่าวจึงได้พบกับ พระครูปลัดสุรพล ปภาโส ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบางโฉมศรี ได้เล่าให้กับทีมข่าวฟังว่า นายพันมักจะขับซาเล้งสามล้อเข้ามาที่วัดบ่อย ๆ โดยจะมาเก็บของเก่าที่หลังวัด แต่ส่วนใหญ่นายพันจะชอบมาในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ คาดว่าเป็นเพราะวันดังกล่าวมีเด็กอยู่เยอะ ซึ่งนายพันมักจะเช้ามาตีสนิทกับเด็กในวัด ซึ่งเท่าที่สังเกตก็จะเป็น "น้องมัว" ที่ค่อนข้างจะไปสนิทกับนายพัน ปกติน้องมัวจะเป็นเด็กเงียบ ๆ ไม่ค่อยพูดหรือเล่าอะไรให้ฟัง และก็พอทราบมาอยู่บ้างว่า น้องมัวนั้นอยากได้โทรศัพท์มาก ๆ เพราะเขาอยากจะเอาไว้ติดต่อพูดคุยกับพ่อแม่ จนมาในวันเสาร์ที่ 16 กันยายน 2566 นายพันก็ได้เข้ามาที่วัด และได้สั่งให้เด็กคนอื่น ๆ ไปตามน้องมัวให้ออกไปหา เพราะนายพันจะไม่กล้าเข้ามาในพื้นที่ข้างในวัด
ตอนนี้ก็อยากฝากถึง "นายพัน" คนที่เอาตัวเด็กไป อยากขอให้นำตัวเด็กกลับมาส่งคืนที่วัด เพราะน้องยังเป็นเด็ก ยังต้องเรียนหนังสือและต้องมีอนาคตที่ดี ซึ่งตอนนี้พ่อและแม่ของเด็กก็เสียใจเป็นอย่างมากที่ลูกเขาหายตัวไป
ขณะเดียวกัน ในระหว่างที่ทีมข่าวช่อง 8 กำลังนั่งพูดคุยกับพระครูปลัดสุรพล พ่อของน้องมัวก็ได้โทรศัพท์ติดต่อเข้ามาพร้อมทั้งระบายความอัดอั้นตันใจ ซึ่งตอนนี้ตัวพ่อน้องมัวได้ออกไปทำงานที่ต่างประเทศเพื่อส่งเงินกลับมาให้ครอบครัวที่ประเทศไทย แต่ตอนนี้พ่อนั้นไม่มีกระจิตกระใจที่จะทำงานเลย เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้ลูกชายอยู่ที่ไหนและเป็นยังไงบ้าง จึงอยากขอใช้พื้นที่ของข่าวช่อง 8 ฝากเสียงนี้ไปยัง "น้องมัว" บอกให้ลูกรีบกลับบ้าน พ่อและแม่รออยู่ อย่าหันไปเดินในทางที่ผิดเลย อยู่กับใครก็ไม่อบอุ่นเท่าอยู่กับพ่อแม่หรอก และขอฝากถึง "นายพัน" คนที่เอาลูกชายของตนไป ว่า จะรักและเอ็นดูเด็กมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรอก แต่คุณไม่ใช่พ่อของเด็ก จะมาพรากเด็กไปจากครอบครัวเขาได้ยังไง อยากขอร้องให้เอาเด็กมาคืนเถอะ อย่าทำผิดไปมากกว่านี้เลย อยากให้เห็นใจครอบครัวเขาหน่อย นอกจากนี้ทางพ่อของน้องมัวได้บอกอีกว่า อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยเร่งมือในการตามหาเด็ก เพราะตอนนี้ก็กินเวลามากว่า 1 สัปดาห์แล้ว หวั่นว่าลูกชายจะได้รับอันตราย อยากให้รีบจับตัวคนร้ายเข้าคุกไว ๆ
ด.ช.ดิศร เล่าเหตุการณ์หลัง พัน มาล่อลวง น้องมัว ไปจากวัด
ล่าสุดทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปยังวัดบางโฉมศรี อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี และพูดคุยกับ ด.ช.ดิศร (นามสมมติ) อายุ 14 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนของน้องมัว ได้เล่าให้ทีมข่าวฟังว่า วันที่ 16 ก.ย.66 นายพันได้ขับรถซาเล้งเข้ามาจอดในบริเวณวัด และเดินเข้ามาหาพร้อมชักชวนให้ ด.ช.ดิศร ออกไปข้างนอก โดยบอกว่าจะพาไปซื้อโทรศัพท์ แต่ตัวน้องดิศรนั้นไม่เชื่อ คิดว่านายพันโกหก เพราะก่อนหน้านี้นายพันก็เคยพาน้องมัว (คนหาย) ออกไปข้างนอกแล้ว 1 ครั้ง ซึ่งบอกว่าจะพาไปซื้อโทรศัพท์ แต่ครั้งนั้นไม่ได้ซื้อให้เพราะเงินในกระเป๋าไม่พอ ด.ช.ดิศร จึงตอบปฏิเสธไป
จากนั้นนายพันจึงเข้ามาพูดคุยกับ ด.ช.ดิศร อีกรอบ และบอกให้ไปเรียกตัวน้องมัวมาให้หน่อย ด.ช.ดิศร จึงเข้าไปเรียกน้องมัวที่กำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ภายในห้อง และบอกว่า "มัว ๆ ลุงมาหา" จากนั้นน้องมัวก็ลุกออกไป และคุยกับนายพันอยู่ประมาณ 1 นาที แล้วก็ขึ้นซาเล้งออกไปด้วยกัน ตอนนั้น ด.ช.ดิศร ก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะปกตินายพันทักจะเข้ามาที่วัดอยู่บ่อย ๆ ซึ่งทุกครั้งที่เข้ามาก็จะมีการพูดคุยสนิทสนมกับน้องมัว
พ่อไอ้พันยอมรับลูกมีคดีติดตัว และตัดขาดไม่ยุ่งเกี่ยวกัน
ทีมข่าวช่อง 8 ยังได้เดินทางไปตามที่อยู่ล่าสุดของไอ้พันในพื้นที่ หมู่ที่5 หนองปรือ ต.ไม้เค็ด อ.เมืองปราจีนบุรี จ.ปราจีนบุรี ไปเจอกับพ่อ พาไปดูบ้าน เพื่อยืนยันว่าลูกไม่ได้มาบ้านแน่นอน
พ่อ บอกว่า ตนเองไม่ได้เจอลูกมานานแล้ว ไม่เคยกลับบ้านมานานแล้ว ไม่รู้ว่าลูกไปอยู่ไหน หากเป็นไปได้อยากให้กลับมามอบตัว ทั้งนี้พ่อ บอกว่า เพิ่งรู้ข่าวเมื่อเช้า แต่ตนเองก็ไม่สามารถติดต่อลูกได้ ยอมรับว่าลูกเคยมีคดีติดตัว ตนเองจึงไม่อยากยุ่งเกี่ยว และตัดขาดจากกัน