จากกรณีเมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 23 กันยายน 2566 ตำรวจ สภ.ลาดหญ้า รับแจ้งเหตุมีคนถูกอาวุธปืนยิงได้รับบาดเจ็บที่บริเวณ หมู่ 3 บ้านท่าโป่ง ตำบลวังด้ง อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี จึงรีบนำกำลังลงพื้นที่ไปตรวจสอบ
เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงพบว่าพลเมืองดีได้นำตัว นายนพเดช บุญสุวรรณ์ หรือเดช อายุ 34 ปี เป็นอส. ที่ได้รับบาดเจ็บ หลังถูกคนร้ายยิงด้วยปืนขนาด 9 มม. นำส่งโรงพยาบาลค่ายสุรสีห์ ไปก่อนแล้ว
เจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานได้เข้าตรวจสอบและเก็บพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ สอบสวนทราบว่า คนร้ายสองคนขี่รถจักรยานยนต์มาจอดที่หน้าร้านขายของชำ บริเวณจุดเกิดเหตุดังกล่าวก่อนจะใช้อาวุธปืนขนาด 9 มม. รัวยิงใส่ อส.เดช จำนวน 8 นัด ต่อหน้าลูกเมียและลูกชายวัย6ขวบ โดย อส.เดช โดนยิงเข้าที่ หน้าอก 5 นัด
สอบถามกลุ่มเพื่อนของ อส.เดช ได้ข้อมูลว่าในวันพรุ่งนี้ทาง อส.เดช จะไปทำการแก้บนที่วัดจุฬามณีในตอนเช้าแต่กลับมาเกิดเหตุการณ์เหตุการณ์ดังกล่าวเสียก่อน
ทีมข่าวยังได้ภาพหลักฐานกล้องวงจรปิดใกล้จุดที่เกิดเหตุ ซึ่งช่วง 18.59 น. ของวานนี้ จะได้ยินเสียงปืนที่ดังขึ้นขณะเกิดเหตุโดยรัวติดกันทั้งหมด 8 นัด เป็นนาทีขณะคนร้ายยิงปืนใส่นายนพเดช
ขณะเดียวกัน ทีมข่าวช่อง 8 ยังได้ภาพวงจรปิดเพิ่มเติม เป็นนาทีก่อนที่คนร้ายจะเข้าไปก่อเหตุยิงนายนพเดชเสียชีวิต โดยคนร้ายสองคนแต่งตัวมิดชิดและปิดบังใบหน้า ขี่รถจักรยานยนต์สีฟ้ามุ่งหน้าไปร้านขายของชำ ซึ่งตอนนั้นนายนพเดชได้แวะจอดรถกระบะเพื่อเติมน้ำมัน จะเห็นว่าคนร้ายทั้งสองคนขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาก่อเหตุ โดยเวลาที่ปรากฏในกล้องวงจรปิดไม่ตรงกับเวลาจริง แล้วต่อมามีเสียงปืนดังขึ้น8 นัด ตามที่ปรากฏในกล้องวงจรปิดอีกตัวช่วงเวลา 18.59 น.
หลังจากที่คนร้ายก่อเหตุก็ได้รีบขี่รถจักรยานยนต์หนี มุ่งหน้าไปทางมัลลิกา ต.สิงห์ อ.ไทรโยค โดยกล้องวงจรปิดที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุก็ยังบันทึกภาพคนร้ายทั้งสองขี่รถจักรยานยนต์ออกมาหลังก่อเหตุแล้ว ซึ่งใช้เวลาเข้าออกในการก่อเหตุครั้งนี้รวมประมาณ 15 นาที
ทีมข่าวได้พูดคุยกับ นางสาวอุ้ม (นามสมมติ) ภรรยาของนายนพเดช ที่กำลังเตรียมงานศพของสามีที่บ้านพักแม่สามี แต่ศพจะออกจากโรงพยาบาลพรุ่งนี้ บอกว่า ก่อนหน้านี้สามีเคสเป็นอาสารักษาดินแดนจังหวัดกาญจนบุรีเมื่อหลายปีก่อน ต่อมาถูกดำเนินคดีพยายามฆ่า ในปี 2561 และพ้นโทษออกมาปี 2564
เหตุการณ์ในตอนนั้นรุ่นน้องของสามีไปมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับวัยรุ่นต่างหมู่บ้าน ซึ่งรุ่นน้องขอความช่วยเหลือจากสามีตนให้พาไปพูดคุยเพื่อเคลียร์ใจกับวัยรุ่นต่างหมู่บ้าน กลายเป็นว่ารุ่นน้องมีตนไปมีเรื่อง ซึ่งสามีตนใช้ปืนยิงขู่อีกฝ่าย หนำซ้ำตอนที่เกิดเรื่องสามีดำรงตำแหน่งเป็นอส. ทำให้ถูกกลั่นแกล้งและถูกดำเนินคดี ยืนยันว่าเหตุการณ์ตอนนั้นสามีแค่ยิงขู่และไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
ต่อมาสามีออกจากคุก แล้วในปีนี้สามีบอกกับตนอยากจะเป็นอส.อีกครั้ง พอรู้ว่ามีการเปิดรับสมัครก็เป็นลงสมัครและเตรียมสอบ แล้วสามีพาต้นไปไหว้ตามสถานที่ต่างๆที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อบนบานขอให้สอบติด กระทั่งสอบติดและได้บรรจุเป็นอส.ในเดือนกันยายน
ซึ่งเมื่อวานนี้ก่อนเกิดเหตุสามีขี่รถจยย.พาตนและลูกชายมาหาแม่ของสามีที่บ้านพัก จากนั้นก็มีการเปลี่ยนรถเพื่อจะเดินทางกลับบ้านโดยเปลี่ยนเป็นรถกระบะสีดำที่บ้านพักแม่สามี แล้วน้ำมันรถกำลังจะหมด จึงต้องแวะเติมที่ร้านขายของชำซึ่งก็เป็นร้านของญาติสามี
จังหวะที่สามีกำลังจะเอาถังน้ำมันมาเติมในรถ จังหวะนั้นตนก็เปิดประตูฝั่งข้างคนขับลงมา ซึ่งตอนนั้นเห็นว่ามีรถจักรยานยนต์สีน้ำเงินซ้อนสองคน จอดรถแล้วคนที่ซ้อนท้ายก็ยิงสามีตนหลายนัด โดยสามีถูกยิงต่อหน้าตนและถูกยิงต่อหน้าลูกชายที่อยู่ในรถ จังหวะนั้นมืดมากต้นจึงมองไม่เห็นว่าคนที่ซ้อนท้ายรถลงมายิงสามีหรือนั่งรถจักรยานยนต์แล้วยิง โดยคนร้ายทั้งสองคนแต่งตัวมิดชิดและปิดบังใบหน้า ก่อนขี่หนีไป
หลังเกิดเรื่องลูกชายตัวเองช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะเห็นทุกฉากทุกตอนที่พ่อของตนเองถูกยิง ขณะที่ตนก็ยังเสียใจและรับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยืนยันสามีไม่เคยมีความขัดแย้งกับใคร และส่วนตัวก็เชื่อหากจะเป็นอดีตที่เคยมีเรื่องขัดแย้งกับสามีเมื่อปี 2561 ก็เป็นไปไม่ได้เพราะเป็นเรื่องเก่าแล้วและเคลียร์กันจบแล้วซึ่งสามีตนก็ติดคุกไปแล้ว
และสิ่งที่เสียใจมากที่สุดคือวันที่ 29 กันยายนนี้ เป็นวันเกิดของสามี ซึ่งตนได้คุยกับสามีไว้ว่าจะไปจดทะเบียนสมรสกันเพื่อเป็นของขวัญให้กับสามีในวันเกิด เพราะที่ผ่านมาใช้ชีวิตคู่ร่วมกันโดยที่ไม่ได้จดทะเบียนมา 11 ปีและมีลูกชายและลูกสาวด้วยกันสองคน ซึ่งสามีพยายามที่จะสร้างฐานะและสร้างครอบครัว ก็ได้สร้างบ้านใหม่อยู่หลังบ้านพักแม่สามีซึ่งกำลังจะสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่ปรากฏว่าสามีถูกยิงเสียชีวิตก่อน
ยืนยันว่าถ้าสามีมีศัตรูที่ไหนหรือมีความขัดแย้งกับใครคงจะต้องระวังตัว แต่ปรากฏว่าวันเกิดเหตุถูกยิงโดยที่ไม่ได้ระวังตัว ก็อยากทวงความยุติธรรมให้สามีอยากให้ตำรวจจับคนร้ายโดยเร็ว
ต่อมาทีมข่าวช่อง8 ได้เดินทางไปที่บ้านพักของนายบอล (นามสมมติ) อายุ 45 ปี เป็นพ่อของวัยรุ่น ซึ่งเป็นคู่กรณีเก่าของนายนพเดช เล่าว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในปี 2559 เป็นความขัดแย้งกันระหว่างวัยรุ่นหมู่บ้านท่าเสา ซึ่งเป็นหมู่บ้านของตน กับหมู่บ้านท่าโป่ง ซึ่งเป็นหมู่บ้านของนายนพเดช โดยวัยรุ่นทั้งสองหมู่บ้านมีปัญหากัน หลังจากนั้นวัยรุ่นหมู่บ้านท่าโป่งก็ไปฟ้องนายนพเดชซึ่งตอนนั้นเป็นอส.อำเภอไทรโยค
แล้วนายนพเดชก็พาวัยรุ่นในหมู่บ้านท่าโป่งรวมประมาณ 10 คนขึ้นรถกระบะแล้วขับมาที่หน้าบ้านพักของตน โดยตอนนั้นลูกชายตนอยู่ในบ้านพักซึ่งลูกชายตนก็ไปขัดแย้งกับวัยรุ่นในหมู่บ้านของนายนพเดช ตอนนั้นนายนพเดชจอดรถหน้าบ้านตนแล้วยิงปืนใส่บ้านตนประมาณ 8-9 นัด เพื่อขู่
หลังเกิดเรื่องตนจึงพาลูกชายไปแจ้งความที่สภ. ลาดหญ้า ในข้อหาพยายามฆ่า ซึ่งทางตำรวจได้เรียกตัวทั้งนายนพเดชและวัยรุ่น ที่มาร่วมก่อเหตุทั้งหมดมาสอบปากคำ ปรากฏว่านายนพเดชให้การยอมรับว่าก่อเหตุดังกล่าวจริง แต่ลงมือเพียงลำพังคนเดียวเท่านั้น จนกระทั่งในปี 2561 ศาลตัดสินจำคุกโทษนายนพเดชเพียงคนเดียว หลังออกจากคุกตนเจอนายนพเดช ก็ไม่ได้พูดคุยกันแต่นายนพเดชก็ยกมือไหว้ตนตลอด
ตนยืนยันว่าจากเรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรกันอีก และมาทราบเรื่องเมื่อวานนี้มีวัยรุ่นในหมู่บ้านตนมาบอกตนว่านายนพเดชถูกยิงเสียชีวิต ยอมรับว่าพอเกิดเรื่องดังกล่าวทุกคนก็จะพุ่งเป้ามาที่ตนและวัยรุ่นในหมู่บ้าน แต่ยืนยันว่าไม่มีส่วนรู้เห็นและไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว