จากกรณีการขยายผลจากการจับกุมเว็บไซต์พนันออนไลน์ โดยชุด PCT ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทางตำรวจ บช.สอท.ได้ส่งกำลังสนับสนุนตามที่ร้องขอ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เปิดปฏิบัติการตรวจค้นสถานที่หลายแห่งทั่วประเทศ ที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์พนันออนไลน์
อย่างไรก็ตามในวันนี้มีการปิดล้อมตรวจค้น 30 จุดในพื้นที่ 6 จังหวัดคือ กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ เพชรบุรี ขอนแก่น อุดรธานี และสระบุรี
นอกจากนี้มีรายงานข่าวว่า การตรวจค้นดังกล่าวได้มีการออกหมายจับตำรวจ 8 นาย
รายชื่อ 8 ตำรวจลูกน้องบิ๊กโจ๊ก ที่ถูกจับ คดีเว็บพนัน
1.พลตำรวจตรี นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ ผู้บังคับการศูนย์ฝึกอบรมกองบัญชาการตำรวจนครบาล
2.พันตำรวจเอกเขมรินทร์ พิสมัย ผู้กำกับการตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดจันทบุรี
3.พันตำรวจเอกภาคภูมิ พิสมัย รองผู้บังคับการกองบังคับการสนับสนุนทางเทคโนโลยีภาค 4
4.พันตำรวจโท คริษฐ์ ปริยะเกตุ รองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวน สถานีตำรวจภูธร สำโรงเหนือ
5.พันตำรวจเอกอาริศ คูประสิทธิ์รัตน์ ผู้กำกับการตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดฉะเชิงเทรา
6.พันตำรวจตรีชานนท์ อ่วมทร นายตำรวจติดตามรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
7.สิบตำรวจเอก ณัฐวุฒิ หวัดแวว ผู้บังคับหมู่ งานสายตรวจ 1 กองกำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจจราจร
8.สิบตำรวจเอกอภิสิทธิ์ คนยงค์ ผู้บังคับหมู่ ป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจภูธร บางปะกง
*คุมสอบผู้เกี่ยวข้อง
โดยวันนี้ (25ก.ย.66) พล.ต.ต.นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ ผบก.ศฝร.บช.น. เข้าให้ข้อมูลตำรวจแล้ว
และ ผู้ต้องหาพลเรือน 6 คน ซึ่งถูกดำเนินคดีเกี่ยวข้องกับเว็บพนันและบัญชีม้า เจ้าหน้าที่นำขึ้นเครื่องบินตำรวจ เพื่อมาสอบสวนที่กรุงเทพฯ โดยมี น.ส.ยุภาพร , นางแสงเดือน , น.ส.เรไร , นายกิตติศักดิ์
ขณะเดียวกัน นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อธิบดีอัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงกรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ถูกค้นบ้าน หลังลูกน้องถูกออกหมายจับเอี่ยวพนันออนไลน์
โดย นายปรเมศวร์ เผยถึงกรณีที่เกิดขึ้นว่า การค้นครั้งนี้เหมือนมันมีอะไรแปลกๆ ซึ่งตนก็พูดอะไรมากไม่ได้ แต่เท่าที่ฟังตำรวจแถลงเขาก็บอกว่ามันคือการออกหมายค้น เพื่อไปจับลูกน้องของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งมองดูแล้วมันเหมือนการเมืองทางตร. เพราะว่าเราสังเกตไหมเวลาเราจะจับตำรวจ ส่วนใหญ่ตอนที่พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เขาทำเขาจะเรียกตำรวจเหล่านั้นมา แล้วมีหมายจับอยู่ในมือ ซึ่งที่ผ่านมาตนไม่เคยเห็นพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เอาตำรวจไปค้นที่บ้านตำรวจหรือบ้านใครนี่คือมาตรฐาน ทีนี้พอจะจับลูกน้องของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ผมคิดว่า “บอกโจ๊กเอาลูกน้องมาสิ มันก็ไม่ต้องไปค้นไงแต่ถ้าเราจะไปจับเอกชนที่ไม่ใช่ลูกน้องของโจ๊กทำอย่างนั้นไม่น่าเกลียด”
หากถามว่าเป็นไปได้ไหม หากศาลรู้ว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ศาลจะไม่ออกหมาย ซึ่งประเด็นนี้ นายปรเมศวร์ บอกว่า ส่วนตัวผมยังไม่อยากมองไปถึงว่า ศาลเองรู้บ้างว่าเป็นบ้านของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เดี๋ยวมันจะกลายเป็นลักลั่นกันอยู่ แต่ว่าจริงๆเวลาไปค้นบ้านนี้มันต้องบอกว่ามีผู้ร้ายคนไหนที่หลบซ่อนอยู่ ทีนี้ถ้าเรามองในแง่การทำงานของตำรวจ สมมติตำรวจจะออกหมายจับใครสักคนเชื่อไหมเขาเอาคนไปเฝ้าไว้เรียบร้อยแล้วพอหมายจับมาเขาก็จับได้เลย
แต่ครั้งนี้ที่สังคมมองว่ามันแปลกก็คือว่าทำไมไม่เรียกไป เพราะที่ผ่านมาคดีเกี่ยวกับตำรวจก็เห็นเรียกไปแต่อันนี้ในความเห็นผมในความเห็นชาวบ้านทั่วไปฟังจากแถลงก็เออเข้าใจได้ว่าคุยต้องการจับเลยออกหมายค้นไปตรงนั้น แต่การเอาคอมมานโดไป มันเหมือนกับเป็นการสร้างกระแสข่าว ซึ่งวันนี้ตนเองได้คุยกับพล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร เป็นอดีตผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ท่านก็ว่าเอาตีหมาลูบหน้าทำให้เสียชื่อเสียงเสียเครดิตไปก่อนหรือเปล่า เพราะถ้าไม่จับวันนี้รอให้ผ่านเดือนนี้ถามว่าจับได้ไหมรอให้พ้นการแต่งตั้งผบ.ตร.ไปก่อนได้ไหมแล้วค่อยจับ ซึ่งส่วนตัวผมมองว่าอันนี้คือคำตอบที่ชัดเจนเพราะว่าบางเรื่องมันไม่ต้องรีบถึงขนาดนั้นก็ได้ ดูแล้วไม่กระทบกับการเชื่อมั่น หากบิ๊กโจ๊กได้รับแต่งตั้งเป็นผบ.ตร.
ทั้งนี้ อ.ปรเมศวร์ กล่าวต่อว่า อย่างคดีฮั้วประมูลผมว่ารีบกว่านี้ยังดูไม่คืบอะไร ส่วนเรื่องส่วยถ้าไม่ใช่บิ๊กโจ๊ก ตนมองว่าไม่มีทางสาวถึงบิ๊กตำรวจ ที่จะกระทบได้ตนมั่นใจ แต่ไม่ขอเอ่ยถึงเดี๋ยวกลายเป็นการพาดพิง ส่วนการที่ ผกก.เบิ้ม พ.ต.อ.วชิรา ยาวไทยสงค์ ผู้กำกับ 2 กองบังคับการตำรวจทางหลวง เสียชีวิตไปแล้วถือเป็นการตัดขบวนการไปแล้วมันสาวถึงยาก ไม่ได้หมายว่าผกก.เบิ้มถูกตัดตอนนะ แต่การสิ้น ผกก.เบิ้ม มันทำให้สาวต่อเรื่องส่วยยาก
*เปิดบอสตาล-มินนี่
สำหรับ บอสตาล หรือ นายพงษ์ศิริ ฐานราชวงศ์ศึก ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ PCT บุกจับเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 66 ที่บ้านพ่อตาใน อ.ดอกคำใต้ จ.พะเยา หลังตรวจสอบพบเป็นเจ้าของเว็บพนันออนไลน์และฟอกเงิน พร้อมทำธุรกิจหลายอย่างบังหน้ารวมมูลค่ากว่าพันล้าน
ต่อมาจากการสืบสวนขยายผลเครือข่ายเว็บไซต์พนันออนไลน์ที่เคยมีการจับกุมทางภาคเหนือของบอสตาล เจ้าหน้าที่ได้ปิดล้อมตรวจค้นเพิ่มในพื้นที่ จ.เลย และกทม. รวม 4 จุด เมื่อ วันที่ 30 ก.ค.66 พร้อมจับกุมผู้ต้องหา 3 ราย 1.น.ส.สุชานันท์ หรือ ธนัยนันท์ หรือ มินนี่ 2.น.ส.อรณี (สงวนนามสกุล) 3.นายณัฐวัตร (สงวนนามสกุล)
พร้อมตรวจยึดของกลางสมุดบัญชีธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ 100 รายการ บัตรอิเล็กทรอนิกส์กว่า 55 ใบ โทรศัพท์มือถือ จำนวน 30 เครื่อง เงินสด 920,000 บาท คอมพิวเตอร์ ไอแพดและเครื่องรับส่งสัญญาณอินเตอร์เน็ต หลายรายการพบเงินหมุนเวียนกว่าร้อยล้านบาท
อย่างไรก็ตาม มีคลิปการจับกุมเมื่อวันที่ 30 ก.ค. 66 ปรากฏภาพของ ร่วมสอบสวนอยู่ด้วย
นอกจากนี้ ในภาพนิ่งที่พ.ต.อ.ภาคภูมิถ่ายรูปคู่กับมินนี่ เมื่อดูนาฬิกาหรูของพ.ต.อ.ภาคภูมิ พบว่าเป็นโรเล็กซ์ รุ่น Daytona ราคากว่า 24,000 ดอลลาร์ หรือ ประมาณ 899,125 บาท
*ย้อนดูเฟซบุ๊กพ.ต.อ.ภาคภูมิ
เมื่อย้อนไปดูเฟซบุ๊กของพ.ต.อ.ภาคภูมิ โพสต์ไว้เมื่อ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา ระบุว่า ""คดีกำนันนก" เป็นคดีหนึ่งที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชา ให้เป็นหนึ่งในทีมสืบสวนเพื่อแสวงหาพยานหลักฐาน เพื่อพิสูจน์ความจริงเหมือนหลายๆคดีที่ผ่านมา แต่สิ่งที่ได้พบทำให้สะเทือนใจ เสียใจ และ หดหู่ใจ ที่ตำรวจดีๆต้องเสียชีวิต ตำรวจได้รับบาดเจ็บ ตำรวจต้องตกเป็นผู้ต้องหา ซึ่งล้วนแต่เป็นพี่ เพื่อน น้อง หลายคนเคยทำงานร่วมกัน บางคนเป็นเพื่อนเรียนมาด้วยกัน ต้องได้รับผลกระทบจากคดีนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถูกตั้งคำถามจากประชาชนในหลายๆ เรื่องจากเรื่องนี้ แต่เมื่อความจริงปรากฏพยานหลักฐานในหลายๆเรื่องได้บอกถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น ผมเชื่อว่าไม่มีตำรวจคนใดที่อยู่ในงานจะคาดคิดว่าจะเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น เพราะเกิดขึ้นซึ่งหน้าอย่างรวดเร็ว ปฏิกิริยาที่ตอบสนองต่อเหตุการณ์ของแต่ละคนจึงแตกต่างกัน แต่เพื่อนตำรวจกลุ่มหนึ่งที่เมื่อเกิดเหตุกลับช่วยเหลือผู้ต้องหาหลบหนี ทำลายพยานหลักฐาน ไม่รักษาสถานที่เกิดเหตุ ไม่ช่วยเหลือตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บ พฤติกรรมแบบนี้เกินกว่าที่จะรับได้ ทรยศต่ออาชีพ ศักดิ์ศรีตำรวจของคนเหล่านั้นหมดไปนับแต่วินาทีนั้น สำหรับผมเค้าเหล่านั้นไม่ใช่ตำรวจอีกต่อไป ส่วนตำรวจที่ไม่ได้ทำหน้าที่ของตนก็คงเป็นหน้าที่จะต้องชี้แจงว่ามีเหตุผลอย่างไรจึงได้ละเว้นหน้าที่เช่นนั้น ขอชื่นชมตำรวจที่ได้เข้าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและทำหน้าที่ที่ควรทำ ซึ่งจะเห็นว่ายังมีตำรวจที่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่อีกมาก
ในการทำงานสืบสวนตลอดชีวิตราชการที่ผ่านมา ผมจะยึดถือเสมอว่า " ต้องแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อยืนยันตัวผู้กระทำผิดให้ได้รับโทษ แต่สิ่งที่ต้องทำคู่กันไปคือ ต้องค้นหาพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของคนที่เกี่ยวข้องในคดีด้วย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม" การสืบสวนในคดีนี้แม้จะลำบากใจแค่ไหน อาจจะมีคนที่มองต่าง ตำหนิว่าไม่ช่วยเพื่อน ไม่รักตำรวจ ผมต้องขอโทษนะครับ ผมคิดว่าการสืบสวน สอบสวน อย่างตรงไป ตรงมา ซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ เพื่อทำความจริงให้ปรากฏ สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนเท่านั้น จึงจะรักษาองค์กรและศักดิ์ศรีของตำรวจอีกกว่าสองแสนคน ให้ดำรงอยู่อย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี เป็นที่เชื่อมั่น และ ศรัทธาของประชาชนต่อไปได้#กำนันนก#ความจริงมีหนึ่งเดียว#ทีมสืบสวนสอบสวน"