*คุมพลเรือนเอี่ยวเว็บพนัน
ตำรวจชุดปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจ
แห่งชาติ หรือชุด PCT5 ควมคุมตัว ผู้ต้องหารวม 6 คน ประกอบด้วย
1.นางสาวยุภาพร า
2.นางแสงเดือน
3.นางสาวเรไร
4.นายกิตติศักดิ์
**จับได้ที่ จ.เลย
5.นางสาวทักษพร
6.นางพิชชารัศมิ์
**จับได้ที่ จ.ขอนแก่น
ทั้งหมดเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ ข้อหา ร่วมกันกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะรับเป็นบัญชีม้า
และส่วนนางสาวพิชชารัศม์ เป็นหุ้นส่วนเว็บไซต์พนันออนไลน์ จึงถูกแจ้งข้อหาร่วมกันจัดให้มีการเล่นพนัน(ออนไลน์) ร่วมด้วย
ตำรวจคุมตัวทั้ง 6 คน ขึ้นเครื่องบิน ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากท่าอากาศ
ยาน จ.เลย มาลงที่กองบินตำรวจ ดอนเมือง ในเวลา 17.15น.
ทันทีที่มาถึงมีรถตู้ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติทั้ง 3 คันมารอรับผู้ต้องหาทั้งหมดเพื่อนำไปสอบสวนต่อที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 5 ผู้ต้องหาบางคนใช้ผ้าคลุมศีรษะปิดบังใบหน้า ก่อนจะเดินขึ้นตู้โดยไม่มีการให้สัมภาษณ์สัมภาษณ์กับสื่อ
นอกจากนี้ยังมีผู้ต้องหาอีก 1 คน คือนายบัณฑิต ที่ถูกจับคุมได้เมื่อเช้านี้ แต่ยังไม่ได้บินมาพร้อมกับผู้ต้องหาทั้ง 6 ราย เนื่องจากอยู่ระหว่างตรวจค้น โดยจะคุมตัวตัวนั่งเครื่องพาณิชย์มาลงภายหลัง
*พิมพิลาส เพิ่งถอยรถ
ขณะเดียวกันทีมข่าวช่อง 8 ได้ตรวจสอบข้อมูลของ 1 ในผู้ต้องหาที่เป็นพลเรือนที่ถูกออกหมายจับ คือ นางสาวพิมพิลาส ซึ่งขณะนี้เธอยังอยู่ระหว่างหลบหนี จากการตรวจสอบพบว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อ 22 กันยายนที่ผ่านมา (3 วันก่อนถูกมีการบุกจับ) ตัวเธอและแฟนหนุ่ม นั่นคือ นายบัณฑิต ซึ่งถูกออกหมายจับและถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้ ได้เดินทางไปถอยรถยนต์ป้ายแดงมาหมาดๆ ภายในโชว์รูมรถยนต์แห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น
ซึ่งในเพจเฟซบุ๊กของโชว์รูมรถยนต์ ยังได้ขึ้นขอบคุณ นางสาวพิมพิลาสอยู่เลย โดยมีภาพเธอและแฟนหนุ่มได้ถ่ายรูปคู่กับรถยนต์สีดำ ราคาประมาณ 1.89 ล้านบาทอยู่เลย
ต่อมาทีมข่าวได้ติดต่อไปสอบถาม คุณตุ้ม (นามสมมุติ) พนักงานขายรถยนต์ที่ติดต่อกับนางสาวพิมพิลาส ให้ข้อมูลว่า ก่อนหน้านี้ตัวนางสาวพิมพิลาส และแฟนหนุ่มได้จองรถยนต์ผ่านตัวแทนขายโชว์รูมอื่นไว้ตั้งแต่ 1 เดือนที่แล้ว แต่ยังไม่ได้รถ จึงเปลี่ยนมารับรถที่โชว์รูมของตนเอง โดยตนเองเป็นพนักงานขาย จากการสอบถามนางสาวพิมพิลาส เบื้องต้น ได้อ้างว่าตัวของเธอทำธุรกิจปลูกบ้านขาย ซึ่งรับเงินเดือนจากกลุ่มเครือญาติที่ทำธุรกิจร่วมกัน โดยราคารถที่เจ้าตัวซื้อ ราคา 1.89 ล้านบาท โดยเจ้าตัววางเงินดาวน์จำนวน 1 ล้านบาท และเพิ่งถ่ายรูปรับรถกันไปเมื่อ 3 วันที่แล้ว
ขณะเดียวกัน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. กล่าวภายหลังเข้าพูดคุยกับชุดทำงานว่า ตอนนี้ตนยังไม่มีข้อกล่าวหา จึงยังไม่ต้องชี้แจง หรือต่อสู้คดี แต่ตั้งประเด็นเพราะว่าเรื่องการค้นบ้านของตน มันมีความผิดปกติเพราะมีการไปหลอกศาล ทำให้ศาลไม่รู้ว่าเป็นบ้านของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ โดยอาศัย การขอหมายค้นแค่บ้านเลขที่ แล้วขอเข้าตรวจค้น หากไปถามใครก็รู้ว่าเป็นบ้านของตนแต่ถ้าไปถามศาลศาลคงไม่รู้ เลยมองว่านี่เป็นการเตรียมการมาแล้วเชื่อว่าไม่มีอำนาจอื่นเข้ามาแทรกแซงแต่เป็นการเมืองภายในตร.
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เผยว่า ขณะนี้ทราบแล้วว่าใครเป็นคนสั่งการ กำลังใจในการทำงานตอนนี้ ยังดีอยู่ทุกคดีต้องทำต่อและทำให้เสร็จ ตราบใดก็ตามที่ตนยังรับผิดชอบอยู่ ส่วนลูกน้องที่ถูกดำเนินคดีก็ต้องต่อสู้คดี และตนได้บอกทุกคนให้ที่โดนดำเนินคดีให้เข้ามอบตัว ถ้าไม่ให้ประกันที่โรงพักก็ไปประกันที่ศาล ถ้าศาลไม่ให้ประกันก็ไปที่เรือนจำกันต่อไป
ช่วงหนึ่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังบอกด้วยว่า จะยังทำงานตามปกติเช่นเดิม และจะไม่ลดบทบาทของตนเอง ก่อนจะพูด คติ นรต. บางช่วงบางตอนด้วยว่า “อดทนต่อความเจ็บใจ และไม่หวั่นไหวต่อความยากลำบาก ไม่มักมากในลาภผล”
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยืนยันว่าไม่มีการโทรไปสั่งกับผกก.โรงพักในท้องที่ใด เรื่องนี้เป็นการดิสเครดิต เนื่องจากมีหลายคดีที่ใกล้เสร็จแล้ว ต้องทำหน้าที่ตามกฎหมายใครทำผิดก็ว่าไปตามผิด คดีทุกคดีโปร่งใสและตนทำร่วมกับอัยการ ไม่ท้อและจะทำงานตามปกติ ส่วนเรื่องเก้าอี้ผบ.ตร.ยืนยันว่าตนเป็นเบอร์ 2 จำเป็นที่จะต้องดูเบอร์ 1 เพราะเขายังอยู่และไม่คิดไปล้ำหน้าอยู่แล้ว เพราะพ.ร.บ.ก็เขียนไว้ชัดเจน ว่าต้องดูที่ลำดับความอาวุโส และผลงาน เรียนตามตรงว่าสนุกกับการทำงาน ส่วนการจะได้เป็นผบ.ตร.หรือไม่นั้นต้องเป็นการทำงานของนายกรัฐมนตรี ตัวชี้วัดอยู่ที่ประชาชน ต้องทำหน้าที่ทุกอย่างให้กับประชาชน การตรวจสอบก็ต้องทำกันต่อ ใครทำหน้าที่มิชอบก็ต้องถูกดำเนินคดีกันต่อไป
*เปิด4นายพลแคนดิเดตผบ.ตร.
เมื่อไล่เรียง 4 นายพล แคนดิเดตชิงเก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คนที่ 14 โดยลำดับที่1 พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. เกษียณอายุราชการปี 2567 (1ปี)
ลำดับที่2 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. เกษียณอายุราชการปี 2574 (8ปี)
ลำดับ3 พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผบ.ตร. เกษียณอายุราชการปี 2569 (3ปี)
ลำดับที่4 พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผบ.ตร. เกษียณอายุราชการ ปี 2567 (1ปี)
ทีมข่าวช่อง 8 ได้ไปพูดคุยกับพล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการบุกค้นบ้านของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ว่า เรื่องนี้สะเทือนวงการตำรวจมาก เพราะหน้าที่ตำรวจเป็น ผู้บังคับใช้กฎหมายแล้วโดนเสียเอง แต่คนไม่ดีมันก็ต้องโดน
ประเด็นว่าทำไมไม่มีใครรู้ ทางพล.ต.ต.วิชัยมองว่า ที่ไม่มีใครรู้เพราะงานนี้ทำลับมาก เพราะทุกครั้งเวลาจะออกหมายจับอะไรมักจะรั่ว ขนาดผู้ถูกออกหมายค้นเป็นมือสืบสวนสอบสวน ตำรวจที่เนินการออกหมายได้ถือว่าลับมาก เพราะเกี่ยวข้องกับตัวบิ๊กโจ๊ก ถ้าเกิดรั่วไป อำนาจหน้าที่เขามี คนไปค้นจะต้องสะเทือนเอง
ประเด็นเป็นเกมล้มบิ๊กโจ๊กหรือไม่ ตรงนี้ พล.ต.ต.วิชัย เผยประชาชนอาจจะมองว่าเป็นเกม แต่มุมผมการแข่งระหว่างแคนดิเดตรองผบ.ตร. 4 คน ไม่ได้อยู่ที่ตัวแคนดิเดต แต่อยู่ที่นายกรัฐมนตรีว่าจะเลือกใคร เพราะนายกฯ เป็นคนคัดเลือกและเสนอชื่อต้อง 4 แคนดิเดตคนนี้เท่านั้น ซึ่งต้องคำนึงถึงความอาวุโสและความรู้ความสามารถและประสบการณ์ด้านสืบสวนสอบสวนและปราบปราม ยืนยันไม่มีชื่อเพิ่มเป็นแคนดิเดตคนที่ 5 แน่นอน กฎหมายไม่ให้ มีขั้นตอนอยู่ที่นายกฯ คนเดียวว่าจะเลือกใช้ใคร นายกฯ ก็ต้องใช้คนที่อาศัยได้ เพราะตำรวจต้องอยู่กับนายกฯ ไม่ต้องไปคิดเลยว่าจะแข่งกันยังไง ถ้านายกไม่เอา เขาก็ไม่ได้ อย่าง 4 แคนดิเดตตอนนี้มีความรู้ความสามารถเท่ากัน ทีนี้ต้องมาดูเรื่องอาวุโส แต่ถ้าผมเป็นนายกฯ แล้วผมจะเอาคนที่อยู่แค่ปีเดียว แล้วไม่ทำอะไร ผมจะเอามาไหม ดังนั้น ผบ.ตร.คนใหม่ก็ต้องเอาคนที่นายกฯ สั่งการได้แล้วตอนนี้ แคนดิเดต 4 คนมีคนแข่งกันหมด บางคู่แข่งกัน แต่คนรู้จัก แล้วมีแข่งแบบเงียบๆ ก็หาเจาะกันเหมือนกันหมด อะไรมันขึ้นแรงก็ตกแรง ขึ้นสูงก็ตกแรงหน่อย
ขณะที่ พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร เป็นอดีตผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด กล่าวถึงกรณีตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.) นำหมายค้นเข้าตรวจสอบบ้านพักของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. และบ้านที่ซื้อไว้ให้ลูกน้องพักรวม 5 หลัง ภายในหมู่บ้านในซอยวิภาวดี 60 หลังสโมสรตำรวจ
ส่วนกรณีที่บ้านพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ถูกค้น จะมาจากสาเหตุหมางใจที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นำมาตรา 157 ไปเล่นงานตำรวจอีกฝั่งหรือเปล่า นั้น พล.ต.ท.เรวัช กล่าวว่า ประเด็นนี้ไม่ใช่จุดหมางใจแต่อย่างใด สื่อไปวิเคราะห์กันเองว่าเป็นจุดหมางใจ เพราะทีมที่ไปค้นเป็นตำรวจไซเบอร์ ที่ขยายผลเรื่องเว็บพนันออนไลน์มา แล้วพอมีหมายศาลมาก็ต้องยอมให้ทำการตรวจค้น เพื่อจับกุมผู้กระทำความผิดที่ถูกออกหมายจับไว้แล้ว
ส่วนการเข้าค้นบ้านพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ลักษณะนี้ถือว่ารุนแรงไปไหม พล.ต.ท.เรวัชกล่าวว่า ปกติไม่เคยมีใครตรวจค้นบ้านผู้บังคับบัญชา นอกจากว่าจะมีการไปกระทำความผิด ยกตัวอย่างหากตัวผมไปกระทำความผิดเข้าถึงจะมาค้นมาจับ แต่ว่ารายละเอียดเรื่องนี้ตนไม่ทราบเขาจับใครไปบ้าง
ในส่วนตัวมองว่าเห็นการณ์ขอค้นเมื่อเช้า ตอนนั้นตกใจเพราะกำลังเตรียมไปส่งหลานไปโรงเรียน และไปแวะซื้อผัก ตอนนั้นเห็นตำรวจเต็มเลยตอนนั้นไม่ตกใจแต่ว่าเป็นชุดปฏิบัติการชุดคอมมานโด ก็เลยถามว่าไอ้หนูจะไปไหนกันเนี่ย เขาก็ตอบว่าไปตรวจค้นเป้าหมาย ซึ่งเขาตอบตนแบบนั้นตนก็ไม่ได้สนใจอะไร
หลังจากนั้นพอซื้อผักกลับมา ตนยังเข้าใจว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นัดกำลังมาเพื่อจะไปค้นที่อื่น ขณะเดียวกันหมู่บ้านที่จอดรถน้อย และรถตำรวจเต็มเลย ผู้จัดการหมู่บ้านเลยไม่ให้เอารถเข้าไป และตอนนั้นก็มีนักข่าวถามตนตอนขับรถเข้าไปในหมู่บ้านเหมือนประมาณว่าตนมาทำอะไร ตนก็บอกว่าอ๋อ บ้านอยู่ที่นี่ มันไกล ไม่ใช่หมู่บ้านหรูอะไร กู้เงินก็มาซื้อได้แล้ว
ส่วนกรณีขอค้นบ้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นบ้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นั้น พล.ต.ท.เรวัช กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า มองว่าเป็นไปได้ค้นไปจะรู้ว่าเป็นบ้านต้องสนิทและรู้จักมักคุ้นกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แต่คิดว่าไม่รู้แต่จากการจัดกำลังไปก็เหมือนรู้เพราะมันเยอะจริงๆเยอะมาก
ขณะเดียวกันอีกไม่กี่วันจะมีเรื่องแต่งตั้งผบ.ตร.คนใหม่ เรื่องค้นบ้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะกระทบไหม ในฐานะที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นรอง ผบ.ตร. ประเด็นนี้ พล.ต.ท.เรวัช กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ได้มองถึงตำแหน่ง จะไปค้นไปอะไรไม่ทำให้ใครเด่นดัง มันอยู่ที่ว่า ท่านนายกฯเศรษฐา จะพิจารณาเสนอชื่อใครไป และเสนอแล้วจะผ่านที่ประชุมหรือไม่เพราะที่ประชุมมาจากการเลือกตั้งถึง 6 คน พวกที่เป็นแคนดิเดตผบ.ตร. 4 คนก็ไม่มีสิทธิเข้าห้องไปโหวต ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเสนอชื่อใครไปแล้วจะได้เป็นเลยต้องเคาะกันอีกที ต้องอยู่ที่บุญวาสนาในอดีตด้วย เพราะคนระดับพลเอก ผลงานฝีมือมันเท่ากันทุกคนอยู่ที่นายกฯเศรษฐาจะเสนอชื่อใคร ไม่มีผลกับการเสนอชื่อ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เพราะลูกน้องผิด พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ไม่ได้ผิด
ส่วนการค้นบ้านเป็นการทำลายชื่อเสียงของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไหม ส่วนตัวมองว่า ยกตัวอย่างเหตุการณ์นี้อย่างการที่ผู้ใต้บังคับบัญชามาค้นบ้านตนก็ไม่มีหน้ามีศักดิ์ศรีอะไรไปทำงานแล้ว เขาก็มองถึงค้นไม่เจอความผิดอะไร ชาวบ้านเขาก็มองว่ามึงช่วยกันหรือเปล่า “ผม จากใจของพี่เรวัชของน้องๆ เราสนิทสนมกัน หน้าที่ทำเดี๋ยวมันก็ผ่านเดี๋ยวเราก็เกษียณให้มันอยู่เป็นตำนานเถอะ เกษียณไปน้องนุ่งก็ยังยกมือไหว้ลูกศิษย์ลูกหาก็ยังเคารพศรัทธาชาวบ้านก็ยังเคารพศรัทธาเพราะฉะนั้นก็ฝากไว้ให้รักสามัคคีกันมันไม่มีใครดี 100 %”
*เสรีพิศุทธ์ เชื่อมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง
ขณะที่พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้า พรรคเสรีรวมไทย ในฐานะอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แถลงข่าวหลังบุกเข้าจับกุมลูกน้องคนสนิทและบุกเข้าค้นบ้านพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในมุมมองของตัวเองมองเรื่องนี้ว่า มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง และมีสาเหตุมาจาก การแต่งตั้ง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่กำลังจะมาถึงภายใน 2 วันนี้
พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ ซึ่งในอดีตไม่เคยมีการเข้าค้นบ้านผู้บังคับบัญชาระดับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาก่อน มีเพียงความพยายามล้มล้าง ซึ่งปกติแล้วการจะขอหมายศาลเพื่อเข้าค้นบ้านตำรวจระดับชั้นผู้ใหญ่แบบนี้ จะต้องมีมูลเหตุชัดเจนเพียงพอให้ศาลมีความเชื่อว่ามีการกระทำความผิดจริง ดังนั้นเรื่องนี้ตัวเองเชื่อว่าหากผู้ไปขอหมายศาล ระบุชื่อว่าจะค้นบ้านของพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ ศาลคงไม่ออกหมายค้นให้ และคงไม่วินิจฉัยง่ายง่าย ครั้งนี้จึงไม่รู้ข้อเท็จจริงว่ามีการระบุรายละเอียดอย่างไรบ้าง
ส่วนที่มีตำรวจบอกว่าไม่รู้มาก่อนว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านพักอาศัยของพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์นั้น ส่วนตัวมองว่าอาจจะมีความเป็นไปได้เพราะตำรวจระดับเล็ก แต่ตำรวจระดับชั้นผู้ใหญ่ที่จะไม่รู้เป็นไปไม่ได้และการทำหน้าที่ที่เอาตำรวจคอมมานโดเข้ามาบุกตรวจค้นซึ่งปกติแล้วก็ไม่ใช่หน้าที่ของตำรวจคอมมานโด มองว่าไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวงใช้ผิดวัตถุประสงค์
นอกจากนี้มองว่าเป็นเรื่องที่อาจจะเกี่ยวข้องกับคดีของกำนันนกหรือไม่ พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ บอกว่าก็มีความเป็นไปได้ แต่ต้องบอกว่าตัวเองอยู่วงนอกแล้ว ถ้ายังอยู่วงในอาจจะรู้ แต่ลักษณะแบบนี้อีก 2 วันจะมีการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงอยากตั้งคำถามไปยังนายเศรษฐาว่ามีอิทธิพลภายนอกมาครอบงำหรือไม่ ฉะนั้นขอ ฝากเตือนไปยังนายกรัฐมนตรี ว่าจะทำอะไรจะแต่งตั้งใครต้องคิดให้รอบคอบ และคำนึงถึงมาตรา 78 ที่จะต้องคำนึงถึงความอาวุโสและความรู้ความสามารถประกอบกัน โดยเฉพาะเรื่องการสืบสวนสอบสวนและประสบการณ์ในการป้องกันปราบปราม ซึ่งต้องมีผลงานปรากฏที่ชัดเจน ซึ่งหากมีการแต่งตั้งข้ามระบบอาวุโสก็จะทำให้วงการสำนักงานตำรวจแห่งชาติตกต่ำ และจะไปโทษตำรวจชั้นผู้น้อยที่ไปรับเงินคนแบบกำนันนกก็ไม่ได้ เพราะมีผู้บังคับบัญชาเป็นแบบนี้