*บิ๊กโจ๊ก ร้องศาลขอหมายค้นไม่ชอบ
วันที่ 26 กันยายน 2566 ที่ศาลอาญา รัชดาภิเษก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เดินทางมายื่นคำร้องขอความเป็นธรรมต่อศาล กรณีถูกตำรวจปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและสารสนเทศ หรือ ตำรวจ PCT บุกค้นบ้านพักในย่านวิภาวดี 60
โดยพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า การออกหมายค้นที่ไปค้นบ้านของตนมองว่าเป็นการปกปิดข้อเท็จจริงต่อศาล เพราะรู้อยู่แล้วว่าเป็นบ้านที่ตนพักอาศัยอยู่ แต่ผู้ที่ไปขอหมายไม่ได้บอกศาล และแม้ชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ของบ้านจะเป็นคนอื่น แต่ก็เป็นญาติของตน
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า เหตุผลที่ขอหมายค้นบ้านนั้น ระบุเพื่อเข้าจับกุมสารวัตรนนท์ นายตำรวจติดตามของตน และมีข้อมูลว่าอาศัยอยู่ในบ้านหลังดังกล่าว โดยก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าตนอาศัยอยู่บ้านนี่ด้วย หากศาลรู้ว่าเป็นบ้านของตน ศาลจะให้ความเป็นธรรม เพราะยังไม่มีคดีความ โดยการที่ตนถูกออกหมายค้นบ้านและถูกนำกำลังยกเข้ามาค้นเป็นโขยง ทำให้ตนเสียชื่อเสียง
นอกจากนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังระบุว่า กล่าวว่า จะไปร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เพื่อเอาผิดกับตำรวจที่แจ้งความเท็จ แต่ไม่ขอเปิดเผยว่าเป็นตำรวจนายใด สังกัดกองบัญชาการไหน พร้อมยืนยันตนพร้อมรับการตรวจสอบ แต่การตรวจสอบนั้นต้องเป็นธรรม ไม่มีวาระซ่อนเร้น ไม่เช่นนั้นต้องมีการใช้สิทธิ์ทางกฎหมาย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับตนเอง ขนาดรองผบ.ตร.ยังไม่ได้รับความเป็นธรรม แล้วประชาชนจะไปหาความเป็นธรรมได้จากที่ไหน
ส่วนเรื่องเส้นทางการเงินที่พบว่าตำรวจคนสนิทของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์นั้น
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยืนยันว่าไม่ได้มีเส้นทางการเงินตรงเข้ามาที่ตน ทั้งหมดเป็นเรื่องของลูกน้อง ซึ่งเป็นหน้าที่ของลูกน้องที่ต้องตอบว่านำเงินไปทำอะไร ได้มีการนำเงินไปเล่นพนัน หรือไปยุ่งเกี่ยวกับเว็บอะไรหรือไม่ หรือจะไปใช้บัญชีม้า ไปมีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงกับมินนี่ ถือเป็นเรื่องเฉพาะตัว ไม่ได้หมายความว่าพอมีเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้วจะจับเชื่อมโยงมาที่ตนได้ ต้องมาถามตน ให้ตนไปอธิบาย
พร้อมระบุว่า เวลาที่ตนให้เงินลูกน้องไปทำงาน ที่เป็นส่วนเกินจากงบราชการลับที่มีไม่พอ ตนก็พร้อมนำเงินส่วนตัวมาทำงาน ซึ่งลูกน้องจะเอาไปหมุนยังไง ตนก็ไม่ทราบทั้งหมด แต่ให้คิดง่ายๆ ว่า ถ้าตนรับเงินจากเว็บพนัน คงไม่ใช่เงินแค่หลัก 2-3 ล้าน ที่ผ่านมาเคยมีคำพิพากษาศาลฎีกา ตัดสินโทษจำคุกกรณีที่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงแล้ว จึงต้องไปดูที่เจตนาว่าต้องการให้ตนเสียชื่อเสียงหรือไม่
ขณะเดียวกัน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะไปยื่นคำร้องที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ เพื่อขอความเป็นธรรมให้ตำรวจคนสนิทที่ถูกออกหมายค้นและหมายจับ เพราะในการขอออกหมายค้นใช้คำว่านายทั้งหมด ทำให้ศาลไม่ทราบว่ามีตำแหน่งมียศ ถ้าเป็นนายตำรวจศาลจะสั่งให้ออกหมายเรียกก่อน เว้นแต่ไม่มาจึงให้ออกหมายจับ เพราะเป็นบุคคลที่มียศ ตำแหน่ง ถิ่นที่อยู่ เป็นข้าราชการ แต่เมื่อไปปกปิดซ่อนเร้นเป็นการส่อพิรุธ
ผู้สื่อข่าวถามว่า รู้หรือยังว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือใครและเป็นคนในหรือคนนอก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า "ส่วนตัวมั่นใจว่า เรื่องที่เกิดขึ้นต้องมีคนสั่งการอย่างแน่นอน แต่จะเป็นคนภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือไม่นั้น ขอตอบสั้นๆ เพียงว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการเมืองภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ"
*เปิดผังบ้าน 5 หลัง "บิ๊กโจ๊ก"
การค้นบ้านบิ๊กโจ๊ก จากการตรวจสอบ พบว่า บ้านทั้ง 5 หลังในหมู่บ้านดังกล่าว ชื่อผู้ครอบครองเป็นของ “เฮียแต๋ม” และภรรยา ซึ่งเป็นคนที่ทำธุรกิจอยู่ที่ จ.อุดรธานี ได้ซื้อบ้านทั้ง 5 หลังนี้ไว้ และให้กับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พักอาศัย
ซึ่งเรื่องนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า กรณีชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์บ้านทั้ง 5 หลังคือ เฮียแต๋ม ซึ่งเป็นนักธุรกิจรายใหญ่ที่อุดรธานีว่า เฮียแต๋ม เป็นญาติของตน ซึ่งเป็นญาติสนิทกัน และเป็นเจ้าของบ้านทั้งหมด โดยเฮียแต๋มให้ตนเช่าบ้านอยู่ โดยมีสัญญาเช่าชัดเจน ตนเช่าในราคา 50,000 บาท อาศัยอยู่ 2 หลัง ส่วนหลังที่เหลือใช้เก็บของ ซึ่งบ้านที่ตนอาศัยอยู่นี้ ได้เคยให้การกับป.ป.ช.ไว้นานแล้ว และตนบริสุทธิ์ใจ เฮียแต๋มก็ไม่ใช่คนที่ทำผิดกฎหมาย ตนเป็นคนสงขลา จึงมาหาเช่าบ้านอยู่เพื่อความสะดวก
*แจงที่มาเงิน 2.8 ล้าน
นอกจากนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังกล่าวว่า ในแต่ละเดือน ตนจะให้เงิน พ.ต.ท.คริษฐ์ รองผกก.สส.สภ.สำโรงเหนือ ซึ่งทำงานอยู่กับตนมานานเหมือนเป็นเลขา นำไปเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆรวมถึงค่ารักษาพยาบาลแม่ของตน จำนวน 2.8 ล้านบาท สำหรับทั้งปี ไม่ใช่แค่เดือนเดียว ส่วนจะนำเงินตนไปหมุนจ่าย เอาไปเข้าเส้นทางการเงินที่เชื่อมโยงกับมินนี่ได้อย่างไร ตนไม่ทราบ ถ้าตนรับเงินจากเว็บพนันออนไลน์ ก็ต้องมีเส้นเงินตรงเข้ามาที่ตนเลย ซึ่งเรื่องนี้ตนก็รอที่จะสอบถามกับพ.ต.ท.คริษฐ์ ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการยื่นขอประกันตัว
*เปิดข้อมูลใครจ่ายค่าส่วนกลาง
เมื่อไล่ย้อนข้อมูลการจ่ายเงินค่าส่วนกลางของหมู่บ้านของบ้านทั้ง 5 หลัง ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2566 ถึงเดือนมิถุนายน 2567 โดย “เฮียแต๋ม” เป็นคนโอนเงินเข้ามาจ่ายให้ โดยบ้านพักหลังที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พักอาศัยอยู่จ่ายค่าส่วนกลางเป็นเงินรวม 62,000 บาท ส่วนหลังอื่นหลังละ 26,000 – 27,000 บาท รวมค่าส่วนกลางทั้ง 5 หลัง เป็นเงินกว่า 142,000 บาท
ส่วนการขอใช้ไฟฟ้าของบ้านทั้ง 5 หลัง พบว่าเป็นชื่อของ “เฮียแต๋ม” เป็นผู้ขอใช้ไฟฟ้าทั้งหมด
*แจงเหตุไม่ใส่ชื่อในหมายค้น
ขณะเดียวกัน พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวภายหลังมีข่าวว่าพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมทนาย ยื่นฟ้องต่อศาลอาญา เพื่อเอาผิดตำรวจชุดตรวจค้นบ้านพักย่านวิภาวดี 60 ว่าเป็นการค้นโดยมิชอบ โดยพลตำรวจโทไตรรงค์ยืนยันว่าการตรวจค้นเป็นไปตามหลักกฎหมาย ตั้งแต่การขอหมายค้นและหมายจับจากศาล มีการระบุตัวตนของบุคคลตามหมายจับ รวมถึงอาชีพ ที่ไม่ได้มีการปิดบังว่าเป็นตำรวจในการแถลงต่อศาล อีกกฎหมายก็ไม่ได้กำหนดไว้ว่าจะต้องระบุยศ สามารถใช้คำนำหน้านายได้ และมีหลายครั้งที่การออกหมายจับตำรวจบางคดี ต้องให้เกียรติกัน จึงปกปิดยศทางราชการ
แต่ก็ยืนยันว่ามีเหตุให้เข้าค้นบ้านพัก เพราะพันตำรวจตรีชานนท์ อ่วมทร ผู้ต้องหาที่ออกหมายจับเป็นคนที่เข้าออกภายในบ้านทั้ง 5 หลังนี้ มีชื่อผู้ต้องหาลงทะเบียนรับส่งพัสดุเป็นประจำ และมีการชำระค่าสาธารณูปโภคซึ่งเป็นเงินจากบัญชีม้า โดยไม่ทราบว่าพันตำรวจตรีชานนท์เป็นนายตำรวจติดตามของพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ และไม่ทราบมาก่อนว่าพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์จะพักอาศัยอยู่ที่บ้านพักที่ตรวจค้น เพราะหมู่บ้านดังกล่าวมีการรักษาความปลอดภัยแบบระบบปิด ตำรวจจึงไม่ทราบว่ามีใครพักอยู่ภายในบ้านพักบ้าง
ส่วนกรณีที่ตำรวจศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ PCT ได้สืบสวนและออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 23 คน ตรวจค้น 30 จุดนั้น มีกำลังไม่เพียงพอจึงต้องขอกำลังสนับสนุนจากตำรวจที่ทำงานและพร้อมส่งต่อข้อมูลกันได้ โดยเฉพาะกองบัญชาการตำรวจนครบาล กองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ บช.สอท. และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่มีตำรวจ ปปป. เข้าร่วมด้วย เนื่องจากผู้ต้องหาเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ส่วนการที่ใช้กำลังตำรวจพร้อมอาวุธครบมือเข้าปฏิบัติงาน เป็นผลจากการประเมินความเสี่ยง เพราะผู้ต้องหาบางคนมีประวัติคดีอาชญากรรมและคดียาเสพติด และผู้ต้องหาส่วนหนึ่งเป็นตำรวจ จึงเชื่อว่ามีอาวุธไว้ป้องกันตัว ชุดจับกุมจึงต้องเตรียมพร้อมในการปฏิบัติการ ไม่ได้มีนัยอื่นแอบแฝง
ส่วนตำรวจทั้ง 8 นายที่ถูกจับ จะให้ออกจากราชการไว้ก่อนหรือไม่นั้น ขอให้เป็นการพิจารณาของผู้บังคับบัญชา แต่ต้นสังกัดของตำรวจแต่ละนายทราบเรื่องแล้ว และอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งตำรวจทั้ง 8 นายยังคงให้การปฏิเสธ และไม่ขอให้การในชั้นพนักงานสอบสวน
ส่วนการขยายผลของผู้ต้องหาในเครือข่ายนี้ เตรียมพิจารณาดำเนินคดีและออกหมายเรียกมาให้ข้อมูลในพยานกับผู้เกี่ยวข้องอีกจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มผู้รับผลประโยชน์และกลุ่มที่มีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงกับบัญชีม้า 2 บัญชี เงินหมุนเวียน 260 ล้านบาท พร้อมยืนยันตามข่าวที่ออกมาว่าในกลุ่มองค์กรสื่อมวลชนและบุคคลร่วมอยู่ในกลุ่มรับผลประโยชน์ด้วย แต่ยังไม่ขอเปิดเผยจำนวน ดังนั้นจึงขอประชาสัมพันธ์ไปยังบุคคลที่รู้ว่าตนเองมีธุรกรรมการเงินเกี่ยวข้องกับบัญชีม้าเหล่านี้ ให้มาแสดงตัวเข้าให้ปากคำกับตำรวจ
ส่วนกรณี “เฮียแต๋ม” นักธุรกิจขนส่งรายใหญ่ในจังหวัดอุดรธานีและภรรยา ที่มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านที่เข้าตรวจค้นทั้ง 5 หลัง และเป็นผู้จ่ายค่าส่วนกลางปีที่ผ่านมา เป็นเงิน 142,000 บาท และเป็นผู้ขอใช้ไฟฟ้าให้กับบ้านทั้ง 5 หลัง หลังพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ยอมรับว่าเช่าบ้านเฮียแต๋มอยู่ เดือนละ 50,000 บาท โดยอ้างว่าเป็นญาติกัน พลตำรวจโทไตรรงค์กล่าวว่าเพิ่งทราบเรื่องจากสื่อมวลชน แต่เมื่อวานนี้พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ให้สัมภาษณ์ว่าเป็นบ้านญาติ ไม่ได้มีการเช่า หลังจากนี้ก็จะต้องตรวจสอบว่าเฮียแต๋มมีความสัมพันธ์เครือญาติด้านไหนของพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หากมีการเช่าจริงก็ต้องมีสัญญาตามกฎหมาย โดยจะต้องเรียกเฮียแต๋มมาให้ปากคำเร็วๆ นี้
ส่วนเส้นทางการเงินจะเชื่อมโยงไปถึงนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่หรือไม่นั้น ยังไม่ขอเปิดเผย เพราะอยู่ในสำนวน แต่ยืนยันว่าการที่ใต้บังคับบัญชากระทำผิด ไม่ได้เป็นเหตุให้ต้องออกหมายเรียกผู้บังคับบัญชาของบุคคลนั้นมาสอบปากคำ แต่จะต้องมีพยานหลักฐานส่วนอื่นประกอบด้วย
นอกจากนี้พลตำรวจโทไตรรงค์ ยังเปิดเผยว่าในแนวทางการสืบสวน ผู้ต้องหา 4 กลุ่มที่จับกุมได้นั้น ในกลุ่มผู้บริหารจัดการเว็บไซต์นั้น ประกอบด้วยตำรวจ 1 คน และพลเรือน 2 คน ส่วนผู้ต้องหาอีก 1 คน ที่เป็นทหารนั้น เป็นพลทหารประจำการเกี่ยวข้องในส่วนของกลุ่มฟอกเงินและบัญชีม้า ขณะที่ภาพรวมการยึดทรัพย์สินของกลางยึดได้ อาทิ รถยนต์หรู เครื่องเพชร ทองคำ พระเครื่อง รวมมูลค่ากว่า 143 ล้านแล้ว
ทั้งนี้พลตำรวจโทไตรรงค์ยืนยันว่าคดีนี้ไม่ได้ทำตามกระแส หรือเป็นผลจากการเมือง แต่สืบสวนมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน พบพยานหลักฐานสำคัญ จนสามารถขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติมได้ถึง 23 หมายจับ จึงต้องรีบดำเนินการ มิฉะนั้นหากปล่อยไว้ผู้ต้องหาอาจเคลื่อนย้ายทรัพย์สินหรือหลักฐานสำคัญจนเสียรูปคดี โดยเฉพาะกลุ่มบัญชีม้าและกลุ่มผู้รับผลประโยชน์ โดยเฉพาะความผิดที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน ที่ตามกฎหมายต้องยึดอายัดทรัพย์สินไว้ตรวจสอบ หากพบว่าเป็นทรัพย์ที่ได้จากการกระทำความผิด ทรัพย์ดังกล่าวก็ต้องตกเป็นของแผ่นดิน พร้อมขอความเป็นธรรมให้กับชุดจับกุม ไม่ได้ทำงานเพื่อกลั่นแกล้งใคร