"พิธา" ยันขับ "ปดิพัทธ์" ออกจาก "ก้าวไกล"ไม่ใช่เป็นการกั๊ก เอารวบ2ตำแหน่งในสภา ชี้เมื่อต่างฝ่ายมีจุดประสงค์ต่างกันก็ต้องแยกกันเดิน ลั่นไม่ใช่ "นิติกรรมอำพราง"
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล และสมาชิกพรรคฯเขตวัฒนา เดินทางมาร่วมประชุมสมาชิกเขตวัฒนา เพื่อเลือกตัวแทนประจำเขตและและพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อเสนอแนะในพื้นที่
จากนั้นนายพิธา ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติรักแผ่นดิน เตรียมยื่นป.ป.ช. ตรวจสอบกรณีพรรคก้าวไกลมีมติขับนายปดิพัทธ์ สันติภาดา ออกจากพรรคเพื่อต้องการรักษาตำแหน่ง รองประธานสภาคนที่ 1 ซึ่งอาจเข้าข่ายฉ้อฉลหรือนิติกรรมอำพรางหรือไม่ว่า เรื่องนี้ส่วนตัวยังไม่ได้พูดคุยกับนายปดิพัทธ์ แต่คิดว่าไม่น่าเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจอะไร ซึ่งความจำเป็นก็เป็นไปตามที่พรรคก้าวไกลได้มีแถลงการณ์ออกไปแล้ว เพราะพวกเราต้องการทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านอย่างเต็มที่ และต้องการที่จะมีผู้นำฝ่ายค้าน แต่ขณะเดียวกันนายปดิพัทธ์ก็มีความต้องการที่จะทำรัฐสภาให้โปร่งใส และเมื่อเป็นอย่างนั้นก็คงต้องแยกกันเดินในช่วงนี้ เพื่อให้ต่างคนต่างบรรลุเป้าหมายให้ได้ แต่ในที่สุดก็คือการคิดถึงการทำงานของรัฐสภา รวมถึงสส.ของพรรคการเมืองเป็นหลัก
ส่วนที่มีการใช้คำว่า "นิติกรรมอำพราง" นั้น ข้อกล่าวหาดังกล่าวถือว่ารุนแรงไปหรือไม่ ทั้งที่ผ่านมาบางพรรคก็ได้ทำเช่นกัน นายพิธา บอกว่าเรื่องนี้ตนคิดว่าเป็นสิทธิ์ที่จะวิจารณ์อะไรก็ได้ ก็น้อมรับไว้ แต่ขณะเดียวกันยืนยันตรงไปตรงมาพร้อมทั้งมีการอธิบายเป็นขั้นเป็นตอนไปแล้ว ว่าพรรคก้าวไกลต้องการที่จะเป็นฝ่ายค้าน ขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญก็ไม่อนุญาตให้มีรองประธานอยู่ในพรรคที่มีผู้นำฝ่ายค้าน
ส่วนนายปดิพัทธ์ก็ตัดสินใจอยากจะทำภารกิจ เรื่องรัฐสภาให้มีความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพต่อ จึงมีความจำเป็นที่พรรคก้าวไกลต้องขับนายปดิพัทธ์ออก และนายปดิพัทธ์ก็ต้องหาพรรคการเมืองใหม่ ซึ่งมันก็ตรงไปตรงมาแค่นี้ไม่ได้มีอะไรอำพรางแม้แต่เล็กน้อย
เมื่อถามว่าหากมีหน่วยงานเรียกไปชี้แจงทางพรรคก็พร้อมหรือไม่ นายพิธาระบุว่า แน่นอนและทางพรรคก็ได้ชี้แจงไปแล้ว และเท่าที่ทราบนายปดิพัทธ์ก็ได้แถลงข่าวที่รัฐสภาไปแล้ว ตนคิดว่าก็ชัดเจนทั้งสองฝ่าย
ส่วนที่บางพรรคการเมืองวิจารณ์ว่าพรรคก้าวไกลกำลังถอยหลังลงคลอง เนื่องจากบอกว่าจะเล่นการเมืองใหม่แต่กลับไปเล่นการเมืองแบบเก่า นายพิธากล่าวว่า ตนคิดว่ามันไม่ได้เป็นการเมืองเก่าหรือใหม่ แต่ว่าตั้งใจเดินหน้าตามเป้าหมายตามที่รัฐธรรมนูญบังคับไว้ ว่าเป็นไปในลักษณะแบบไหน เราต้องการเป็นฝ่ายค้านเชิงรุกอย่างที่เคยพูดไว้ ส่วนนายปดิพัทธ์ก็มีความต้องการอยากจะเป็นรองประธานสภา ที่ต้องการทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในรัฐสภา และให้มีประชาชนส่วนร่วมมากขึ้น
เมื่อถามต่อว่านายปดิพัทธ์ได้แจ้งหรือไม่ว่ามีความประสงค์จะย้ายไปอยู่พรรคการเมืองไหนต่อ หรืออาจจะเป็นพรรคสำรองของพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายพิธา ระบุว่ายังไม่ได้มีการพูดคุยกันในเรื่อง
ผู้สื่อข่าวถามว่าไม่ใช่เป็นการกั๊กทั้งตำแหน่งรองประธานสภาคนที่ 1 และตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านไว้ใช่หรือไม่ นายพิธายืนยันไม่ใช่เป็นการกั๊ก เพราะถ้าเป็นการกั๊กก็ต้องเป็นในลักษณะที่ว่า ทำให้มันพร้อมกัน แต่เรื่องนี้เป็นเหตุผลของพรรคก้าวไกลและส่วนตัวของนายปดิพัทธ์ ซึ่งแยกออกจากกัน พร้อมย้ำว่าเรื่องขับออกจากพรรคไม่ใช่วิธีการที่ง่ายเกินไปเพราะเป็นไปตามกระบวนการ เมื่อพรรคตัดสินใจเช่นนี้ จึงไม่สามารถให้นายปดิพัทธ์ตัดสินใจเป็นอย่างอื่นได้ แต่เมื่อนายปดิพัทธ์ตัดสินใจเป็นอย่างอื่นก็ต้องออก ย้ำว่าเป็นกระบวนการที่ตรงไปตรงมาเท่านั้น
ส่วนในอนาคตหากนายปดิพัทธ์มีความประสงค์จะกลับพรรคก้าวไกลก็พร้อมที่จะรับหรือไม่ นายพิธา ตอบว่ายังไม่เคยคิดถึงตรงนั้นแต่ตอนนี้ขอทำหน้าที่ฝ่ายค้านให้เต็มที่ และส่วนตัวก็ยังคงหยุดปฏิบัติหน้าที่อยู่ จึงต้องทำหน้าที่นอกสภาอย่างเต็มที่