นายกฯ สวมสูทผ้าขาวม้าสีจี๊ด ควง อุ๊งอิ๊ง​ นำประชุม​ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ นัดแรก​ แพทองธาร รับตื่นเต้นหลังไม่ได้เข้าทำเนียบในรอบ​ 17 ปี​ พร้อมกางแผนกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวม หวัง​ 20 ล้านครอบครัวให้มีชีวิตที่ดีขึ้น​ สู่ประเทศที่มีรายได้สูง

วันที่ 3 ตุลาคม 2566 มีรายงานว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2566 ณ ตึกสันติไมเพื่อ​ โดยมีนางสาวแพ​ทองธาร​ ชินวัตร​ รองประธาน เดินคู่ลงมาจากตึกไทยคู่ฟ้าเพื่อมายังตึกสันติไมตรี และการร่วมประชุมครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีสวมสูทลายผ้าขาวม้า สีแดงสดใส ซึ่งออกแบบโดยดีไซเนอร์ชาวไทย​ เรียกเสียงฮือฮาจากสื่อมวลชน

เมื่อถามว่าตัดเย็บที่เป็นผ้าได้รับจากประชาชน ขณะลงพื้นที่หาเสียงหรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี​ ตอบติดตลกว่า​ "ไม่ใช่ เพราะผืนใหญ่ไม่พอ" ก่อนจะหัวเราะตบท้าย พร้อมบอกว่าตนชอบสีสดใสอยู่แล้ว ตนเลือกสีเอง ขณะที่คนตัดก็ตัดได้อย่างดีเป็นดีไซเนอร์ที่เก่ง

ขณะ นางสาวแพทองธาร ก็ได้นำเอาผ้าขาวม้ามาผูกที่เอว เช่นเดียวกับคณะทำงานและรัฐมนตรีที่เข้าร่วมประชุมวันนี้ โดยผู้สื่อข่าวสอบถามว่าทำไมนางสาวแพทองธารจึงไม้ใส่เสื้อสีสันเหมือนนายกรัฐมนตรี​ นางสาวแพทองธาร​ กล่าวว่า​ "มีผ้าขาวม้าไง​ เอาผ้าขาวม้าไปก่อน​ ก่อนที่จะถามกลับว่า เหมือนไม่เข้าใช่ไหม"

เมื่อถามต่อว่าไม่ได้เข้าทำเนียบ​รัฐบาล​ในรอบกี่ปี​ นางสาวแพทองธาร​ กล่าวว่า​ ตนตื่นเต้นเพราะไม่ได้เข้าทำเนียบมาเป็น 17 ปีแล้ว จากนั้นนายกรัฐมนตรี​ และนางสาวแพทองธาร​ ได้เดินเข้าตึกสันติไมตรีเพื่อร่วมประชุม

โดยนายกฯ กล่าวว่า​ ตนขอบคุณสำหรับรอยยิ้มการต้อนรับที่อบอุ่น ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลามาหากันมาประชุมครั้งนี้ เป็นความร่วมกันระหว่างส่วนราชการภาคเอกชน​ และผู้ทรงคุณวุฒิ​ เพื่อพิจารณาและการขับเคลื่อนซอฟท์พาวเวอร์​ของประเทศไทยอย่างบูรณาการ รัฐบาลปัจจุบันมีนโยบายให้ความสำคัญกับการส่งเสริมซอฟท์พาวเวอร์​องประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง คนเขายังไม่อยากต่อเนื่องเพราะเห็นว่าเป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้า และบริการพร้อมกับเครื่องคิดความขยันมากในการแข่งขันของประเทศ และส่งเสริมภาพลักษณ์และเชื่อมั่นประเทศไทยในเวทีโลก

ปัจจุบันมีคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการผลักดัน ซอฟท์พาวเวอร์ของไทยหลายครั้ง นโยบายส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยหลายคณะ มีความคาบเกี่ยวโดยต้องมีการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีประสิทธิภาพและเป็นระบบมากขึ้น รัฐบาลจึงไม่มีการจัดตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟเวอร์แห่งชาติ​ มีเป้าหมายผ่านคอนเทนต์​ 11 อุตสาหกรรม​ซอฟท์พาวเวอร์

ด้านนางสาวแพทองธาร​ ระบุว่า​ เสนอแผนยุทธศาสตร์ซอฟท์พาวแห่งชาติ มุ่งหมายสร้างระบบนิเวศให้กับอุตสาหกรรมของประเทศไทยจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยแรงงานทักษะสูง และอุตสาหกรรมซอฟท์พาวเวอร์ในสาขาต่าง ๆ และการฑูตเชิงวัฒนธรรม​เพื่อพัฒนาศักยภาพของวัฒนธรรมและคนไทย​ ซึ่งหากได้รับการสนับสนุนที่เต็มที่จากไปได้ไกลอย่างแน่นอน ซึ่งนโยบายนี้และนโยบายอื่นของเราจะต้องทำควบคู่ไปด้วยกัน โดยจะมุ่งยกระดับคุณภาพยกระดับทักษะของคนไทยจำนวน 20 ล้านคน ที่เป็นแรงงานในปัจจุบันให้เป็นแรงงานที่มีทักษะสูง และเป็นแรงงานสร้างสรรค์ โดยจากการคัดสรรหาสามารถดำเนินการนโยบายได้สำเร็จจะมีรายได้เข้าประเทศ 4 ล้านล้านบาทต่อปี นอกจากนี้จะได้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและเป็นหนึ่งในผู้นำของประเทศของโลกในเรื่องซอฟท์พาวเวอร์​ เพื่อที่จะให้การดำเนินการของนโยบายนี้บรรลุวัตถุประสงค์

โดยแบ่งการทำงานเป็น 3 ขั้นตอน คือขั้นตอนการพัฒนาคน เฟ้นหาบุคคลเพื่อม่พัฒนาเป็นแรงแรงฝีมือ​ พัฒนาแรงงานอุตสาหกรรมซัพพลายเออร์ต่าง ๆ ในประเทศ 11 สาขาประกอบด้วยอาหารกีฬา Festival ท่องเที่ยว​ ดนตรี​ หนังสือ​ ภาพยนตร์​ เกม​ ศิลปะ​ การออกแบบ​และแฟชั่น​ โดยจะมีการปรับแก้ข้อกฎหมายที่มีอยู่มานานแต่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับอุตสาหกรรมต่าง ๆ สนับสนุนเงินทุนวิจัยและพัฒนาสร้างแรงจูงใจทางภาษี​ พร้อมกับเพิ่มพื้นที่การแสดงผลงานอย่างไร้ขีดจำกัด นอกจากนี้ยังสร้างพื้นฐานชุมชนจัดตั้งศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ หรือ tcdc ในทุกจังหวัด ให้มี Co working Space ต่อยอดเป็นซอฟท์พาวเวอร์ ที่มั่นคงในระดับภูมิภาค​ และให้เป็นซอฟท์พาวเวอร์​ระดับสากล

โดยเป้าหมายระยะสั้น 100 วันแรกภายในวันที่ 11 มกราคม 2567 กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองจะพร้อมให้ประชาชนลงทะเบียน ความสนใจในด้านต่าง ๆ​ เปลี่ยนแปลงกฎหมายต่าง ๆ ในระดับการสูงและพระราชกฤษฎีกา ส่งเสริมสอดคล้องกับนโยบายรวมไปถึงร่วมจัด Winter Festival ให้กรุงเทพฯ ครั้งยิ่งใหญ่

ภายในเวลา 6 เดือน 3 เมษายน​ 2567 จะเริ่มกระบวนการบ่มเพาะศักยภาพ ทักษะสร้างสรรค์ พร้อมเสนอพระราชบัญญัติ THACCA หรือ Thailand creative Content Agency สู่สภาผู้แทนราษฎรและจัดงานสงกรานต์ทั้งประเทศ ให้เป็นเทศกาลระดับโลกหรือ World Water Festival

ภายในระยะเวลา 1 ปี 3 ตุลาคม 2561 กระบวนการบ่มเพาะศักยภาพควรจะสามารถสร้างรายงานทักษะสูงและแรงงานสร้างสรรค์ได้เป็นจำนวนอย่างน้อย 1 ล้านคน โดยคาดหมายว่าพระราชบัญญัติ THACCA จะได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรและเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาต่อไป

โดยในช่วงท้ายนางสาวแพทองธาร​ ระบุว่า เชื่อได้ว่าประเทศไทยจะมีชื่อเสียงกว้างไกลไปถึงระดับโลกความสำเร็จนี้จะเป็นสัดส่วนกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศกระตุ้น 20 ล้านครอบครัวให้มีชีวิตที่ดีขึ้นและทำให้ประเทศของเรากลายเป็นประเทศที่มีรายได้สูง