*คุมสอบเยาวชน14ปี
ตลอดทั้งคืนจนถึงช่วงเช้าวันนี้ (4ต.ค.66) เยาวชนอายุ 14 ปี ผู้ก่อเหตุสลดห้างดัง ยังคงถูกควบคุมอยู่ภายในห้องรับรอง สน.ปทุมวัน โดย พล.ต.ต.นครินทร์ สุคนธวิท ผบก.น.6 เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่ได้เริ่มกระบวนการสอบปากคำ เพราะผู้ก่อเหตุ ยังไม่พร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการ เนื่องจากสภาพจิตใจยังไม่พร้อม

โดยในวันนี้จะรวบรวมเอกสารทำบันทึกจับกุม และนำตัวส่งศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง เพื่อทำการไต่สวน และขอให้นำไปเข้าสู่กระบวนการรักษา ให้อาการดีขึ้นก่อน จึงจะเริ่มทำการสอบปากคำร่วมกับสหวิชาชีพ และแพทย์อีกครั้ง

และในวันนี้ ทางตำรวจ จะมีการเรียกพยานในที่เกิดเหตุเข้ามาสอบปากคำ รวมถึงญาติของคนเสียชีวิตและคนเจ็บเพิ่มเติมด้วย

*ส่งเยาวชนวัย14ปีฝากขัง
โดยช่วงเช้าวันนี้ ตำรวจได้ส่งเยาวชน อายุ 14 ปี ไปที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางแล้ว เพื่อฝากขัง พร้อมแนบความเห็นจิตแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ ไปในใบคำร้องฝากขังว่า ควรนำตัวเยาวชน อายุ 14 ปี ไปสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ เพื่อทำการตรวจและบำบัดรักษา ซึ่งจะให้จิตแพทย์ประเมินอีกว่า เด็กสามารถสู้คดีได้หรือไม่ และถ้าหากเด็กสามารถสู้คดีได้ ก็จะเอาเข้าสำนวนการสอบสวน

ขณะที่เรื่องประวัติการรักษาอาการป่วยของเด็ก อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเรื่องประวัติการรักษาถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคล

*แจ้ง5ข้อหาหนัก
ทั้งนี้ เยาวชนอายุ 14 ปี ถูกดำเนินคดี 5 ข้อหา ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน , พยายามฆ่าผู้อื่น , มีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต , พาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต , ยิงปืนในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต

*ยังไม่พร้อมให้การ
พลตำรวจตรีนครินทร์ สุคนธวิท ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 จากการสอบปากคำเด็กในเบื้องต้น โดยเฉพาะเมื่อช่วงค่ำวานนี้ (3ต.ค.66) ในช่วงสอบปากคำ เนื่องจากผู้ก่อเหตุเป็นเยาวชน ก็จะต้องมีวิธีการในการสอบสวน ซึ่งมีผู้ร่วมสอบสวน ทั้งนักจิตวิทยา อัยการ และผู้ที่ได้รับความไว้วางใจบางส่วน เข้ามาสอบปากคำด้วย พร้อมทั้งก็ได้เอาจิตแพทย์ ของ รพ.ตำรวจมาสอบถามในเบื้องต้น และประเมินสถานการณ์แล้ว โดยจากคำพูดของเด็ก ก็ยังให้การวกไปวนมา ไม่เหมือนคนปกติ เชื่อว่ามีอาการทางจิต จึงได้ส่งไปให้ทางทีมจิตแพทย์ รพ.ตำรวจ เพื่อให้แพทย์ยืนยัน เบื้องต้นก็ได้ประเมินว่า เด็กยังไม่พร้อมที่จะต่อสู้คดี การสอบปากคำจึงต้องชะลอไว้ก่อน

เมื่อถามย้ำว่าเด็กที่ก่อเหตุ รู้ตัวว่าก่อเหตุหรือไม่ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 ตอบว่า ก็ทราบบ้าง ก็หลุดๆ ไม่ใช่คนปกติ ส่วนมูลเหตุหรือชนวนเหตุจูงใจ ก็เพราะไม่ปกติ

ขณะที่เรื่องประวัติการรักษาอาการป่วยของเด็ก อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเรื่องประวัติการรักษาถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคล

เมื่อถามถึงความชัดเจนเรื่องของอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุ และที่ตรวจค้นได้ที่บ้านย่านฝั่งธนบุรีนั้น จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า เป็นปืน blank gun แล้วนำมาดัดแปลงเอง แต่จะดัดแปลงด้วยตัวเองหรือไม่ เป็นปืนที่ยิงแล้วมีแต่เสียง ซึ่งในกระบวนการดัดแปลงที่เอามาใช้ได้ แต่เมื่อถามย้ำว่า เป็นปืนที่เทียบเคียงกับเกมเลยหรือไม่ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 ไม่ได้ตอบ

*ขยายผลการจับกุม
หลังเกิดเหตุ ตำรวจเข้าตรวจค้นห้องพัก ของเยาวชนอายุ 14 ปี และพบอาวุธปืน , เครื่องกระสุนปืนจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบพบข้อมูลว่า มีภาพที่ตำรวจพบเสื้อและกระเป๋า ในห้องน้ำ ในห้างดัง เบื้องต้นเชื่อว่า ไม่น่าจะเป็นการเข้าไปเปลี่ยนชุด เนื่องจากชุดที่ผู้ก่อเหตุเข้ามาในห้่งและก่อเหตุเป็นชุดเดียวกัน

*นายตำรวจเปิดใจใช้ยุทธวิธีระงับเหตุ
ทีมข่าวช่อง8 ได้สอบถามกับ ร.ต.อ.ธัญอมร หนูนารถ รอง สวป.สน.ปทุมวัน หัวหน้าชุดระงับเหตุเยาวชนอายุ 14 ปี เปิดเผยว่า ปฏิบัติการดังกล่าวใช้ยุทธวิธี
Active Shooter ซึ่งต้องหยุดการฆ่าของคนร้ายให้เร็วที่สุด , โดยต้องแบ่งหน้าที่ชัดเจน ใครคอนแทร็ก คัฟเวอร์ เคลียร์ , และใช้หลักการหนี ซ่อน สู้ ซึ่งในยุทธวิธีนั้น จะมีการแบ่งหน้าที่โดยชัดเจน และในวันนี้สิ่งที่ทำให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีคือ ลูกน้องที่เข้ามาช่วยตนอีกสองคนที่ฟังคำสั่งและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดจึงทำให้ประสบผลสำเร็จในการจับกุมผู้คนร้าย

จากนั้นตนเองจึงประเมินสถานการณ์ว่า ผู้ก่อเหตุกำลังวัดใจ จึงแสดงอาวุธให้เห็นว่าตำรวจมีอาวุธปืนยาว ซึ่งเป็นอาวุธที่เหนือกว่า เป็นจิตวิทยาให้ผู้ก่อเหตุรู้ว่า ถึงสู้ไปก็สู้ไม่ได้ สุดท้ายฝ่ายผู้ก่อเหตุจึงยอมวางอาวุธปืน และมอบตัวกับตำรวจ

โดยขณะที่เจ้าหน้าที่เข้าจับกุมและแจ้งรายละเอียดว่าการกระทำความผิดจะถูกแจ้งข้อหาอะไรบ้าง และแจ้งสิทธิ์ของผู้ต้องหาตามขั้นตอนทางกฎหมาย โดยขณะนั้นผู้ก่อเหตุมีท่าทีนิ่ง ไม่ตอบโต้อะไร แต่ดูมีสติดี จากนั้นผู้บังคับบัญชาจึงมาสอบปากคำต่อ

*มอบรางวัลให้กำลังใจตำรวจชุดจับกุม
ขณะเดียวกัน พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. มอบรางวัลเป็นขวัญและกำลังใจให้กับชุดจับกุม ส.ต.ท.กร ศรีพรหม หรือ "หมู่ก่อ" , ส.ต.ท.นันทนัช สุธรรม หรือ "หมู่คิว" , ส.ต.ท.เจษฎากร ประทุมทอง หรือ "หมู่ฟลุ๊ค" , และ ส.ต.ต.วรพล เครือพันธุ์ หรือ "หมู่ก้อง"

*ชุดจับกุมเผยนาทีเข้าระงับเหตุ
นอกจากนี้ ร.ต.อ.ธัญอมร เปิดเผยว่า ตอนที่ไปถึง พบว่า เด็กชายวัย 14 ปี กำลังคุยโทรศัพท์กับตำรวจชุดไกล่เกลี่ยอีกชุด ที่พยายามเจรจาเกลี้ยกล่อมให้มอบตัว แต่เด็กตอบว่า “เห็นคนถืออาวุธปืนเยอะมาก ต้องสู้ ถ้าสู้ไม่ได้ก็จะฆ่าตัวตาย”

ร.ต.อ.ธัญอมร เล่าต่อว่า จากนั้นตนเองจึงประเมินสถานการณ์ว่า ผู้ก่อเหตุกำลังวัดใจ จึงแสดงอาวุธให้เห็นว่าตำรวจมีอาวุธปืนยาว ซึ่งเป็นอาวุธที่เหนือกว่า เป็นจิตวิทยาให้ผู้ก่อเหตุรู้ว่า ถึงสู้ไปก็สู้ไม่ได้ สุดท้ายฝ่ายผู้ก่อเหตุจึงยอมวางอาวุธปืน และมอบตัวกับตำรวจ

โดยขณะที่เข้าไปจับกุมและแจ้งรายละเอียดว่าการกระทำความผิดจะถูกแจ้งข้อหาอะไรบ้าง และแจ้งสิทธิ์ของผู้ต้องหาตามขั้นตอนทางกฎหมาย โดยขณะนั้นผู้ก่อเหตุมีท่าทีนิ่ง ไม่ตอบโต้อะไร แต่ดูมีสติดี จากนั้นผู้บังคับบัญชาจึงมาสอบปากคำต่อ

โดย ร.ต.อ.ธัญอมร ตั้งข้ออีกว่า ระหว่างที่เข้าไประงับเหตุ ส่วนตัวเชื่อว่าผู้ก่อเหตุน่าจะมีความชำนาญในการใช้อาวุธปืน เพราะมีอุปกรณ์สำหรับเหน็บปืน และลักษณะการใช้อาวุธดูเหมือนผ่านการฝึกมาก่อน

*เปิดใจตำรวจชุดจับกุม
ขณะเดียวกัน ทีมข่าวช่อง8 ได้พูดคุยกับตำรวจชุดจับกุม โดยส.ต.ท.กร ศรีพรหม หรือ "หมู่ก่อ" เปิดเผยว่า ทีแรกได้รับแจ้งสนับสนุนให้นำกำลังไปที่สยามพารากอน คิดว่าเป็นเหตุนักเรียนตีกัน แต่เมื่อตนและเพื่อนๆอีก 3 นาย ไปถึง จึงรู้ว่าเป็นเหตุการณ์ยิงกันในห้างสรรพสินค้า ยอมรับว่ากลัวเพราะถือเป็นเรื่องใหญ่ ที่ต้องเข้าควบคุมสถานการณ์แบบนี้ ในชีวิตราชการครั้งแรก ต้องขอบคุณผู้บังคับบัญชาตั้งแต่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ,ผบก.น.6 และ ผกก.สน.สำราญราษฎร์ ที่ให้ฝึก ยุทธวิธีทั้ง SOP และ Active Shooter มาตั้งแต่ต้น จนสามารถควบคุมสติอารมณ์ และสามารถปฏิบัติการตามยุทธวิธีที่ฝึกฝนผ่านมาได้

ส.ต.ท.กร บอกอีกว่า หลักการทำงาน หลังจากนี้ตนยึดถือยุทธวิธีเป็นเรื่องสำคัญที่สุด และแบ่งหน้าที่กันทำงานอย่างไร

สำหรับการปฏิบัติงานครั้งนี้ยอมรับว่า ค่อนข้างมีความกลัว แต่ทุกทุกอย่างก็ต้องทำอย่างยุทธวิธีที่ถูกฝึกมา และกังวลอย่างมากว่าการที่เข้าจับกุมได้ 1 คน จะมีคนอื่นอยู่ภายในห้อง หรือจะทำให้เกิดอาการคลุ้มคลั่งแล้วกราดยิงเพิ่มเติมอีกหรือไม่ ดังนั้นก็ต้องมีการปฏิบัติการอย่างละมุนละม่อม และที่สำคัญตอนที่เข้าปฏิบัติงานก็ไม่ทราบว่าเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ทุกอย่างก็ต้องมีการปฏิบัติการตามมาตรฐานที่ถูกฝึก แต่ตอนนั้นที่ตนเองเข้าตะครุบตัวและตรวจยึดอาวุธปืน ทราบว่าตัวของคนร้ายมีการพูดวกไปวนมา สื่อสารไม่รู้เรื่อง แต่หลังจากที่มีการระงับเหตุเสร็จสิ้นแล้ว ก็ได้มีการคุมตัวออกมาให้กับทีมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับช่วงต่อ

*เปิดยุทธวิธี หนี-ซ่อน-สู้
สำหรับกลวิธี "หนี-ซ่อน-สู้" หรือ "Run Hide Fight" เป็นหลักสากลที่ FBI และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในหลาย ๆ ประเทศ นำมาใช้แนะนำประชาชนเอาชีวิตรอดในเหตุ

"หนี" เมื่อหาเส้นทางหลบหนีไปยังพื้นที่ปลอดภัยได้
-เมื่อไปสถานที่ต่าง ๆ ให้จดจำทางเข้า-ออก และทางออกฉุกเฉินให้เป็นนิสัย
-เมื่อเกิดเหตุต้องตั้งสติให้ดี และมองหาเส้นทางหลบหนี
-ทิ้งของทุกอย่างที่ไม่จำเป็น
-ช่วยเหลือคนอื่นเท่าที่สามารถช่วยได้

"ซ่อน" เมื่อไม่สามารถหลบหนีออกจากพื้นที่ได้ ให้หาสถานที่ปลอดภัยซ่อนตัว
-ล็อกประตูและหาสิ่งที่ของมาใช้กีดขวางคนร้ายไม่ให้มาถึงตัว
-ซ่อนให้พ้นสายตาโดยหลบหลังสิ่งของขนาดใหญ่และแข็งแรง เช่น โต๊ะ กำแพง
-ปิดไฟในห้อง และปิดเสียงโทรศัพท์มือถือ
อยู่ให้เงียบที่สุด ไม่พูดคุยหรือใช้เสียง

"สู้" ทางเลือกสุดท้ายเมื่อไม่สามารถหนีหรือซ่อนตัวได้ และคนร้ายกำลังจะเข้าถึงตัว
-ร่วมกันสู้สุดกำลังเพื่อให้มีโอกาสรอด
-ใช้การซุ่มโจมตีโดยไม่ให้คนร้ายรู้ตัว เพื่อหยุดยั้งคนร้าย
-ใช้สิ่งของทุกอย่างที่หาได้มาเป็นอาวุธ
-ใช้ทุกวิธีการที่นึกได้ ในการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด

เปิดใจผู้กองฮีโร่เข้าคุมตัวมือยิงในพารากอน เผยคำพูดก่อนยอมแพ้ ไม่จับอาจตายเพิ่ม