“เอ พศิน” เกือบเป็นหนึ่งในผู้เคราะห์ร้าย จากผู้ก่อเหตุ 14 ปี
เอ พศิน เรืองวุฒิ นักแสดง มีคิวเข้าร่วมงานแสดงข่าวละครของช่องดัง ได้โพสต์ ข้อความว่า “#พารากอน เมื่อวานเวลา 4 โมงเย็น ตั้งใจจะไป เจาะรูเข็มขัดที่น้องสาวซื้อให้ ส่งมาจากออสเตรเลีย ต้องไปร้านแบรนด์เท่านั้นถึงจะมีที่เจาะทรงนี้… และ สแตนด์บายด์ เข้าร่วมงาน เวลา 18.00 น. ที่ชั้นโรงหนัง… ถ้าไปตามเวลา ผมคงอยู่แถวช้อปหลุยส์เวลานั้น… แต่ฝนตกหนัก บรรยากาศชวนง่วงนอน จนขับรถเองไม่น่าไหว เลยเรียกTaxi - Taxi มาช้ากว่าเวลาประเมินเล็กน้อย - รถติดหนักผิดปกติ -น้ำท่วมบางจุด - พอใกล้ถึงพารากอน – เจ้าหน้าที่ช่อง 3 โทรมายกเลิกงานกระทันหัน แจ้งว่ามีเหตุ กราดยิงพารากอน จึงได้วนรถกลับจากโลเคชั่นนั้น
พร้อมแสดงความห่วงใย ทีมงานและ นักแสดงที่ยังอยู่ที่นั่น ใจนึงก็อยากไปช่วย ใจนึงลูกชายรอ (กว่าจะออกจากบ้านลูกชายโบกมือเหมือนเราจะไปไกล เลยกลับดีกว่า…ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัว ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ด้วยครับ ควรปรับโทษ และ พิจารณาช่วงวัย ของ คำว่า เยาวชน ให้เหมาะสม #กฏหมายไทย เดี๋ยวนี้ 12 ปี วัยรุ่น ในบางสังคม ก็มีภาวะทางอารมณ์ เกินวัยแล้ว”
"ชาดา" เดือดจัด ซัดกลับปมดราม่าภาพยกนิ้วโป้ง หน้าพารากอน ลั่นคนเลวมาหาเรื่องคนดีตนไม่สน อย่าเอาเหตุการณ์นิดเดียว มาทำลายสังคมแบบนี้
นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวชี้แจงกรณีเดินทางไปจุดเกิดเหตุห้างสรรพสินค้าพารากอน เมื่อคืนวานนี้ ว่า ช่วงนั้นตนอยู่ใกล้กับจุดเกิดเหตุ จึงเดินทางเข้าไปเพื่อช่วยเหลือประชาชน ที่อยู่ภายในห้าง ซึ่งตอนแรกตนไม่ได้เข้าไปจุดที่ ตำรวจกำลังควบคุมตัวเด็กอายุ 14 เพราะตนมีมารยาทไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับจุดเกิดเหตุที่เจ้าหน้าที่ดำเนินการอยู่ เพียงไปอยู่หน้าประตูเพื่ออำนวยความสะดวกประชาชน แต่เมื่อเจอกับพลตำรวจเอกต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงได้ชวนตนไปพูดคุยกับผู้ก่อเหตุ ซึ่งเป็นเยาวชน แต่เรื่องคดีตนไม่เปิดเผยรายละเอียดการพูดคุย เนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและอยู่ในสำนวนคดี แต่อยากบอกว่าน้องน่าสงสาร ส่วนเรื่องความผิดก็คือความผิด
พร้อมกันนี้นายชาดา ยังได้ชี้แจงภาพถ่ายที่ยกนิ้วโป้ง 2 ข้างขึ้นมา ขณะเดินออกจากห้างสรรพสินค้าพารากอน ว่า ภาพดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ตนเดินออกจากห้าง สื่อมวลชนเรียกและพยายามจะสัมภาษณ์ตน ตนจึงส่งสัญญาณ ไปยังสื่อมวลชนว่าให้ ผบ.ตร. พี่กำลังจะเดินออกมาข้างหลัง เพราะไม่ใช่หน้าที่ตน และปกติก็ใช่คนหิวแสง ที่จะมาทำอะไรที่ไม่ใช่หน้าที่ แต่เนื่องจากสื่ออยู่ไกลจากตนมากจึงยกมือทำสัญลักษณ์ชี้ไปด้านหลังแบบนั้น จากนั้นตนก็เดินทางกลับมาเลย เพราะหมดหน้าที่แล้ว ซึ่งภาพที่ปรากฏออกมา เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เพียงช็อตเดียว
"อย่าแปลผิด ถ้าไม่ให้ผมนิ้วโป้งมือชี้ จะให้ผมเอาอะไรชี้ อย่ามาใช้เหตุการณ์นิดเดียว มาทำลายสังคมแบบนี้ ผมบอกแล้ว หน้าไหนที่พูดเรื่องนี้ ผมไม่สน ผมมีหน้าที่ผมก็ทำ คนทำดีคุณยังมาหาเรื่อง คนเลวมาหาเรื่องคนดีผมไม่สน" ตัดชน "ผมต้องไป ถ้าผมอยู่บริเวณนั้นแล้ว ผมไม่ไป ประชาชนด่าผมไหม อย่าเอาสื่อประเภทนิสัยไม่ดีมาเล่นกับผม อย่ามาชกใต้เข็มขัด ผมทำตามหน้าที่และผมมีมารยาทพอ ผมอดีตนายกเทศมนตรี อยู่กับระบบราชการมาหลายสิบปี รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร และผมไม่ใช่คนที่เป็นแสง มันเป็นเหตุการณ์มันเป็นเหตุการณ์ที่ใครจะไปรู้ ว่าเป็นเด็ก แต่ถ้ามีเหตุอะไรผมอยู่ตรงไหนผมต้องไป เพราะผมอยู่กระทรวงมหาดไทยบำบัดทุกข์บำรุงสุขทั่วประเทศ"
อมรัตน์ โพสต์ติง ชาดา ไม่ใช่กิจรัฐมนตรี โผล่พารากอน คุยเด็ก 14
นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล แกนนำพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าว ระบุว่า ไม่ใช่กิจของ รมช.
1.ให้พนักงานสอบสวนแยกกระทำเป็นส่วนสัดใน สถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเด็ก
2.ให้มีนักจิตวิทยา หรือนักสังคมสงเคราะห์ บุคคลที่เด็กร้องขอ และพนักงานอัยการร่วมอยู่ด้วยในการถามปากคำเด็กนั้น และ
3.สิทธิในการตอบคำถามผ่านนักจิตวิทยาหรือนัก สังคม สงเคราะห์เด็ก
ท่านอ่อง โพสต์แสดงความเสียใจ ตั้งคำถาม ด.ช.วัย 14 เข้าถึงปืนได้อย่างไร
ดร.นายแพทย์ จักรีวัชร วิวัชรวงศ์ หรือ ท่านอ่อง โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กส่วนตัว Chakriwat Vivacharawongse ถึงเหตุการณ์ ด.ช.อายุ 14 ปี ก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงภายในสยามพารากอน จนมีคนเจ็บและเสียชีวิต ระบุว่า ผมเพิ่งจะได้ทราบข่าวที่น่าสลดใจ…เหตุกราดยิงในห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน…ผมขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ครั้งนี้นะครับ ขอให้ผู้บาดเจ็บทุกคนหายเป็นปกติในเร็ววันครับ!…ผมรู้สึกช็อกกับเหตุการณ์นี้นะครับ มีหลายคำถามที่ยังต้องการคำตอบ…เด็กเข้าถึงอาวุธปืนได้ยังไง?
ความเจ็บป่วยทางจิตไม่ควรเป็นข้ออ้างสำหรับพฤติกรรมเช่นนี้นะครับ บางทีพฤติกรรมของผู้ก่อเหตุก็เกิดมาจากความต้องการความเอาใจใส่และความช่วยเหลือ ผมแค่คิดว่าถ้าผู้ปกครอง ครู และเพื่อนๆ ได้สังเกตเห็นสัญญาณความเจ็บป่วย ก็น่าจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดเหตุที่น่าสลดนี้ขึ้นได้นะครับ…
การอยู่ร่วมกันในสังคมเราต้องช่วยกันสอดส่องดูแลซึ่งกันและกันนะครับ บางคนต้องการความช่วยเหลือแต่เขาจะไม่แสดงออกหรือร้องขอมันออกมา….ผมขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวผู้สูญเสียอีกครั้งนะครับ และขอให้ผู้บาดเจ็บหายเป็นปกติไวๆ….และสำหรับพวกเราทุกคนนะครับ เรามาช่วยกันดูว่าเราจะปรับปรุงตรงไหนได้บ้าง ช่วยกันดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุที่น่าสลดแบบนี้ขึ้นอีกนะครับ…. นายแพทย์จักรีวัชร”