จากกรณีมีภาพกล้องวงจรปิดในก่อนที่จะเกิดเหตุ เมื่อวานนี้วันที่ 3 ตุลาคม 2566 เวลาประมาณ 15.15.04 น. ในพื้นที่ย่านสาทร กล้องวงจรปิดสามารถจับภาพ ผู้ก่อเหตุขณะที่กำลังเดินออกจากคอนโด โดยสวมกางเกงขายาว เสื้อแขนยาว พร้อมสะพานกระเป๋าเป้ไว้ที่หลัง
ซึ่งผู้ก่อเหตุได้เดินออกจากคอนโด โดยเดินมุ่งหน้าออกไปทางถนนสาทร ซึ่งอยู่ห่างจากห้างสรรพสินค้าพารากอน ที่เป็นจุดเกิดเหตุประมาณ 3 กิโลเมตร หากเดินเท้าก็จะใช้เวลาประมาณ 50 นาที , หากนั่ง BTS ก็จะใล้เวลาประมาณ 20 นาที , หากนั่งวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างก็จะใช้เวลาประมาณ 15 นาที จึงจะถึงห้างสรรพสินค้าพารากอน
ชาวบ้านเผยเคยเห็นมือยิงวัย 14 ตั้งแต่ 2 ปีก่อน ซัดเมื่อก่อนตัดผมสั้นใส่ชุดนักเรียน แต่พักหลังเริ่มแต่งตัวแปลก ๆ ทำตัวติสท์
วันนี้ทีมข่าวช่อง 8 ได้ภาพวงจรปิดเพิ่มเติม ซึ่งเป็นวินาทีต่อจากเหตุการณ์เมื่อวาน ที่จับภาพได้ขณะที่ผู้ก่อเหตุเดินออกจากที่พัก โดยเมื่อวานนี้ทีมข่าวได้มีการเปิดภาพขณะเวลา 15.15 น. ให้ผู้ชมได้ดู ขณะที่ผู้ก่อเหตุกำลังเดินออกจากคอนโด โดยสวมกางเกงขายาว เสื้อแขนยาว พร้อมสะพายกระเป๋าเป้ไว้ที่หลัง
ซึ่งวงจรปิดที่ได้มาวันนี้ เป็นเวลาประมาณ 15.16.25 น. ของวันที่ 3 ต.ค.66 เป็นภาพขณะที่ผู้ก่อเหตุได้เดินหลบเข้าไปบริเวณอาคาร ซึ่งมีกำแพงกั้นเป็นแนวยาวตลอดทาง ทำให้เห็นเพียงแค่บริเวณศีรษะที่สวมหมวกของผู้ก่อเหตุเท่านั้น โดยผู้ก่อเหตุได้เดินมุ่งหน้าออกไปทางถนนสาทร ซึ่งเป็นทางเดินไปขึ้น BTS เซนต์หลุยส์
จากนั้นทีมข่าวได้พูดคุยกับ นายณชพล อายุ 42 ปี ซึ่งประกอบอาชีพขับรถสามล้อ เล่าว่า ตนนั้นขับรถสามล้อรับจ้างอยู่ในพื้นที่นี้ร่วม 6 ปีแล้ว ซึ่งก็ขอยืนยันว่าตนนั้นเคยเห็นเด็กวัย 14 ผู้ก่อเหตุกราดยิง โดยบอกว่าเด็กคนนี้ได้อาศัยอยู่บริเวณนี้มาประมาณ 2 ปีแล้ว นานณชพลยังบอกอีกว่า เมื่อก่อนเด็กคนนี้ก็เหมือนเด็กปกติทั่วไป ใส่ชุดนักเรียน ตัดผมสั้น และก็เห็นยิ้มแย้มขณะเดินผ่านเส้นทางนี้ แต่มาช่วงหลัง ๆ ก็มองว่าเด็กคนนี้เริ่มเปลี่ยนไป เริ่มใส่เสื้อผ้าแปลก ๆ สวมหมวก ไว้ผมยาว และค่อนข้างทำตัวติสท์ ๆ โดยส่วนใหญ่ที่เคยเจอ เด็กคนนี้ก็จะเดินมากับเพื่อนอีก 1 คน เวลาที่เดินผ่านก็จะเหมือนเดิมในทุกวัน จะเป็นเวลาช่วง 15.00 - 17.00 น. ซึ่งเท่าที่เคยเห็นผ่านตา เด็กคนนี้จะค่อนข้างอารมณ์ร้ายและดูน่ากลัวพิลึก เพราะขณะที่เดินมากับเพื่อน เขาก็จะมีการพูดคุยถกเถียงกัน ซึ่งเด็กที่เป็นผู้ก่อเหตุก็จะแสดงท่าทีที่ค่อนข้างขึงขังอย่างเอาจริงเอาจัง
นอกจากนี้นายณชพลมองว่า การที่เด็กวัย 14 ก่อเหตุกราดยิงจนมีคนเสียชีวิตและบาดเจ็บหลายราย แต่ยังไม่ได้รับโทษเท่าที่ควรจะได้รับ มองว่าสังคมคงจะเริ่มเสื่อม หากใช้ข้ออ้างว่าเป็นเด็ก แล้วจะทำอะไรก็ได้โดยไม่มีความผิด หรือผิดมากสุดก็แค่เข้าบ้านเมตตา อันนี้คงไม่เป็นธรรมกับครอบครัวผู้สูญเสีย และคิดว่าทางพ่อแม่ของเด็กควรจะออกมาแสดงความรับผิดชอบกับครอบครัวผู้สูญเสียได้แล้ว
เพื่อนบ้านเผย เห็นมือยิงแต่งตัวคล้ายชุดทหารออกจากห้องพัก เคยเจอกันอยู่หลายครั้ง แต่ไม่เคยพูดคุย
วันนี้ทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปยังคอนโดแห่งหนึ่งย่านสาทร ซึ่งมีข้อมูลว่าเป็นที่พักอาศัยของมือกราดยิงวัย 14 ทีมข่าวจึงได้ลงพื้นที่และสอบถามลูกบ้านที่พักอาศัยอยู่คอนโดดังกล่าว โดย นางกิ่ง (นามสมมติ) อายุ 42 ปี เล่าว่า เมื่อวานนี้ 3 ต.ค.66 ตนกำลังนั่งดูข่าวจากทีวีกับลูกสาววัย 19 ปี ก็เห็นข่าวที่มีเยาวชนอายุ 14 ปี ใช้อาวุธปืนกราดยิงที่ห้างสรรพสินค้าพารากอน เมื่อเปิดภาพที่แสดงให้เห็นลักษณะของคนก่อเหตุ ทางด้านลูกสาวก็ได้เอ่ยปากออกมาทันมีว่า "เมื่อช่วงตอนเย็นได้เจอกับผู้ก่อเหตุขณะเดินสวนกันภายในคอนโด ซึ่งผู้ก่อเหตุได้สวมชุดเดียวกับที่ปรากฎอยู่ในข่าว" ตนได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ไม่คิดว่าคนร้ายที่เห็นในข่าวจะเป็นคนที่อยู่ภายในคอนโดเดียวกันกับตัวเอง
ทีมข่าวได้สอบถามไปยังผู้ประกอบการร้านอาหารที่อยู่หน้าคอนโด โดยนางหมวย อายุ 38 ปี เล่าว่า เมื่อวานนี้ในช่วงค่ำ มีลูกค้าเข้ามาทานข้าวที่ร้านของตน โดยลูกค้าคนดังกล่าวเล่าว่า เธอนั้นได้อาศัยอยู่ห้องข้าง ๆ กับผู้ก่อเหตุเลย ยืนยันว่าเป็นคนเดียวกัน จำไม่ผิดแน่ แต่เท่าที่เคยเจอ เด็กคนนั้นจะค่อนข้างเก็บตัวอยู่เงียบ ๆ ไม่ค่อยพูดคุยทักทายเท่าไหร่ ทางด้านของนางหมวยก็รู้สึกตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่โดยส่วนตัวตนนั้นยังไม่เคยเห็นเด็กคนดังกล่าวมาทานข้าวที่ร้าน เพราะเด็กที่มาทานข้าวที่ร้านนั้น ตนก็จะจำได้ทุกคนอย่างแน่นอน
จับกุมได้ครบทั้ง 3 รายแล้ว ขายปืน ขายกระสุนโยงเด็ก 14 ปี
เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัว นายสุวรรณหงษ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 44 ปี และ นายอัครวิชญ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 22 ปี สองพ่อลูกที่ขายอาวุธปืนให้ผู้ก่อเหตุ จาก อ.เมือง จ.ยะลา และ นายปิยะบุตร (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี ผู้ขายและส่งกระสุนปืนให้ผู้ก่อเหตุครั้งแรก ตำรวจได้คุมตัวมาสอบปากคำเพิ่มเติม
ด้าน นายสุวรรณหงษ์ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ทราบว่าลูกชายผลิตอาวุธปืนแบลงค์กันไว้ขายตามอินเทอร์เน็ต ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยเตือนลูกชายไปแล้วว่าไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ แต่ลูกชายไม่เคยฟังเลย ตนก็ไม่รู้จะทำยังไง
ส่วนตัวยืนยันว่าไม่ทราบว่าลูกชายขายอาวุธปืนขายให้กับเยาวชนอายุ 14 ปีที่ไปก่อเหตุ แต่เพียงตอนที่รับเงินมาจากคนซื้อ ลูกชายได้ใช้ชื่อบัญชีของตนเท่านั้น ยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และไม่ทราบด้วยว่าคนที่มาซื้อปืนแบลงค์กันจากลูกชายเป็นเยาวชนอายุเพียงแค่ 14 ปี
เปิดภาพวงจรปิดรถขบวนตำรวจมุ่งหน้าไปยังบ้านพักของผู้ต้องหาเพื่อทำการค้นบ้านเป็นครั้งที่สอง
ทีมข่าวช่อง 8 ยังได้ภาพวงจรปิด เพิ่มเติมบ้านพักของสองพ่อลูกผู้ต้องหา โดยวันนี้ช่วงเวลาประมาณ 12.21 น. ตำรวจชุดสืบสวนของภูธรจังหวัดยะลาและสภ. เมืองยะลา สนธิกำลังเข้าตรวจค้นบ้านพักของสองพ่อลูกผู้ต้องหาอีกครั้ง จากภาพวงจรปิดจะเห็นขบวนรถของตำรวจสี่คันเลี้ยวเข้ามาใกล้ซอยบ้านพักของผู้ต้องหา โดยเป็นการตรวจค้นหลังจากคุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองคนออกนอกพื้นที่เพื่อเดินทางไปสอบเข้มที่กรุงเทพ สำหรับขยายผลในคดี
พล.ต.ต.เสกสันต์ ชูรังสฤษฎิ์ ผบก.ภ.จว.ยะลา เปิดเผยว่า สำหรับการเข้าตรวจค้นภายในบ้านพัก ช่วงเที่ยงวันนี้ พบมีอุปกรณ์ลำกล้องปืนที่เป็นโลหะอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตดัดแปลงอาวุธปืนเพิ่ม แต่ยังไม่สามารถระบุจำนวนได้ยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบ
จากการสอบถามผู้ต้องหาทั้ง 2 คน สารภาพว่าร่วมกันผลิตอาวุธปืนดัดแปลงปืนแบลงค์กันเพื่อนำจำหน่ายจริงทำมาแล้วประมาณ 1 ปี โดยนายอัครวิชญ์ อายุ 22 ปี ลูกชาย เป็นคนใช้ชื่อแม่สั่งปืนแบลงค์กันที่ยังไม่ดัดแปลงมาที่บ้านพัก ก่อนนายอัครวิชญ์ จะดัดแปลงปืนด้วยตัวเอง จากนั้นโพสต์ขายในโลกออนไลน์แล้วใช้บัญชีธนาคารของนายสุวรรณหงษ์ ผู้เป็นพ่อเป็นบัญชีรับโอนเงินของลูกค้าที่สั่งซื้อ ตอนนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบเพิ่มเติมว่าแม่ของนายอัครวิชญ์เกี่ยวข้องในคดีด้วยหรือไม่ หรือตัวลูกชายทำกับพ่อเพียงสองคนเท่านั้น
ต่อมาทีมข่าวเดินทางไปยังตู้เอทีเอ็มภายในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งหากจากบ้านพักของผู้ต้องหา 1.2 กิโลเมตร โดยจากข้อมูลของตำรวจพบว่า ตรวจสอบการโอนเงินของเด็กชายอายุ 14 ปี พบโอนเงินมายังบัญชีของนายสุวรรณหงษ์ 16,000 บาท เพื่อซื้อปืนแบลงค์กันดัดแปลง ก่อนที่วานนี้สองพ่อลูกขี่จยย.มากดเงินที่โอนที่ตู้เอทีเอ็มแห่งนี้ แต่จากการสอบปากคำสองพ่อลูกยังไม่สามารถระบุเวลาที่มากดเงินได้แน่ชัด
ขณะที่เราได้เดินทางไปที่เทศบาลนครยะลา เพื่อไปสอบถามเพื่อนร่วมงานของนายสุวรรณหงษ์ ซึ่งนายสุวรรณหงษ์เป็นเจ้าหน้าที่เก็บขยะของเทศบาล บอกเพียงว่า คุ้นหน้าว่าเป็นคนงานของเทศบาลแต่ไม่เคยพูดคุยกัน แต่ตามระเบียบหากคนงานของเทศบาลต้องโทษคดีทางกฎหมายจะต้องถูกให้ออกจากตำแหน่งที่ทำงาน ในส่วนนี้ตนยังไม่ทราบว่าหัวหน้าของนายสุวรรณหงษ์จะมีการดำเนินการอย่างไรต่อ
เจ้าของร้านปืนบีบีกันยะลา เผยเคยมีลูกค้าวัยรุ่นมาติดต่อให้ตนดัดแปลงปืนแบงค์กัน ชี้ปืนแบงค์กันดัดแปลงซื้อง่ายแค่เข้าโลกออนไลน์
ทีมข่าวช่อง 8 ยังได้เดินทางไปที่ร้านจำหน่ายปืนบีบีกันในเทศบาลนครยะลา เพื่อสอบถามว่าสองพ่อลูกผู้ต้องหาเคยมาซื้อปืนที่นี่หรือไม่และวัยรุ่นในพื้นที่เคยมาซื้อปืนแบลงค์กันที่ร้านหรือไม่ โดยพบกับ นายสงวนชัย (นามสมมติ) เจ้าของร้านจำหน่ายปืนบีบีกัน
บอกว่า ร้านของตนจำหน่ายอุปกรณ์เกี่ยวกับปืนและมีปืนชนิดเดียวที่จำหน่ายคือปืนบีบีกันเท่านั้น ไม่มีปืนแบงค์กันจำหน่ายเนื่องจากเลี่ยงการไปดัดแปลงปืนแล้วผิดกฎหมาย จึงไม่นำปืนแบงค์ปืนมาจำหน่ายที่ร้าน
"ปืนบีบีกันนำไปแปลงเป็นอาวุธร้ายแรงได้ยาก เพราะโครงสร้างปืนไม่ได้ออกแบบมารองรับรีคอล์ยกระสุนจริง ส่วนปืนแบลงค์กันทำงานคล้ายกับปืนจริง แต่กระสุนที่ใช้จะเป็นกระสุนแบบไม่มีหัว ทำให้มีแค่เสียง เปลวไฟและควัน วัยรุ่นนิยมใช้เพื่อเอาไว้อวดเพื่อน ซึ่งปืนแบลงค์กันหากปรับเปลี่ยนอุปกรณ์บางอย่างก็ทำให้สามารถนำมายิงเหมือนปืนจริงได้"
ก่อนหน้านี้ก็เคยมีวัยรุ่นในพื้นที่ยะลาอายุประมาณ 11 - 17 ปี มาขอร้องให้ตอนดัดแปลงปืนแบงค์กันให้แต่ตนปฏิเสธไป เพราะผิดกฎหมายและตนไม่ได้เชี่ยวชาญในด้านนี้ ส่วนตัวมองว่าที่วัยรุ่นนำปืนแบงค์กันไปดัดแปลงเพื่อไว้ใช้ยิงกัน เพราะปืนแบงค์กันที่ดัดแปลงไม่ได้มีต้นทุนราคาสูงเหมือนปืนจริง อยู่ในราคาที่เยาวชนสามารถซื้อได้
ซึ่งหากเป็นปืนบีบีกันไม่ดัดแปลง ราคาอยู่ที่ 3,000-4,000 บาท ส่วนปืนแบลงค์กันไม่ดัดแปลงอยู่ที่ราคา 8,000-10,000 บาท แต่หากเป็นแบลงค์กันที่ดัดแปลงแล้วจะอีกราคาขึ้นเป็น 15,000-20,000 บาท ส่วนปืนจริงอยู่ที่ราคา 50,000 ขึ้นไป
บุกรวบ "โอ ยี่เรือ" รับจ้างดัดแปลงแบลงค์กันขาย ยึดของกลาง 48 รายการ รวม 322 ชิ้น
สืบนครบาล รวบนายวีระยุทธ์ "โอ ยี่เรือ" พร้อมตรวจยึดอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน อุปกรณ์ดัดแปลงอาวุธปืนชนิดต่างๆ ให้สามารถยิงกระสุนปืนจริงขนาดต่างๆได้ ตลอดจนหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องกับคดี และยาเสพติดให้โทษประเภทหนึ่ง เมทแอมเฟตามีน (ยาไอซ์) จำนวน 2 ถุง น้ำหนักรวมถุง 6.02 กรัม รวมสิ่งของที่ตรวจยึด จำนวน 48 รายการ 322 ชิ้น
ป้าอดีตเจ้าของบ้าน อึ้งตำรวจบุกบ้านเพียง ยังงงมาทำไม
ทีมข่าวได้ลงพื้นที่ไปติดตามระหว่างการเข้าตรวจค้น โดยระหว่างการค้นมี นางชมนาด มุดกาญจน์ อายุ 70 ปี ซึ่งเป็นอดีตเจ้าของบ้าน เล่าให้ทีมข่าวช่อง 8 ฟังว่า ตนเป็นเจ้าของที่ดินแห่งนี้ โดยตนกับพี่ชายได้สร้างบ้านขึ้นและปล่อยขายไปหมด โดยบ้านที่เข้าตรวจค้นนี้ตนได้ขายไปให้คนอื่นเช่นกัน โดยเจ้าของบ้านได้ซื้อเอาไว้ และปล่อยเช่า ไม่ได้มาอาศัยเอง จะกลับมาดูแค่ปีละครั้ง
ส่วนคนที่มาเช่าตนก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร เห็นเป็นผู้ชายกับผู้หญิงอยู่ เขาก็อยู่กันเงียบๆสองคนไม่ได้มาสุงสิงกับใคร เมื่อวานตอนตำรวจมาค้นตำรวจบอกตนว่าเอาเขาไปโรงพักแล้ว ตนก็ไม่ได้เจอเขา ไม่รู้ว่าจะทำอาชีพแบบนี้ ตอนตำรวจเอารูปมาเปิดตอนค้นบ้านให้ดู ตนเองก็รู้สึกตกใจ