จากกรณีที่มีเหตุการณ์เด็กหญิงวัย 9 ขวบ ปีนบ้านขโมยเงินสดของชาวบ้าน ในวันที่ 12 มีนาคม 2566 โดยใช้ซอกตึกของบ้านเป็นจุดปีน และขึ้นไปที่ชั้น 2 ซึ่งมีความสูงร่วม 5 เมตร โดยเด็กคนดังกล่าวมีส่วนสูงเพียง 110 เซนติเมตร คาดได้ว่าเรื่องนี้คงมีผู้ใหญ่สมรู้ร่วมคิด
โดยวงจรปิดจับภาพได้ชัดเจนว่าในเวลาประมาณ 22.20 น. เด็กหญิงคนดังกล่าวได้เข้ามาขโมยเงินสดภายในบ้าน โดยใช้เวลาเพียง 4 นาที ในการหยิบเงินทั้งหมดออกไป หลังจากที่ได้เงินทั้งหมดแล้ว เด็กหญิงคนดังกล่าวได้ส่งเงินให้กับผู้ใหญ่ที่ยืนรออยู่ด้านนอก ก่อนจะปีนกลับออกไป
วันนี้ทีมข่าวช่อง 8 จึงได้พูดคุยกับ นายสิทธิ อายุ 27 ปี ผู้เสียหายที่ถูกเด็กหญิงวัย 9 ขวบ ปีนขึ้นบ้านและขโมยเงินไปจำนวน 33,400 บาท โดยนายสิทธิก็ได้สาธิตวิธีการปีนจากชั้น 1 ขึ้นไปยังบริเวณหน้าต่างชั้น 2 ซึ่งมีความสูงอยู่ที่ 5 เมตร จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ จะลงมือทำคนเดียว ซึ่งตนก็เพิ่งจะมารู้ตัวในวันถัดมา คือวันที่ 13 มี.ค.66 ซึ่งตนก็ได้นำภาพจากวงจรปิดไปแจ้งตำรวจ โดยทันทีที่ตำรวจมาถึง เด็กคนดังกล่าวก็ยอมรับสารภาพโดยบอกว่ามีผู้ใหญ่สั่งให้ทำ แต่ตอนนั้นไม่มีหลักฐานว่าผู้ใหญ่คนไหนเป็นคนทำ เพราะกล้องไม่สามารถจับภาพได้ ซึ่งตอนนั้นก็ไม่สามารถเอาผิดอะไรกับขโมยได้ เพราะเหตุผลว่ายังเป็นเด็ก ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เด็กคนนี่ลงมือขโมย เพราะก่อนหน้านี้ เด็กคนนี้ได้เข้าไปขโมยของที่ร้านสะดวกซื้อ, ขโมยของตามบ้าน, ขโมยเงินตามร้านขายผลไม้ริมทาง ฯลฯ
โดยตอนนั้นนายสิทธิก็ได้เอาเรื่องอย่างถึงที่สุด เพราะตนก็ได้รับความเดือดร้อน จึงทำป้ายประกาศเตือนภัยว่ามีเด็กขโมยของ และนำไปติดไว้ทั่วบริเวณดังกล่าว จนทำให้แม่ของเด็กได้นัดไกล่เกลี่ยและขอผ่อนชำระเงินเดือนละ 1,000 บาท แต่ก็ผ่อนได้เพียง 2 เดือน แล้วก็ขาดการติดต่อไปเลย ตอนนั้นนายสิทธิเองก็ถอดใจแล้ว คิดว่ายังไงก็คงไม่ได้เงินคืน เพราะตำรวจก็ไม่ตามเรื่องให้เนื่องจากคนก่อเหตุเป็นเด็ก
จนผ่านไป 6 เดือน ล่าสุดที่ตนมาเห็นข่าว เด็ก 14 ปีที่ห้างดัง ตนก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทันที เพราะเป็นเด็กเหมือนกัน และอยากให้กฎหมายมีความสมดุลในการจัดการแก้ปัญหาระหว่างความเป็นเด็กกับเหยื่อผู้เสียหาย
นายสิทธิจึงลองโพสต์เรื่องราวอีกครั้ง ปรากฏว่าครั้งนี้ได้ผล เพราะหลังจากที่โพสต์เรื่องราวออกไป ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เร่งดำเนินคดีทันที
จนล่าสุดเมื่อวานนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ก็ได้เข้ามารับตัวเด็กหญิงคนดังกล่าวเข้าไปดูแลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคิดว่าหลังจากนี้เด็กคนดังกล่าวจะสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและนิสัยได้ ตอนนี้นายสิทธิก็รู้สึกโล่งใจไปได้ระดับหนึ่ง เพราะอย่างน้อย ๆ การออกมาพูดครั้งนี้ก็ไม่เสียเปล่า เพราะเด็กหญิงคนนั้นคงจะได้มีอนาคตที่ดีขึ้น คงได้เรียนหนังสือ และไม่ต้องอยู่กับครอบครัวที่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของยาเสพติด
ต่อมาทีมข่าวได้พูดคุยกับแม่ของเด็กที่ก่อเหตุขโมย โดย นางหัทยา อายุ 31 ปี เปิดใจว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคม ซึ่งตอนนั้นทางผู้เสียหายก็ได้เข้ามาเปิดภาพให้ตนดู และถามว่าเด็กคนนี้ใช่ลูกของตนหรือเปล่า ตนก็ตอบว่าใช่ แต่ตนขอยืนยันว่าตอนนั้นไม่ทราบเลยจริง ๆ ว่าลูกสาวออกไปขโมยเงินที่บ้านคนอื่น เพราะวันนั้นตนได้บอกให้ลูกสาวออกไปซื้อขนมจีนหน้าปากซอย ซึ่งที่ผ่านมาตนไม่เคยสอนให้ลูกไปลักเล็กขโมยน้อยใคร แม้ว่าตนจะยากจนหรือลำบาก ก็ไม่เคยคิดที่จะไปขโมยใครกิน แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ยอมรับว่าเป็นฝีมือของลูกสาวจริง ๆ ซึ่งนางหัทยาก็ได้สอบถามลูกสาวแล้วว่าใครเป็นคนสั่งให้ทำเรื่องแบบนี้ ปรากฏว่าคนที่บอกให้ลูกสาวทำแบบนี้ คือเพื่อนบ้านใกล้เคียงที่อยู่ละแวกเดียวกัน แต่ตนก็ไม่ได้มีหลักฐานอะไรไปเอาผิดเขา จึงจำใจตกลงยอมชดเชยเงินให้ผู้เสียหายเดือนละ 1,000 บาท แต่ด้วยฐานะทางบ้านที่ไม่คงที่ ตนก็ผ่อนจ่ายได้เพียงแค่ 2 เดือน เพราะลำพังหาเงินเลี้ยงลูกอีก 5 คนก็ยากพอแล้ว จะให้เอาเงินมาจ่ายชดเชยทุกเดือนก็คงเกินกำลัง
ทั้งนี้ก็อยากจะใช้พื้นที่สื่อในการอธิบายเรื่องราว ขอยืนยันว่าตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการใช้ให้ลูกไปขโมยของ หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินหรือทรัพย์สินที่ลูกขโมยมา
ล่าสุดตอนนี้สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ก็ได้เข้ามารับตัวลูกสาววัย 9 ขวบ ไปดูแลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยตนก็ได้บอกให้ลูกปรับปรุงตัว หากลูกปรับปรุงตัวได้ ตนก็จะไปรับลูกกลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม