"แรงงานไทย" ล็อตแรกจากอิสราเอลถึงแล้ว 15 คน "รมว.กต." ยืนยันหาหนทางอพยพคนไทยกลับโดยเร็วที่สุด เล็ง ประเทศที่ 3 เป็นที่รวมพล เพื่อความสะดวกในการอพยพ

บรรยากาศที่สนามบินสุวรรณภูมิ แรงงานไทยจากอิสราเอลชุดแรกจำนวน 15 คนที่เดินทางมากับเที่ยวบิน LY 083 สายการบินอิสราเอลจากกรุงเทลอาวีฟ เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อเวลา 11.30 น. หลังจากผ่านขั้นตอนของตมเรียบร้อยแรงงานทั้ง 15 คน ได้เดินทางออกมาจากประตู เวลา 12.15 น. โดยมีครอบครัวรอต้อนรับอย่างอบอุ่น

 

ขณะที่นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศพร้อมด้วยนายพิพัฒน์ รัชกิจปราการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เดินทางมารับแรงงานไทยล็อตแรกที่หนีภัยสงครามเดินทางกลับมาจากอิสราเอล ด้วยตนเอง พร้อมร่วมแถลวข่าวพร้อมแรงงาน

 

นายปานปรีย์ กล่าวยืนยัน ทางการไทยไม่ได้นิ่งนอนใจ ในการช่วยเหลือประชาชนที่อยู่ในอิสราเอลและแสดงความจำนงที่จะกลับประเทศไทย ให้เดินทางกลับมาเร็วที่สุด และปลอดภัยที่สุดด้วย แต่ยอมรับว่าขณะนี้การเดินทาง เป็นไปค่อนข้างลำบาก ซึ่งรัฐบาลไทยได้ประสานงานกับหลายประเทศ ทราบว่าคนไทยกระจัดกระจายหลายพื้นที่ และแจ้งความจำนงประสงค์กับไทยแล้ว 5,990  คน โดยกองทัพอากาศ ได้ให้ความร่วมมืออย่างดี และกำลังคิดว่า นำคนไทยกลับมาเพิ่มขึ้นรวดเร็วได้อย่างไร แต่สิ่งที่ต้องทำ คือ พยายามดึงคนไทยที่ต้องการกลับ ไปรวมอยู่ในที่ปลอดภัย อาจต้องไปประเทศที่ 3 วันนี้จึงจะมีการประชุมกัน ว่าจะสามารถนำแรงงานไทยในอิสราเอลไปอยู่ในประเทศไหนได้บ้าง และจากประเทศที่ 3 เมื่อปลอดภัยแล้ว จะนำทั้งหมดกลับประเทศไทยต่อไป และช่วงบ่ายนี้นายกรัฐมนตรีกลับมาก็จะเรียกประชุมหามาตรการต่อไป​

 

ส่วนตัวประกันชาวไทย นายปานปรีย์ กล่าวว่า มีตัวเลขเพิ่มขึ้น เข้าใจว่าล่าสุดเมื่อเช้า ถูกควบคุมตัว 16 คนแล้ว กำลังประสานกับประเทศข้างเคียงและรัฐบาลอิสราเอล เพื่อช่วยเหลือตัวประกันออกมาในที่ปลอดภัยให้เร็วที่สุด ซึ่งน่าจะอยู่กระจัดกระจายแต่เชื่อว่าน่าจะมีความปลอดภัยเพราะเราไม่ใช่ประเทศคู่ขัดแย้ง

 

ด้านนายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวว่า กล่าวว่า กระทรวงกลาโหมได้หารือกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแล้ว ซึ่งเรามีข้อกังวลว่า จำนวนผู้ประสงค์จะกลับประเทศมากขึ้น ทำให้เครื่องบินของกองทัพอากาศอาจจะไม่สามารถบินได้ทันตามความต้องการ จึงได้ข้อสรุปว่า เราควรมีแผนสอง คือใช้เครื่องบินกองทัพอากาศลำเลียงคนไทยออกจากจุดที่เสี่ยงมาไว้ที่ประเทศข้างเคียงก่อน โดยในเบื้องต้นคาดว่าจะเป็นสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เนื่องจากการทำวิธีนี้น่าจะเร็วกว่า เมื่อพ้นอันตรายแล้ว ค่อยลำเลียงกลับบ้าน นี่คือแนวทางปฏิบัติใหม่ที่เราสามารถเริ่มดำเนินการได้เลย

 

นายกิตติพงษ์ ไชยโก แรงงานไทยชาวจังหวัดหนองบัวลำภู ก้มกราบผู้เป็นพ่อ หลังได้พบหน้ากันเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน ก่อนจะที่พ่อจะผูกด้ายสายสิญจน์บริเวณข้อมือเพื่อรับขวัญลูก และสวมกอดกันด้วยความดีใจ โดยผู้เป็นพ่อถึงกับน้ำตาไหล ตื้นตันใจที่ได้เห็นลูกกลับถึงไทยอย่างปลอดภัย

 

ด้านนายกิตติพงษ์ กล่าวว่า คิดว่าจะไม่มีโอกาสได้กลับมาเมืองไทยอีกแล้ว แต่วินาทีแรกที่ได้ก้มกราบเท้าและสวมกอดพ่อ รู้สึกดีใจมากที่ได้กลับมาเหยียบประเทศไทยอีกครั้ง หลังจากนี้ต้องดูสถานการณ์ก่อนว่าจะทำอย่างไรต่อไป เพราะไม่สามารถกลับไปที่อิสราเอลได้แล้ว เนื่องจากที่ทำงานถูกถล่มยับ และตอนนี้ขอไปพักใจก่อน เนื่องจากสภาพจิตใจยังไม่พร้อมที่จะพูดถึงเรื่องอะไรทั้งสิ้น เพราะเพื่อนร่วมงานจากไป 2-3 คน

 

เช่นเดียวกับนายบอล แรงงานไทยชาวจังหวัดนครราชสีมา ที่ยอมจ่ายเงินซื้อตั๋วเครื่องบินกลับไทยมาเที่ยวเดียวกับ 15 แรงงานไทยในวันนี้  ก็เข้าสวมกอดลูกและภรรยา ด้วยความดีใจ

 

ทีมข่าวได้พูดคุยกับนายสมาน ไชยโก (ไช-ยะ-โก) พ่อของแรงงานไทย นายกิตติพงษ์ ไชยโก (ไช-ยะ-โก) ชาวจ.หนองบัวลำภู (แรมโบ้) พี่วันนี้ได้เดินทางมารับลูกชายที่สนามบินสุวรรณภูมิ

 

พ่อเล่าว่าวันที่ยิงกัน แคมป์ที่ลูกทำงานโดนจู่โจมแบบไม่รู้ตัว แต่ลูกรอดตายหวุดหวิด เพราะมีระเบิดลง และเพื่อนก็ตายไป 6 คน (คาดว่าเป็นห้องหมายเลข 5 ) เหลือรอด 5 คน เพื่อนทั้งหมดมี 11 คน คนที่รอดเพราะทหารอิสราเอลมาช่วยทัน ตอนรู้ข่าวก็คิดว่าลูกจะรอดไหม เป็นยังไงบ้าง

 

วันนี้ดีใจสุดๆ ที่ลูกจะได้กลับบ้าน ออกจากบ้านที่จ.หนองบังลำภู มาถึงกทม. วินาทีแรกที่เจอลูกอยากบอกว่ากลับมาบ้ายรอดปลอดภัยแล้ว ไม่มีอันตรายคุณพระคุ้มครอง แต่จะไม่ห้ามลูกเรื่องกลับไปทำงาน

 

นายกรัชกร พุทธสอน แรงงานไทย ที่บาดเจ็บจากกลุ่มติดอาวุธยิง ที่เข่าซ้ายได้เดินทางกลับ ถึงประเทศไทยพร้อมกับแรงงานไทยกลุ่มแรกจำนวน 15 คนซึ่งทำงานอยู่ใน “โมชาป”โซนอันตรายโดยเจ้าตัวนั่งรถวีลแชร์กลับมาถึงประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว โดยเจ้าตัวเล่าวินาทีระทึกถูกยิงหลังรถกระบะแล้วนายจ้างพาหนีทันที ในกลุ่มของตนมีคนได้รับบาดเจ็บสาหัสคนเดียว ตอนนี้กลับถึง บอกว่ามีอาการบาดเจ็บตรงเข่าที่ถูกยิง ปวดมาก ได้แค่ทายาแดงให้แผลแห้ง ตอนนี้แผลปวดอยู่ข้างไหนเดินเต็มเท้าก็ไม่ได้

 

เจ้าตัวบอกว่าดีใจมาก ที่ได้กลับประเทศไทยเพราะอยู่ที่นั่นสถานการณ์มียิงกันตลอดระเบิดยังข้ามไปข้ามมา อย่างเมื่อวานก็มีระเบิดตกอยู่ตรงที่ผมทำงานลูกหนึ่ง

 

โดยนายกรัชกร ได้เล่ารายละเอียดช่วงเวลาที่กลุ่มฮามาสบุกมายิง เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเช้าแล้วไหนจะพาไปพักช่วงประมาณเที่ยง แล้วจะไปหลบภัยที่บ้านนายจ้าง พอขับรถมาเกือบจะถึงแคมป์คนงาน เดี๋ยวมีเสียงปืนดังขึ้น พวกผมนั่งหลังกระบะหันไปมอง เห็นจังหวะไล่ยิง กลุ่มฮามาสขับกระบะไล่ยิง ผมนั่งท้ายกระบะโดนยิงหัวเข่า พร้อมเด็กอีกคน เลยบอกให้ทุกคนหมอบ

 

โดยเจ้าตัวได้บอกอีกว่ากากเหตุการณ์สงบอาจจะกลับไปทำงานเหมือนเดิม เนื่องจากยังต้องหาเงินใช้หนี้

 

ทีมข่าวช่องแปดได้พูดคุยกับนางสาวจิตรา เทศคำจร ภรรยาของนายกรัชกร พุทธสอน แรงงานไทย (โจ้) จ.พะเยาว์ แรงงานไทยที่ถูกยิงเข่าได้รับบาดเจ็บ บอกโล่งอกที่เห็นหน้าสามีที่รพ. เพิ่งได้เจอกันเมื่อกี้ ตอนสามีเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิมาตรวจร่างกายที่สถาบันบำราศนราดูร ยังไม่ทันได้คุยอะไรกันเลย ทำได้แค่ลูบหลังเท่านั้น

 

วันที่เกิดสงคราม สามีบอกยิงกันเยอะ แล้วเงียบหายไป ตนเป็นห่วงพอสามีติดต่อกลับมาว่า อยู่รพ.โดนยิง แทบจะเป็นลม ใจตกไปอยู่ตาตุ่ม สามีบอกโดนยิงตอนจะไปกินข้าว พอรู้สามีบาดเจ็บ ก็ได้คุยกับสามีตลอดว่าเราเป็นห่วง ตนให้สามีติดต่อมาหาตลอดเพราะเป็นห่วง แล้วถ้ามันยิงกันให้หลบนะ สามีเลยบอกเดี๋ยวไปหลบที่หลุมหลบภัย

 

หลังจากสามีกลับมาแล้วก็กำลังจะ กลับไปทำพิธีรับขวัญที่บ้านเกิดในจังหวัดพะเยา แต่ไม่ให่กลับไปทำงานที่อิสราเอลแล้ว อยู่บ้านเราก็ดีแล้ว ตอนนี้บาดเจ็บต้องรักษาตัว เดี๋ยวภรรยาเลี้ยงเอง จะซัพพอร์ตสามีไปตลอด

15 แรงงานไทยกลับสู่มาตุภูมิ ก้มกราบเท้าพ่อขอพรรับขวัญ คนรอดเผยนาทีหนีกระสุนฮามาส