หนุ่มแรงงานไทยใจเด็ด ใช้มือเปล่าสู้นักรบฮามาสที่ใช้อาวุธมีด ก่อนถูกปาดคอบาดเจ็บสาหัส โชคดีรอดตายมาได้

กรณีเช้ามืดวันที่ 7 ตุลาคม 2566 กองกำลังติดอาวุธฮามาส บุกโจมตีอิสราเอล ทั้งบนอากาศและภาคพื้นดิน มีกองกำลับติดอาวุธบุกเข้ามาสังหารในฉวนกาซา ทำให้มีพลเมืองผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตนับพันราย รวมทั้งแรงงานไทยที่ไปขุดทองในอิสราเอล ทั้งได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิต ถูกจับเป็นตัวประกัน และหายสาบสูญ ซึ่งเป็นแรงงานชาวอุดรธานีเสียชีวิต 7 ราย แต่มีข่าวดีว่าทหารอิสราเอลเข้ายึดพื้นที่คืน ช่วยผู้บาดเจ็บและตัวประกัน ซึ่งจะและแรงงานลอตแรกบินกลับถึงประเทศไทยแล้ว 15 คน

วานนี้ (12 ต.ค. 66) ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่ต.หนองหัวคู อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี ซึ่งเป็นบ้านนายวิทวัส กุลวงศ์ หรือ แจ็ค อายุ 34 ปี แรงงานไทยในอิสราเอล ซึ่งรอดจากการถูกปาดคอ แต่ได้รับบาดเจ็บสาหัส และครอบครัวติดต่อได้แล้ว โดย น.ส.วาสนา อายุ 27 ปี และด.ญ.กัลยรัตน์ ภรรยาและลูกสาวนายวิทวัส นั่งอยู่หน้าบ้าน โดยมีญาติและเพื่อนบ้านมาถามไถ่เรื่องราวและแสดงความยินดี โดยมีนายวิทวัส หรือแจ็ค วีดีโอคอลมาพูดคุย

นายวิทวัส เล่าว่า ขณะกำลังเดินอยู่ในฟาร์มเพื่อตรวจดูว่ามีไก่งวงตายหรือไม่ ก็มีการยิงเข้ามา และมีกองกำลังติดอาวุธเข้ามาในฟาร์ม จึงเข้าไปหลบซ่อนตัว 2-3 ชม. เมื่อกองกำลังออกไปแล้วจึงได้ออกมาจากที่ซ่อน แต่ได้มีกองกำลังเข้ามาอีกและมาพบตนซึ่งกองกำลังได้ใช้มีดพยายามฆ่าปาดคอตน แต่ตนต่อสู้ สู้กันประมาณ 1 ชม. ตนถูกแทงคอ แทงหลัง และแทงหน้าผาก เลือดไหลออกมาก จนตนหมดสติ เขาคงคิดว่าตนตายแล้ว จึงหยิบเอาโทรศัพท์ตนไปด้วย ประมาณ 1 ชั่วโมงตนฟื้นขึ้นมา จึงเดินกลับไปที่แคมป์คนงาน เพื่อนคนงาน นายจ้างแจ้งทหารอิสราเอลนำตนส่งโรงพยาบาล 3 วัน ออกจาก รพ.จึงติดต่อกลับมาบ้านหาภรรยาและลูก ซึ่งถือว่าตนโชคดีที่รอดชีวิต ตนไม่อยากอยู่แล้ว อยากจะกลับบ้าน และไม่ขอกลับมาทำงานที่อิสราเอลอีก

ส่วน น.ส.วาสนา เล่าว่า ตนแต่งงานกับนายวิทวัส มีลูกด้วยกัน 1 คน นายวิทวัส เดินทางไปทำงานเกษตร ที่ฉนวนกาซา ประเทศอิสราเอล สัญญา 5 ปี 3 เดือน ทำงานได้ 4 ปี ไม่กลับมาพัก ได้เงินเดือน 4-5 หมื่นบาท โดยยืมเงินจากนายทุนนอกระบบ 1 แสนบาท โดยจัดหางานเป็นคนส่งไปถูกต้องตามกฎหมาย โดย 2 ปีแรกทำงานในสวนมะเขือเทศ 2 ปีหลังทำงานในฟาร์มไก่งวง จะส่งเงินกลับมาให้ตนซื้อรถปิกอัพ 1 คัน และซื้ออุปกรณ์เตรียมสร้างบ้านไว้แล้ว

ก่อนเกิดเหตุเป็นวันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม ซึ่งจะเป็นวันหยุดของสามี แต่สามีจะขับรถไถออกจากแคมป์ที่พักไปที่ฟาร์มไก่ เพื่อเก็บไก่ที่ตายออกมา ขณะเดินอยู่ในฟาร์มไก่ และไลฟ์สดในเฟซบุ๊กให้ตนดูด้วย ต่อมาฝั่งปาเลสไตน์ก็มีการยิงข้ามมา ซึ่งสามีก็บอกว่ามีการยิงกันแล้ว แต่ครั้งนี้ยิงหนักมาก แถมมีกองกำลังติดอาวุธเข้ามาในฟาร์มด้วย ซึ่งสามีก็ไปหลบซ่อนตัว 2-3 ชม.และห้ามตนโทรไปหา เพราะเกรงว่ากลุ่มฮามาสจะได้ยิน ตนก็ไม่โทร แต่พอได้ดูคลิปยิงแรงงานไทยตายในแคมป์ ก็ยิ่งห่วงสามีมากขึ้น แต่ไม่สามารถติดต่อได้ ตนก็พยายามทักแชตกับเพื่อนร่วมงานสามี เย็นวันเดียวกันก็ทักแชตเพื่อนร่วมงานได้ เพื่อนบอกว่าสามีตนอยู่ในห้อง บาดเจ็บเล็กน้อย นายจ้างติดต่อทหารอิสราเอลมารับไปส่งโรงพยาบาลแล้ว

น.ส.วาสนา เล่าต่อว่า หลังทราบว่าสามีได้รับบาดเจ็บ รักษาตัวอยู่โรงพยาบาลแล้ว ตนก็รู้สึกดีใจ แต่ไม่สามารถติดต่อกับสามีได้ ก็ได้แชทสอบถามอาการกับเพื่อนคนงาน ส่วนตนและครอบครัวก็ไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกที่เพื่อให้สามีปลอดภัย สามีออกจากที่โรงพยาบาลวันที่ 11 ตุลาคม ลูกชายนายจ้างได้ให้ใช้โทรศัพท์วีดีโอคอลมาหาตน และได้พูดคุยกัน ก็รู้สึกดีใจ แต่พอเพื่อสามีส่งภาพตอนสามีโดนแทงได้รับบาดเจ็บมาให้ดู ตนถึงกับร้องไห้ มันน่ากลัวมาก สามีรอดชีวิตมาได้อย่างไร สามีกลับมาบ้านแล้ว ก็จะไม่ให้กลับไปอีก