แรงงานไทยจากประเทศอิสราเอลกลุ่มที่ 2 ที่รัฐบาลดำเนินการช่วยเหลือ เดินทางกลับประเทศไทยแล้ว  ซึ่งกลุ่มนี้เป็นผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์สงครามและหลบหนีมาจากพื้นที่อันตราย จำนวน 19 คน นอกจากนี้ยังมีแรงงานไทยที่ซื้อตั๋วเครื่องบินเองเดินทางกลับมาพร้อมกันด้วย รวมมีคนไทยในเที่ยวบินนี้รวม 57 คน

 

โดยกลุ่มนี้ ออกเดินทางจากกรุงเทลอาวีฟประเทศอิสราเอลตั้งแต่เวลา 04.30 น.วันนี้ ด้วยสายการบิน Israel Airlines เที่ยวบินที่ LY 085 มาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในเวลา 16.58 น.

 

สำหรับรายชื่อผู้ที่เดินทางกลับไทยด้วยสายการบิน El Al เที่ยวบิน LY085 ในวันที่ 13 ต.ค. 2566 ประกอบด้วย

 

  1. นายวีระพนธ์ หลับจันทร์
  2. นายดุสิต วิบูลวิโรจน์กุล
  3. นายบุญมา ตาฮอง
  4. นายเกรียงศักดิ์ พันธุ์สุรี
  5. นายศราวุธ ทับทิม
  6. นายไพฑูรย์ รักมณี
  7. นายสุริยันต์ กันตา
  8. นายวิชัย ทิวพงษ์งาม
  9. นายคมสัน คำทอง
  10. นายวิสุทธิ์ แซ่เล้า
  11. นายเจิมศักดิ์ แซ่เล้า
  12. นายผดุง บุตโม
  13. นายชาตรี ชาศรี
  14. นายปฐมพงษ์ หวันลา
  15. นายสุชาติ จันทร์บาง
  16. นายอานนท์ โพธิ์ศรี
  17. นายรชานนท์ ศรีใส
  18. นายนิสัน คล้ายคลึง
  19. นายจิรพันธ์ ธงอาสา

 

ทีมข่าวได้พูดคุยกับ นางสาวอะตอม  แฟนสาวของนายวิชัย ทิวพงษ์งาม  เธอให้สัมภาษณ์ว่า นายวิชัย แฟนของตัวเอง ไปทำงานเกี่ยวกับการต่อท่อ ต่อสายยาง ได้ประมาณ 7 เดือน

 

กระทั่งเช้าวันที่ 7 ตุลาคม 2566 ซึ่งเป็นวันแรกที่เกิดเหตุ นายวิชัย แฟนของตัวเองได้ถูกกลุ่มฮามาส ลุกมาเผาที่ทำงาน ทำให้ข้าวของในแคมป์พังเสียหายทั้งหมด จากนั้นแฟนหนุ่มได้หนีกลุ่มฮามาส ไปซ่อนตัวอยู่ในป่า ทำให้แฟนของตัวเองไม่ได้ได้รับบาดเจ็บหรือเป็นอันตรายแต่อย่างใด  พอรุ่งเช้าของวันต่อมา ได้มีทหารอิสรเอลมาช่วยแฟนหนุ่มเอาไว้ และพาไปในที่ที่ปลอดภัย

 

นางสาวอะตอม เล่าให้ทีมข่าวฟังอีกว่า ตอนที่แฟนหนุ่มซ่อนตัวอยู่ในป่า เค้าก็ได้โทรศัพท์มาหาตัวเอง จะสังเกตว่ามีเสียงปืนดังตลอดเวลา

 

หลังจากนี้ ถ้าเจอหน้าแฟนหนุ่ม ตัวเองอยากจะบอกเขาว่า “เป็นห่วงเขามาก” ซึ่งวันนี้ตัวเองก็เดินทางมาตั้งแต่ช่วงเช้า มาจากอำเภอเขาค้อจังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อมารอรับแฟนหนุ่มกลับบ้าน

 

กระทรวงการต่างประเทศ แจ้งสถานะคนไทยที่ได้รับ

ผลกระทบในอิสราเอล ( สถานะ ณ วันที่ 13 ต.ค. 2566)  จำนวนยังเท่ากับเมื่อวันที่ 12 ต.ค. 2566 คือ

 

ผู้เสียชีวิต 21 ราย

ผู้บาดเจ็บ 14 ราย

ผู้ที่คาดว่าถูกจับไป 16 ราย

 

สรุปเที่ยวบินรับแรงงานไทยกลับบ้าน

 

วันนี้ผู้สื่อข่าวช่อง8 เดินทางไปที่บ้านของนายกิตติพงษ์ ไชยโก หนุ่มแรงงานไทยที่เดินทางกลับประเทศไทยล็อตแรกเมื่อวาน กลับถึงบ้านเกิดเป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา โดยเช้าวันนี้ญาติพี่น้องที่ทราบข่าว ได้จัดพิธีผูกข้อมือหรือผูกแขนรับขวัญตามประเพณีคนอีสาน

 

ขณะที่ นายกิตติพงษ์ ไชยโก หรือ โบ้ อายุ 34 ปี แรงงานไทยที่เดินทางกลับจากอิสราเอล ได้เล่าเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุให้เราฟังว่าตนอยู่ในแคมป์ที่คีบุส “คิซูฟิม” ซึ่งอยู่ห่างจากกาซ่าราว 3 กิโลเมตร  โดยภายในแคมป์มีคนไทยทั้งหมด 11 คน โดยพักอยู่ 2 ตึก ระหว่าง 2 ตึกมีถนนกั้น ระยะห่างระหว่าง 2 ตึกราว 20 เมตร

ตนพักอยู่ที่ตึกด้านหน้าใกล้กับจุดที่ทหารอิสราเอลประจำการอยู่ โดยในตึกก็จะมีห้องพักส่วนตัวของแต่ละคน เรียงตามกันดังนี้

  1. นายจันทร์ดี แซ่ลี / จ.เชียงราย (*พักในห้องที่เป็นบังเกอร์)
  2. นายกิตติพงษ์ ไชยโก / จ.หนองบัวลำภู
  3. นายอนุชา บุญญะสาร / จ.นครราชสีมา
  4. นาย “อารือ” ไม่ทราบชื่อจริง เป็นคนภาคเหนือ
  5. นายสมบูรณ์ แซ่ว่าง / จ.น่าน (*พักในห้องบังเกอร์)

 

ขณะเกิดเหตุ ตนและนายอนุชา เข้าไปหลบในห้องนายจันทร์ดี ส่วนนายอารือเข้าไปหลบในห้องนายสมบูรณ์  ก่อนที่ต่อมาทั้ง 5 คนจะถูกทหารอิสราเอลเข้ามาช่วยออกมาได้ ปลอดภัยทั้งหมด

 

ล่าสุด ตนและเพื่อนอีก 3 คน ยกเว้นนายอารือ / ได้เดินทางกลับถึงประเทศไทยด้วยเที่ยวบินเที่ยวแรกพร้อมกันแล้ว / ส่วนนายอารือยังรอญาติที่จะเดินทางกลับพร้อมกัน

 

ขณะเดียวกันอีกตึกหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างกันแค่ถนนกั้นราว 20 เมตร  / เป็นตึกที่เพื่อนคนไทย 6 คนพักอาศัยอยู่ ประกอบไปด้วย

  1. นายธีระพงษ์ กลางสุวรรณ หรือ ดอน / จ.อุดรธานี (*พักในห้องบังเกอร์) - เสียชีวิต
  2. นายศตวรรษ เพียเอีย หรือ โจ้ / จ.สกลนคร - เสียชีวิต
  3. นายจักรพงษ์ จันทรเสนา หรือ ม่อน / จ.อุดรธานี - เสียชีวิต
  4. นายอนุชา โสภากุล หรือ แจ็ค / จ.อุดรธานี - เสียชีวิต
  5. นายชัยรัตน์ สานุสันต์ หรือ ปู / จ.อุดรธานี - เสียชีวิต
  6. นายไกรสร อรัญถิตย์ หรือ เหลย / จ.อุดรธานี (*พักในห้องบังเกอร์) - เสียชีวิต

ขณะเกิดเหตุ นายศตวรรษ วิ่งไปหลบในห้องนายธีระพงษ์ ส่วนนายจักรพงษ์ นายอนุชา นายชัยรัตน์ ได้เข้าไปหลบในห้องนายไกรสร  โดยหลังจากที่ทหารอิสราเอลช่วยเหลือพวกตนได้แล้ว ได้เข้าไปเคลียร์พื้นที่และจะเข้าช่วยเหลือคนไทยอีก 6 คน แต่เมื่อไปถึงกลับพบว่าทั้งหมดเสียชีวิตแล้ว

 

ต่อมานายกิตติพงษ์ ยังเล่าอีกว่า นาทีที่ฮามาส กว่า 60 คน บุกเข้ามาด้านหลังแคมป์ที่พัก กราดยิงแรงงานทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ตนเองซึ่งอยู่หลบในบังเกอร์ สักพักได้ยินเสียงกระสุนปืนดังขึ้นใกล้ๆกับจุดที่ตนเองซ่อนตัวอยู่ ห่างประมาณ 20 เมตร ซึ่งตนเองคิดได้ทันทีว่าเพื่อนทั้งหกคนที่หลบอยู่อีกบังเกอร์ด้านหลังน่าจะถูกกลุ่มติดอาวุธฮามาสบุกเข้าไปกราดยิงจนเสียชีวิตพร้อมกันหมด ซึ่งตอนนั้นยอมรับว่าช็อกและเสียใจมาก เพราะผู้เสียชีวิตที่เป็นแรงงานไทยทั้งหมด ไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมงาน แต่เป็นเหมือนคนในครอบครัว ขณะที่ซ่อนตัวอยู่ในบังเกอร์ กว่า 4 ชม.ตนเองและเพื่อนได้กินแค่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 1 ห่อ ถั่วลิสงและผลไม้ ประทังชีวิต จนกระทั่งทหารอิสราเอลมาช่วยพาหลบหนี ไปอยู่ที่ศูนย์อพยพ

 

วันนี้ที่ได้กลับมาบ้านตนเองรู้สึกดีใจมาก ซึ่งตั้งแต่เกิดเหตุที่แคมป์คนงานจนมีทหารมาช่วย ตนเองก็ยังไม่คิดว่าชีวิตจะปลอดภัยจนได้กลับบ้านแบบนี้ พอรู้ว่าได้กลับบ้านก็ดีใจมาก ยิ่งมาได้เห็นหน้าพ่อที่ไปรอรับที่สนามบิน ตนก็ร้องไห้ออกมาและก้มเข้าไปกราบท่าน พอกลับมาถึงบ้านมาเจอแม่ก็ดีใจมากด้วยเช่นกัน และเข้าไปกราบท่านด้วยอีกคน และวันนี้ได้เห็นญาติพี่น้องรวมถึงชาวบ้านมาผูกแขนต้อนรับก็ดีใจจนพูดไม่ออก แต่ก็ยังยอมรับว่าส่วนตัวยังช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อิสราเอลอยู่ไม่น้อยเช่นกัน

 

สำหรับตอนที่เกิดเหตุที่แคมป์คนงานมีสองสิ่งที่ตนเองจะพกไว้ติดตัวตลอดนั่นก็คือเหรียญหลวงพ่อเจริญ วัดโนนสว่าง จังหวัดหนองบัวลำภู  และผ้าถุงของแม่ที่มีเงินเหรียญสิบบาท เหรียญห้าบาท และเส้นผมของแม่ ที่ห่อเอาไว้รวมกัน ที่แม่เคยทำไว้ให้ตั้งแต่ตอนที่ตนไปทำงานที่ประเทศเกาหลีใต้ โดยส่วนตัวเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองอย่างช่วยปกป้องคุ้มครองให้ตนปลอดภัยจนกลับมามาถึงที่ประเทศไทย

 

ทีมข่าวได้สอบถามว่าหลังจากนี้นายกิตติพงษ์ จะกลับไปทำงานที่อิสราเอลอีกหรือไม่เพราะยังเหลือสัญญาอีกสี่ปี เรื่องนี้นายกิตติพงษ์ ตอบว่า คงไม่กลับไปอีกแล้วแม้สถานการณ์จะสงบก็ตาม และอยากให้เพื่อนพี่น้องที่ไปทำงานที่อิสราเอลได้กลับบ้านปลอดภัยเหมือนกับตนเอง เพราะไม่มีที่ไหนปลอดภัยเท่าบ้านของเราแล้ว

 

นอกจากนี้ก็ยังมีญาติทางฝั่งภรรยาของนายกิตติพงษ์ พาลูกสาววัย 1 ขวบ 5 เดือน เดินทางมาจากจังหวัดหนองคาย เพื่อพามาหาคุณพ่อหลังจากไม่ได้เจอกันประมาณ 1 ปี โดยทันทีที่ลูกสาวเดินทางมาถึงบ้านนายกิตติพงษ์ ได้เดินเข้าไปอุ้มลูกสาวมากอดเอาไว้ และหอมแก้มลูกสาวด้วยความคิดถึง จากนั้น นางสาวกรรณิการ์ ดวงบุ ภรรยาของนายกิตติพงษ์ ที่เดินทางมาจากประเทศมาเลเซีย ก็เดินเข้ามากอดลูกสาวและหอมแก้มก่อนที่ทั้งสามคนจะพากันเข้าไปในบ้าน

 

นางหนูพันธ์ ไชยโก แม่ของนายกิตติพงษ์ ก็ได้ผูกข้อมือรับขวัญลูกชาย ซึ่งในระหว่างที่ผูกข้อมือให้ลูกชาย แม่กลั้นน้ำตาไม่ไหว ร้องไห้กอดลูกชาย ขณะที่ลูกชายก็ก้มกราบตักแม่ ทำให้ยายทวด อายุ 94 ปีที่นั่งอยู่ข้างหลังก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวไม่เหมือนกัน

 

โดยในระหว่างผูกข้อมือ ป้าของนายกิตติพงษ์ ก็ได้มาผูกข้อมือรับขวัญหลานเช่นกัน แต่เกิดอาการตัวสั่นขึ้นมา ซึ่งญสติเชื่อว่าเป็นพ่อปู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้าน ที่ชาวบ้านเคารพนับถือ มาแฝงร่างรับขวัญหลานชาย

 

ขณะที่อาหารเช้าวันนี้ที่ทางครอบครัวจัดเตรียมไว้ให้นายกิตติพงษ์ ไชยโก ได้กินพร้อมกับครอบครัวและญาติๆ คือ ลาบวัว เมนูโปรดของกิตติพงษ์ และชุมหน่อไม้ อาหารอีสาน 

 

โดยนางหนูพันธ์ ไชยโก บอกกับเราว่า เมื่อคืนลูกชายเดินทางกลับมาถึงบ้าน ช่วงประมาณ 5 ทุ่มของวันที่12ต.ค ทันทีที่เห็นหน้าลูกชายเดินลงมาจากรถตู้ ตนเองกับลูกชายและพ่อ พากันกอดกันร้องไห้สะอื้น เพราะความรู้สึกทั้งดีใจ ตื้นตันใจ ทั้งสงสาร และคิดถึงลูกชาย โดยอาหารมื้อแรกที่หลังจากลูกชายลงจากรถตู้ตนเองได้เตรียมอ่อมน้องวัวหรืออ่อมรกวัว อาหารอีสาน  เมนูโปรดลูกชายอีกอย่างไว้ให้ลูกทาน หลังจากไม่ได้ทานอาหารมาเกือบ 3 วัน

 

หลังจากนั้นก็มานั่งคุยกัน ลูกชายก็มาเล่าให้ฟังว่าขณะที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องนิรภัย กลุ่มฮามาสได้บุกเข้ามางัดประตู หน้าต่าง หวังจะเข้ามาก่อเหตุ แต่โชคดีที่ไม่สามารถเข้าไปได้ ก่อนที่ทหารอิสราเอลจะเข้าไปช่วยเหลือและพาหลบหนีออกมาได้ หลังได้ฟังที่ลูกเล่าให้ฟัง หัวใจแทบสลาย ไม่อยาคิดถึงตอนที่กลุ่มฮามาสบุกเข้าห้องลูกชายได้ ซึ่งตนเองเชื่อว่าที่ลูกชายรอดมาได้เป็นเพราะบารมีของพ่อปู่หลุบ สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองพี่ทางครอบครัวและชาวบ้านเคารพนับถือรวมไปถึงวัตถุมงคลที่ตนเองทำให้ลูกชาย คือ ชายผ้าซิ่นหรือชายผ้าถุงของแม่ ตัดเป็นสีเหลี่ยมผืนผ้าชิ้นเล็กๆ ข้างในมีเงินเหรียญ 10บาท จำนวน 1 เหรียญและเงินเหรียญบาท 2 เหรียญ รวม 12 บาท และเส้นผมของแม่ ให้ลูกพกติดตัวไปด้วย

 

นอกจากนี้แม่ยังบอกด้วยว่าวันนี้รู้สึกว่ากับข้าวอร่อยมาก กินอะไรก็อร่อย หลังได้เห็นหน้าลูกชาย

 

นอกจากนี้ยังมีคลิปวิดีโอตอนหลบนี้ แม้จะอยู่บนรถของทหารอิสราเอลแล้ว แต่ตอนเดินทางก็ยังไม่พ้นการปะทะ โดยในภาพจะเห็นว่า มีแสงกระสุนปืนอยู่ตลอด

ผ้าซิ่นแม่คุ้มชีวิต! หนุ่มเผชิญหน้าฮามาส กลับมองไม่เห็น ห้องข้างๆ ตายหมด 5 ศพ