เมื่อเวลา 09:00 นาฬิกา วันที่ 14 ตุลาคม 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรทองผาภูมิ รับแจ้งเหตุว่ามีคนถูกแทงเสียชีวิตภายในกระท่อมกลางไร่มันสำปะหลัง พื้นที่บ้านสหกรณ์นิคม ตำบลสหกรณ์นิคม อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี หลังรับแจ้งจึงได้รีบนำกำลังชุดสืบสวน พร้อมประสานเจ้าหน้าที่มูลนิธิกู้ภัยกาญจนบุรีร่วมตรวจสอบ
เมื่อเจ้าหน้าที่มาถึงต้องเดินเท้าเข้าไปในเข้าในกระท่อมหลังเกิดเหตุที่อยู่ลึกเข้าไปในไร่มันสำปะหลังระยะทางจากถนนหลักกว่า 3 กิโลเมตร เมื่อถึงที่เกิดเหตุเป็นกระท่อมยกสูง ภายในพบศพนายจอเชง อายุ 40 ปี เป็นชาวเมียนมา สภาพศพนั่งพับหน้าทิ่มพื้นไม่สวมเสื้อ ใส่ผ้าถุงสีน้ำตาล ซึ่งจากการชันสูตรเบื้องต้นที่บริเวณหน้าท้องมีบาดแผลถูกอาวุธมีดแทง มีบาดแผลขนาด 3 - 4 เซนติเมตร คาดว่าผู้ตายน่าจะเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 10 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่จึงสั่งการให้ส่งศพผู้เสียชีวิตไปผ่าชันสูตรเพิ่มเติมที่ศูนย์นิติเวชอย่างละเอียดอีกครั้ง
ต่อมาทางเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานได้เข้าตรวจสอบในที่เกิดเหตุและบริเวณโดยรอบพบมีร่องรอยคราบเลือดและอาวุธมีดเปื้อนเลือดตกอยู่บนเตียง เจ้าหน้าที่จึงตรวจยึดไว้เป็นหลักฐาน
จากการสอบถามพยานในที่เกิดเหตุ ทราบว่า ผู้ตายนั้นมีอาชีพรับจ้างฉีดยาฆ่าแมลงตามไร่มันสำปะหลัง ก่อนที่ผู้ตายจะเสียชีวิตเมื่อเวลา 18:00 นาฬิกา วันที่ 13 ตุลาคม ที่ผ่านมา ยังพบผู้ตายนั้นเดินอยู่บนกระท่อมอยู่เลย ส่วนสาเหตุของการเสียชีวิตนั้นไม่ทราบเพราะไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุณขณะนั้น
วันนี้ 15 ตุลาคม 2566 ทีมข่าวได้ลงพื้นที่ไปยังจุดเกิดเหตุ ซึ่งจุดเกิดเหตุห่างจากถนนหลัก กาญจนบุรี - ทองผาภูมิ กว่า 3 กิโลเมตร โดยจุดเกิดเหตุเป็นไร่มันสำปะหลังกลางป่า เส้นทางที่เข้าไปก็เป็นเพียงถนนลูกรังซึ่งเมื่อฝนตกลงมา การเดินทางเข้าไปจะมีความลำบากมาก และต้องใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อในการเข้าพื้นที่
ซึ่งขณะที่ทีมข่าวกำลังเดินทางเข้าไปยังจุดเกิดเหตุ ก็ได้พบว่ารถของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่ง อยู่ระหว่างนำตัวของนายนันอู อายุ 29 ปี ซึ่งเป็นผู้ก่อเหตุ เข้าไปชี้จุดบริเวณจุดเกิดเหตุ แต่ระหว่างทางรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจเกิดติดหล่ม จึงไม่สามารถเดินทางเข้าไปต่อได้และต้องเรียกรถของผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อ เข้ามาช่วยเหลือ โดยใช้ระยะเวลากว่า 1 ชั่วโมง 30 นาที จึงจะสามารถเดินทางไปต่อได้
จากนั้นทีมข่าวจึงได้พูดคุยกับ พ.ต.อ.มนตรี แตงโต ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี โดย พ.ต.อ.มนตรี ได้ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวว่า จับกุมตัวผู้ก่อเหตุได้ตั้งแต่เมื่อวานช่วงเย็น ซึ่งหลังจากคนร้ายคือ นายนันอู ได้ก่อเหตุฆ่า นายจอเชง อายุ46ปีโดยการใช้อาวุธมีดแทง ก็ได้วิ่งหนีออกจากจุดเกิดเหตุและได้ขี่รถจักรยานยนต์เข้าไปที่ อ.เมืองกาญจนบุรี เพื่อไปหาอดีตภรรยา แต่เมื่อไปถึง ได้พบว่าอดีตภรรยาไม่อยู่ จึงได้ขี่รถจักรยานยนต์กลัยมาที่ อ.ทองผาภูมิ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สภ.ทองผาภูมิ ได้สืบทราบก่อน จึงได้ดักรอคนร้ายระหว่างทางกลับมาที่ อ.ทองผาภูมิ และจับกุมตัวผู้ก่อเหตุได้
ซึ่งจากการสสอบสวนผู้ก่อเหตุ ได้ทราบว่า นายนันอูและ นายจอเชง นั้นเป็นเพื่อนกัน และได้มาทำงานรับจ้างพ่นยาในไร่มันสัมปะหลัง แต่ผู้ก่อเหตุจะเข้าไปหางานใหม่ที่ในตัว อ.เมืองกาญจนบุรี จึงได้เข้ามาเก็บของที่กระท่อมจุดเกิดเหตุ แต่ฝนได้ตกลงมาจึงไม่สามารถขี่รถจักรยานยนต์ออกมาได้ นายนันอูจึงได้นั่งกื่มสุรากับนายจอเชง จากนั้นนายนันอูได้โทรหาแม่ แต่แม่ไม่รับสาย นายจอเชงจึงได้ต่อว่าแม่ของนายนันอู ลักษะว่าทำไมถึงไม่ ดูแลลูกปล่อยให้ลูกต้องลำบากหางานทำเอง ด้วยความที่ว่านายจอเชง อายุเยอะกว่านายนันอู จึงได้ต่อว่าไปลักษณะดังกล่าว แต่นายนันอูไม่พอใจว่านายจอเชงได้ด่าแม่ของนายนั้นอู จึงได้หยิบอาวุธมีดบริเวณหัวนอน ซึ่งเป็นลักษณะมีดทำครัวปลายแหลม และแทงเข้าบริเวณใต้ลิ้นปี่ของนายจอเชง แต่นายจอเชงได้จับข้อมือของนายนันอูเอาไว้ นายนั้นอูจึงใช้ตัวโน้ม กดอาวุธมีดแทงเข้าไปซ้ำที่บริเวณหน้าท้องอีกหนึ่งครั้ง จากนั้นจึงได้วิ่งหนีออกจากจุดเกิดเหตุไป และไปหลบซ่อนตัวอยู่ในบ้านร้างกลาง สวนยาง ซึ่งอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 1 กิโลเมตร จุดในช่วงเช้าจึงได้กลับไปเอารถจักรยานยนต์พ่วงข้าง และมุ่งหน้าเข้าไปหาอดีตภรรยาในตัวอำเภอเมืองกาญจนบุรี
ซึ่งในขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งข้อ กล่าวหา นายนันอู คือ ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และจะนำตัวศาลเพื่อขออำนาจฝากขังต่อไป
ขณะที่ทีมข่าวได้พบพ่อของนายจอเชง และน้อง ได้ไปรับศพของนายจอเชง โดยนายจอย อายุ 68 ปี พ่อของนายจอเชง และนายซอน อายุ 34 ปี น้องชายของ นายจอเชง ได้เล่าให้ทีมข่าวฟังว่า เมื่อวานนี้ตนได้ทราบข่าวเรื่องของลูกชายตอนประมาณ 9 โมงเช้า จากนั้นก็ได้รีบเข้าไปดูศพของลูกชาย ซึ่งส่วนตัวตนไม่รู้จักกับนายนันอู ลูกชายของตนจะรู้จักเพียงคนเดียว เพราะนายนันอู เป็นชาวถวาย แต่พวกตนเป็นชาวมอญ ลูกชายของตนพบว่านายนันอูไม่มีงานทำ จึงได้เกิดความสงสารและชวนมาทำงานด้วย และเพิ่งรู้จักกันได้เพียงไม่นาน
ซึ่งตนก็ไม่คิดว่านายนันอูจะก่อเหตุดังกล่าวขึ้น ซึ่งหลังจากนี้ ก็คงจะทำอะไรไม่ได้เพราะลูกชายของตนก็ได้ตายไปแล้ว ก็ต้องปล่อยให้นายนันอู รับกรรมที่เขาได้ทำไว้ โดยตนจะตั้งศพเป็นเวลาสองคืน และจะทำการฌาปนกิจ