วันที่ 15 ต.ค. 2566 เมื่อเวลา 10:00 น. แรงงานไทยล็อตที่ 3 จำนวน 90 คน เป็นชาย 88 คน และหญิง 2 คน ที่เดินทางมาจากประเทศอิสราเอล ด้วยสายการบิน Fly Dubai เที่ยวบิน FZ 8991 ซึ่งเป็นเที่ยวบินพิเศษที่ออกจากอิสราเอล มาต่อที่ดูไบ และมาลงที่สนามบินอู่ตะเภาเมื่อเวลา 06:00 น. และเดินทางต่อด้วยรถบัส จำนวนสามคัน มาถึงยังโรงแรมเอสซีปาร์ค ถนนเรียบด่วนรามอินทรา กรุงเทพมหานคร ซึ่งเมื่อเดินทางมาถึงแรงงานทั้งหมดได้ทยอยลงจากรถบัสและขึ้นไปที่บริเวณชั้นหกของโรงแรมซึ่งจัดเป็นสถานที่รับรองที่มีญาติของแรงงานพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ จากกระทรวงการต่างประเทศพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์มารอรับอยู่เพื่อประสานงานส่งแรงงานกลับไปยังภูมิลำเนา
โดยระหว่างที่แรงงานเดินทางมาถึง ก็มีญาติและครอบครัวเดินทางมารอรับ หนึ่งในนั้นคือ นางสาวสุทธิตา พี่สาวของนายณัฐพงศ์ ที่ได้รับบาดเจ็บถูกสะเก็ดระเบิดที่บริเวณศีรษะและขา เมื่อนายณัฐพงศ์เดินเข้ามาพี่สาวได้โผเข้ากอดน้องชายด้วยความดีใจ พร้อมเปิดเผยว่าวันนี้ดีใจที่สุดในชีวิตที่น้องชายกลับมาถึงประเทศไทย เพราะตั้งแต่รู้ว่าน้องถูกระเบิดก็เป็นห่วงจนนอนไม่หลับ กลัวว่าจะได้รับบาดเจ็บไปมากกว่านี้เพราะมีกันอยู่แค่ 3 คนพี่น้อง
และรู้มาว่าระหว่างเกิดเหตุน้องชายตัวเองนอนหลับอยู่ในแคมป์ที่พักคนงานกับเพื่อนอีก 7-8 คน ก่อนจะถูกระเบิด ตอนนั้นรู้สึกเป็นห่วงน้องชายมากเพราะเพื่อนหนีกันไปคนละทิศละทาง ไม่รู้ชะตากรรมของแต่ละคน
สำหรับน้องชายของตนไปทำงานที่ประเทศอิสราเอลได้ 4 ปีแล้ว เหลือสัญญาจ้างอีก 1 ปี 3 เดือน แต่มาเกิดเหตุการณ์นี้ซะก่อนจึงต้องรีบกลับมา และหลังจากนี้จะไม่ให้น้องชายกลับไปทำงานที่อิสราเอลได้อีกแล้วเพราะกลัวจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำอีก
ขณะที่นายนัฐพงษ์ แรงงานชาวอุดรธานี ที่ได้รับบาดเจ็บเล่าให้ฟังว่า เขาอยู่ในพื้นที่สีแดง ติดกับชายแดน วันเกิดเหตุ ระเบิดลง เข้าไปหลบในหลุมหลบภัยไม่ทัน พอเสียงไซเรนมา ระเบิดก็ลง เลยโดนสะเก็ดระเบิด จากนั้นก็ช่วยกันพยุงตัวเพื่อไปอยู่ในหลุมหลบภัย ทั้งๆที่ยังเจ็บอยู่ กว่าจะได้รับความช่วยเหลือก็ 1-2 วัน ต้องรอเสียงปืนสงบ เพราะมีการยิงกันตลอดทั้งวันออกมาจากหลุมหลบภัยไม่ได้ และรถพยาบาลก็เข้าไปไม่ได้ และสถานการณ์ตอนนี้ก็ยังยิงกันตลอดเวลา ระบุว่า วันนี้ดีใจมากที่ได้กลับประเทศไทย และได้เจอกับญาติ หลังจากที่ไปทำงานที่อิสราเอล 4 ปีแล้ว และแม้จะเหลือเวลาอีก 1 ปีกว่าๆ ก็คงไม่กลับไปทำงานที่อิสราเอลอีกแล้ว
ด้านนายประเสริฐ อายุ 34 ปี แรงงานอิสราเอลชาวจังหวัดนครพนม เล่านาทีหนีตายให้กับทีมข่าวฟังว่า ตนเพิ่งไปทำงานได้เพียง 1 ปี 7 เดือน ที่ผ่านมามีการปะทะกันทางอากาศเป็นระยะ แต่ในครั้งนี้เป็นการประทะครั้งใหญ่ที่สุดและมาทุกรูปแบบ ทั้งทางอากาศ ทางน้ำ และภาคพื้นดิน
โดยในวันที่ 7 ตุลาคม เวลาประมาณ 7 โมง ตนกำลังขับรถไถเพื่อที่จะออกไปทำงาน ขับไปยังไม่ถึงไร่ ก็ต้องรีบจอดรถหลบข้างทางเพราะมีการยิงจรวดมาหลายร้อยลูก ตนต้องจอดรถและเข้าไปหลบใต้รถไถ จากนั้นได้โทรหานายจ้างแต่นายจ้างบอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวคงจะหยุดให้ไปทำงานต่อได้เลย แต่ตนดูแล้วไม่มีท่าทีว่าจะหยุด จึงรีบขับรถไถกลับแคมป์ ระหว่างที่เดินทางกลับไปในหมู่บ้าน นาทีนั้นเห็นมีกลุ่มผู้ก่อการร้ายไล่กราดยิงคนในหมู่บ้าน ตนจึงรีบเข้าแคมป์และไปหลบอยู่ในห้อง
แต่ปรากฏว่ามีกลุ่มฮามาส 3 คน เข้ามาในแคมป์ มาพังแคมป์และหาอาวุธมีดต่างๆ ตนจึงล็อกห้องและหลบอยู่ด้านใน แต่กลุ่มฮามาสเดินมาเคาะห้องและเรียกว่า "ไทยแลนด์ ไทยแลนด์" ตนคิดทันทีเลยว่าไม่น่าใช่ เพราะปกติไม่มีใครเรียกแบบนี้ จึงไม่ออกไป จากนั้นได้โทรหานายจ้างว่ามีกลุ่มฮามาสมา นายจ้างจึงได้พาทหารมาช่วย
ทหารมาช่วยประมาณ 30 นาย จึงได้จับกุมกลุ่มฮามาสไป และพาตนออกไปยังจุดที่ปลอดภัย ในนาทีก่อนที่ทหารจะมา ตนคิดว่ายังไงก็ไม่รอดแล้วชีวิตนี้ คิดถึงพ่อแม่ คิดถึงประเทศไทย และภาวนาขอให้ตนปลอดภัย สุดท้ายก็ได้รับการช่วยเหลือรู้สึกดีใจมาก
วันนี้ได้กลับบ้านก็รู้สึกดีใจ และตนก็คงจะไม่กลับไปอีกแล้ว เว้นแต่สถานการณ์จะสงบก็คงจะพิจารณาอีกครั้งว่าจะกลับไปหรือไม่