จากกรณี วันที่ 16 ต.ค. 66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้การต้อนรับแรงงานไทยที่อพยพกลับจากอิสราเอล หลังเกิดเหตุการณ์รุนแรง โดยถือว่าเป็นครั้งแรก ที่ทางการไทยส่งเครื่องบิน A340-500 ของกองทัพอากาศไปรับแรงงาน จำนวน 130 คน ถึงประเทศไทยเวลา 06.50 น. ณ ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 โดยทันทีที่เดินทางมาถึง แรงงานทั้ง 130 แบ่งเป็นชาย 127 คน หญิง 2 คน และเด็กหญิง 1 คน ได้ผ่านขั้นตอนของการตรวจคนเข้าเมือง จากนั้นได้ เซ็นเอกสารเพื่อรับเงินเยียวยาจากรัฐบาล 15,000 บาท ก่อนที่จะเดินทางไปพบญาติที่รออยู่ที่สถาบันบำราศนราดูร

 

ทั้งนี้ นายสุทิน  ได้กล่าวต้อนรับและให้กำลัง กับเจ้าหน้าที่ ที่ไปปฏิบัติภารกิจรับคนไทยครั้งนี้ โดยระบุว่า ถือเป็นภารกิจที่สำเร็จอย่างสมบูรณ์ ทุกท่านกลับมาด้วยสภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ ภารกิจสำคัญวันนี้ คือ การพาพี่น้องคนไทยกลับมาด้วยความสมบูรณ์ เห็นหน้าตา ทุกคนก็แสดงให้เห็นว่า เขารอดพ้นอันตรายแล้ว และได้กลับมาสู่ความอบอุ่นของแผ่นดินไทย ของครอบครัว เป็นเพราะความเสียสละของทุกท่านและความตั้งใจในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง ตนก็ต้องขอขอบคุณและขอให้ทุกท่านได้พักผ่อน เพื่อที่จะได้ปฏิบัติหน้าที่ในครั้งต่อไป

 

นายสุทิน ยังได้ให้สัมภาษ​ณ์เพิ่มเติมว่า ​จากนี้กองทัพอากาศ มีแผนการไปรับคนไทยอีก 5 เที่ยว ครั้งต่อไปคือวันที่ 18 ตุลาคม ไปจนถึงสิ้นเดือนตุลาคม รวมแล้วน่าจะได้ประมาณ 800 กว่าคน เมื่อรวมกับสายการบินพาณิชย์ที่มีการวางแผนไว้ ก็น่าจะประมาณ 6,000 คน ภายในสิ้นเดือนนี้

 

นายสุทิน ยอมรับว่า ยังมีอุปสรรคในการอพยพแรงงานมาที่สนามบิน เพราะในพื้นที่ยังมีการโจมตียิงจรวดกันอย่างต่อเนื่อง จึงต้องทำงานด้วยความรัดกุม เพราะเป้าหมายของเราคือทุกคนต้องปลอดภัย ส่วนปัญหาเรื่องของหนังสือเดินทางก็มีปัญหาเล็กน้อยแต่เราก็พร้อมที่จะมีการออกทดแทน

 

นายสุทิน ยังชี้แจงที่มีเด็กและชาวต่างชาติเดินทาง มาพร้อมกับการอพยพแรงงานไทย วันนี้ ว่า เป็นครอบครัวของเจ้าหน้าที่ไทยที่ปฏิบัติงานอยู่ที่อิสราเอล ถือว่าเป็นครอบครัวของเราเช่นกัน จึงเดินทางมาด้วย

 

นายสุทิน ยังได้พบปะแรงงานไทย พร้อมกล่าวว่า ทางรัฐบาลเร่งดำเนินการในการอพยพ แต่ปัญหาคือทางอิสราเอลไม่อนุญาต เค้ากำลังรบ หากเอาเครื่องบินไปเกะกะทางยุทธการของเขา ไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงกินเวลาอยู่หลายวัน

 

นายสุทิน ยังกล่าวเป็นภาษาอีสาน อยากให้ทุกคนมีกำลังใจ เรากลับบ้านด้วยกำลังใจ และอยู่กับครอบครัวทำมาหากินต่อไป ถ้าคนอีสานก็จะบอกด้วยว่า"มาเด้อขวัญเด้อ หมดทุกข์ หมดโศกแล้ว รอดตายแล้ว"

 

นายสุทิน กล่าวด้วยว่า รัฐบาลกำลังคิดแผนใหม่อยู่ว่ากำลังจะเอาเครื่องบิน C130 ที่บินไกล ไม่ได้ไปลำเลียงจากอิสราเอล ไปไว้ประเทศที่สามเช่น จอร์แดน ซาอุดิอารเบีย ดูไบ ไซปรัส  นอกจากนี้ เราคิดไปถึงขนาดว่าถ้ามันจำเป็นอาจจะต้องเสริมด้วยทางเรือ กองทัพเรือ เอาเรือไปจอดรับ แต่ตอนนี้ก็อาจจะยังไม่ถึงขั้นนั้นก็ย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ดีใจและขอให้ทุกคนเขากลับบ้านด้วยความปลอดภัย

 

ด้านอิสราเอลได้เผยแพร่ภาพของกองทัพที่โจมตีในฝั่งตอนเหนือของฉนวนกาซา เป็นปฏิบัตการโจมตีเพื่อตอยโต้กลับฮามาส

 

บรรยากาศที่กองด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศและกักกันโรค สถาบันบำราศนราดูร ตั้งแต่เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เริ่มมีญาติทยอยมารอรับคนไทยที่ลี้ภัยกลับจากประเทศอิสราเอลเป็นล็อตที่ 4 จำนวน 130 คน หลังกลุ่มฮามาสบุกถล่มทางตอนใต้ของประเทศตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม

 

โดยทันทีที่รถบัสเดินทางมาถึงและจอดลูกชายและลูกสาว ของ นายนพโรจน์ วิมลธรรมวัชร์ ชาว จังหวัดนครราชสีมา แรงงานไทยในประเทศอิสราเอลเข้าโอบกอดคุณพ่อ ซึ่งก่อนหน้านี้เด็กทั้งสองคนพยายามพูดคุยกับแม่บอกว่า “พ่ออยู่ไหน” จนสุดท้ายเด็กน้อยก็ได้เจอพ่อ ก่อนที่ทั้งพ่อและลูกจะเดินจูงมือเดินออกมา หาภรรยาและแม่ยายที่นั่งคอยอยู่

 

นายนพโรจน์ ให้สัมภาษณ์นักข่าวบอกว่า เกิดช่วงวันที่เกิดเหตุประมาณ 6 โมงเช้า ขณะที่ตัวเองพร้อมกับแรงงานไทยอีก 14 ราย ทำงานอยู่ จู่ๆ ได้ยินเสียงลักษณะคล้ายระเบิดและเสียงปืนสลับกัน วินาทีนั้นตัวเองและเพื่อนรีบวิ่งเข้าไปหลบในที่ปลอดภัย ลักษณะเป็นห้องบังเกอร์ขนาดเล็ก ไม่มีอากาศหายใจโดยใช้เวลาหลบซ่อนอยู่นานประมาณ 5- 6 ชั่วโมง ซึ่งตอนนั้นมีทหารจากกลุ่มฮามาสพยายามจะเปิดประตูเข้ามา ตอนนั้นฝั่งของตัวเองและคนงานที่เหลืออีก 10 กว่าคน พยายามดันประตูไว้ไม่ให้กลุ่มฮามาสเปิดประตูออกมาได้ ซึ่งผู้ก่อการร้ายพยายามกระชากประตูแต่ฝั่งของแรงงานไทยก็ดันเอาไว้ ยอมรับว่า ถ้าวันนั้นกลุ่มฮามาสเข้ามาได้ตัวเองคงไม่มีชีวิตรอดมาเจอครอบครัวในวันนี้ ขณะเกิดเหตุตัวเองได้เพียงแต่นึกถึงหน้าลูกและครอบครัวที่อยู่ไทย  หลังจากเห็นหน้าลูกทั้งสองคนรู้สึกดีใจมาก และ โชคดีที่เอาตัวรอดกลับมาได้ ส่วนคนในครอบครัวหลังทราบเรื่องก็รู้สึกกังวลและเป็นห่วง ส่วนเพื่อนๆ แรงงานคนอื่นก็รอดปลอดภัยไม่มีใครได้รับบาดเจ็บและไม่มีใครถูกลักพาตัวไป แต่พบว่า ในพื้นที่ดังกล่าวมีชาวยิวเสียชีวิตกว่า 100 คน ซึ่งหลังจากเกิดเรื่องตัวเองได้ติดต่อไปยังสถานทูตเพื่อขอความช่วยเหลือ หลังจากนั้นได้มีการประสานทหารเข้าช่วยเหลือ ใช้เวลาเกือบ 10 ชั่วโมง ตัวเองจึงหนีรอดออกมาได้ เมื่อถามว่าหากเหตุการณ์สงบจะกลับไปอีกหรือไม่ นายนพโรจน์  ตอบว่า “ตัวเองจะกลับไปทำงานที่เดิมอีก แต่ขอให้สถานการณ์สงบลงก่อน”

 

ด้านนางสวอง พืชทองหลาง แม่ยายของนายนพโรจน์ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวทั้งน้ำตา หลังจากได้เจอหน้าลูกเขยเป็นครั้งแรก เธอบอกว่า เมื่อคืนนอนไม่หลับเลย เพราะตื่นเต้นที่จะได้เจอลูกเขย ระหว่างที่ลูกเขยอยู่ที่ประเทศอิสราเอลตัวเองได้ตามข่าวก็รู้สึกเป็นห่วงมาก ตอนแรกติดต่อลูกเขยไม่ได้เลยแต่หลังจากที่ติดต่อลูกเขยได้หลังเกิดเรื่องก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง ส่วนหลานของตัวเองทั้งสองคน ระหว่างที่พ่ออยู่ที่อิสราเอลก็บ่นหาพ่อทุกวันเลย

 

อีกหนึ่งครอบครัวคือครอบครัวนายวุฒิพงษ์ แรงงานชาวชัยภูมิ ได้เดินทางจาก บน. 6 ดอนเมือง มารอนายวุฒิพงษ์ ที่สถาบัน​บําราศนราดูร เนื่องจากเจ้าหน้าที่ให้มารอจุดนี้จุดเดียว โดยทันทีที่ ครอบครัวเห็นหน้านายวุฒิพงษ์ ได้เข้ามาโผกอด พร้อมกับผูกข้อไม้ข้อมือเป็นการรับขวัญ ลูกชายของนายวุฒิพงษ์ ได้เข้ามากอดพ่อด้วยน้ำตา

 

นายวุฒิพงษ์ เล่าให้ทีมข่าวช่อง 8 ฟังด้วยว่า ดีใจที่ได้เดินทางกลับมาเจอหน้าครอบครัว ตอนเกิดเหตุระเบิดลงตามแคมป์คนงาน ก็หลบต้องหลบอยู่ในบังเกอร์บ้างในห้องพักบ้าง เครื่องจากจุดที่ตนเองอยู่ได้เห็นทหารอิสราเอล​ขับรถถังผ่าน ซึ่งนายวุฒิพงษ์ ก็ได้ส่งภาพดังกล่าวให้กับทีมข่าวของเราด้วย จากนี้ยังมีคลิปที่เพื่อนแรงงานได้วิ่งหนีหลบระเบิดด้วย

 

ขณะที่นางวราภรณ์​ เงินจัตุรัส ภรรยาของนายวุฒิพงษ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา เขาเล่าให้ฟังตลอดว่า มีการยิงกัน แต่ไม่ได้รุนแรงขนาดนี้ เห็นกลุ่ม ฮามาส เข้ามา 2 คน แต่ก็หลบอยู่ในบังเกอร์ ยังดีที่มีทหารอิสราเอลอยู่ตรงนั้น ตอนที่ติดต่อไม่ได้ ยอมรับว่ากินไม่ได้นอนไม่หลับเลย

 

ขณะที่ นายวานิช พรหมจรรย์ อายุ 42 ชาวบุรีรัมย์  ซึ่งเป็นแรงงานไทยที่เดินทางไปทำโรงงานภาคการเกษตร โดยทางเจ้าตัวได้เล่าถึงเหตุการณ์ ส่วนตัวได้ทำงานอยู่บริเวณแถวเขต คิปบุสต์ เบรีย์ ซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่มีการประทะกันประมาณ 2 - 3 กิโลเมตร ยอมรับว่าเหตุการณ์ในพื้นที่ที่ตนอยู่ค่อนข้างรุนแรงและมีการปะทะกันตลอดระยะเวลาทั้งวัน แต่ในส่วนตัวได้เจอเหตุการณ์ช่วงประมาณ 6 โมงเช้าของวันที่เกิดเหตุ โดยภายหลังที่ได้ยินเสียงปืนและระเบิดส่วนตัวพร้อมคนงานไทยบางส่วนได้พยายามวิ่งเข้าไปยังหลุมหลบภัยในส่วนของโรงงานที่ได้มีการจัดเตรียมไว้ ซึ่งภายหลังที่มีการหลบซ่อนอยู่ภายในปรากฏว่ามีทหารของฝั่งฮามาสบางส่วนได้ถืออาวุธปืนบุกเข้ามาและพยายามจะกระชากประตู ในใจวินาทีนั้นคิดว่าตนเองคงไม่มีชีวิตรอดกลับมาเมืองไทย แต่โชคดีว่ามีเหตุการณ์ประทะกันข้างนอกทำให้เราแถวนั้นบางส่วนได้หลีกหนีไปในจุดที่ตัวเองมีการหลบซ่อนโดยใช้เวลาประมาณ 5 นาที ที่เขาพยายามจะบุกเข้ามา ในใจตอนนั้นคิดถึงหน้าพ่อหน้าแม่ อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ตนเองยืนยันว่าจะไม่กลับไปทำงานที่อิสราเอลแล้ว ส่วนหนึ่งเพราะหวาดกลัวในเรื่องของสงคราม และส่วนหนึ่งเป็นเพราะตนเองใกล้จะหมดสัญญาเนื่องจากไปทำงานมาเป็นระยะเวลา 4 ปี จากสัญญา 5 ปี 

 

พร้อมระบุว่าในส่วนจุดบริเวณที่เข้าไปหลบซ่อนนั้น มีแรงงานไทยด้วยกันประมาณ 10 คน โดยเป็นการเข้าไปหลบซ่อนในพื้นที่ 3 เมตร คูณ 2  เมตร  ใช้เวลาในการหลบซ่อนตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึง 4 โมงเย็น โดยที่ไม่มีอากาศหายใจภายใน ต้องผลัดกันเอาจมูกไปจ่อท่อระบายอากาศขนาดเท่าท่อน้ำเล็กๆ ผลัดกันคนละครั้ง ในจำนวน 10 คน ส่วนอาหารการกินก็ไม่มี อดน้ำอดอาหาร หลังจากนั้น ก็ได้มีการประสานกับทางแรงงานคนใช้ที่บริเวณด้านนอกว่าเหตุการณ์ปลอดภัยหรือไม่ หลังจากที่ได้รับการคอนเฟิร์มจากรายงานที่อยู่ด้านนอกในส่วนของตนและเพื่อนที่เข้าไปอยู่ในบริเวณโด่งกับใครก็ได้และขอความช่วยเหลือในส่วนของทหารฝั่งอิสราเอล “ยืนยันว่าในกลุ่มคนงานที่อยู่ในโซนเดียวกับตนไม่มีคนไทยได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใดอจะมีแค่คนอิสราเอลที่เสียชีวิตและโดนยิง  เผยครั้งนี้ครั้งแรกที่เจอเหตุการณ์ลักษณะแบบนี้กลัวและไม่กล้ากลับไป หลังจากนี้ตนเองก็จะเดินทางกลับบ้านเกิดทันที

130 แรงงานรอดตายกลับบ้าน เล่าฝันร้ายนาทีระเบิดถล่ม 2 หนูน้อยกอดพ่อรับขวัญ