เกิดเหตุสาดน้ำกรดกลางห้องผู้ป่วยหญิงภายในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดสระบุรี มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย คือ นางสาวน้ำฝน ถูกแทงที่ลำตัว แขน และหลัง และถูกสาดน้ำกรดที่บริเวณลำตัวและใบหน้า และผู้บาดเจ็บรายที่ 2 คือนายต้น (นามสมมติ) ชายคนสนิทของนางสาวน้ำฝน ถูกน้ำกรดสาดเข้าที่ใบหน้าและดวงตา
ส่วนผู้ก่อเหตุคือนายปราโมทย์ หรือนายหมู หลังก่อเหตุได้ซ้อนรถมอเตอไซค์ของเพื่อนหลบหนีออกไป เหตุเกิดเมื่อเวลาประมาณ 23:00 น. ของวันที่ 15 ตุลาคม 2566
ทีมข่าวช่อง 8 ได้ภาพจากกล้องวงจรปิดก่อนจะเกิดเหตุ พบว่า เวลา 20.06 น. ผู้ก่อเหตุ (คนถอดเสื้อ ด้านซ้ายของภาพ) ได้ดื่มเบียร์อยู่ที่ร้านค้าแห่งหนึ่ง ก่อนจะไปก่อเหตุสาดน้ำกรดใส่อดีตภรรยา
สอบถามนางสาวน้อย (นามสมมติ) ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า เมื่อวันที่ 15 ต.ค. เวลาประมาณ 15.00 น. นายปราโมทย์ ผู้ก่อเหตุ ได้ตามมาง้อขอคืนดีกับนางสาวน้ำฝน แต่นางสาวน้ำฝนไม่ยอมคืนดี ทำให้นายปราโมทย์โมโหและใช้มีดแทงตามลำตัวของนางสาวสายฝนจนได้รับบาดเจ็บ จากนั้นนายต้น ชายคนสนิทของนางสาวสายฝน จึงพาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล
ต่อมาเวลาประมาณ 22.30 น. พอนายปราโมทย์รู้ว่านางสายฝน รักษาตัวอยู่โรงพยาบาล โดยมีนายต้นชายคนสนิทเฝ้าไข้อยู่ นายปราโมทย์จึงให้เพื่อนขี่รถมอเตอไซค์มาส่งที่หน้าโรงพยาบาล แล้วเจ้าตัวถือขวดใส่น้ำกรด เข้าไปยังห้องผู้ป่วยหญิง สาดน้ำกรดใส่นางสาวน้ำฝนและนายต้นชายคนสนิทของนางสาวน้ำฝนจนได้รับบาดเจ็บทั้งสองคน ซึ่งนางสาวน้ำฝนก็โดนน้ำกรดที่บริเวณใบหน้าและลำตัว ส่วนนายต้นไม่รู้ว่าโดนตรงไหน
หลังจากก่อเหตุเสร็จ นายปราโมทย์ได้วิ่งมาขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ คันที่จอดรอหน้าโรงพยาบาล ก่อนที่จะหลบหนีไปบริเวณทางด้านหลังของโรงพยาบาล
สำหรับนายปราโมทย์และนางสาวน้ำฝน ทั้งสองเลิกกันได้ประมาณ 2 ปี เนื่องจากมีปัญหาทะเลาะกัน และฝ่ายชายจะขี้หึง ชอบทำร้ายร่างกายฝ่ายหญิงเป็นประจำ และนอกจากนี้ นายปราโมทย์ยังมีพฤติกรรมเรื่องของการเสพยาเสพติดอีกด้วย รวมถึงเป็นน้องชายของกำนันในพื้นที่ ส่วนนางสาวน้ำฝนผู้บาดเจ็บนั้น ก็เป็นคนอัธยาศัยดี
ต่อมาทีมข่าวช่อง 8 เดินทางมายังบ้านของผู้ก่อเหตุ พบว่าเจ้าตัวไม่อยู่บ้าน ได้พูดคุยกับนายวินัย กำนันตำบลบ้านป่า พี่ชายของผู้ก่อเหตุ ให้สัมภาษณ์ว่า ส่วนตัวไม่ค่อยได้สุงสิงกับน้องชาย เนื่องจากอยู่บ้านคนละหลัง แต่ก็พอทราบว่าน้องชายและภรรยาซึ่งเป็นสาวชาวลาว มีปากเสียงทะเลาะกันเป็นประจำตามประสาผัวเมีย
ช่วงเที่ยงที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลที่เกิดเหตุได้โทรศัพท์มาบอกตัวเองว่า นายปราโมทย์น้องชายตัวเอง ได้ก่อเหตุแทงอดีตภรรยา จนได้รับบาดเจ็บเข้าโรงพยาบาล แต่ทางโรงพยาบาลไม่ได้แจ้งเรื่องที่ว่า น้องชายได้ไปก่อเหตุสาดน้ำกรดใส่ภรรยาให้ตัวเองฟัง เพิ่งมาทราบจากทีมข่าวที่มาถึงบ้านในวันนี้ ยอมรับว่ารู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งหลังเกิดเหตุตั้งแต่เมื่อคืนนี้ น้องชายก็ยังไม่กลับมาบ้านเลย และตัวเองก็ติดต่อเขาไม่ได้
เหตุที่เกิดขึ้น ตัวเองก็ยอมรับว่า น้องชายเป็นคนใจร้อน โมโหง่าย ถึงตัวเองจะเป็นกำนัน ตัวเองก็จะไม่ขอเข้าข้างน้องชายแต่อย่างใด เรื่องคดีก็ปล่อยไปตามกระบวนการของกฎหมาย
ทีมข่าวได้พูดคุยกับนางนุช (นามสมมติ) ญาติของนายต้น ให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อวานนี้ตอนเกิดเหตุ นายต้นและนางสาวน้ำฝน ซึ่งทั้งสองคนกำลังคบหากันอยู่ และอยู่ในบ้าน จู่ๆ นายปราโมทย์ผู้ก่อเหตุได้แอบเข้ามาทางหลังบ้านของนายต้น แล้วล็อกคอนางสาวน้ำฝน ก่อนใช้มีดแทงตามตัวของนางสาวน้ำฝนหลายครั้ง จากนั้นนายต้นและเด็กวัยรุ่นที่อยู่แถวนั้นได้ช่วยกันแย่งมีดออกมาจนช่วยเหลือนางสาวน้ำฝนได้ ส่วนนายปราโมทย์ผู้ก่อเหตุได้วิ่งหนีออกทางหลังบ้าน คาดว่าจอดรถมอเตอร์ไซต์ไว้แถวนั้นแล้วจึงขี่รถหลบหนีไป
จากนั้น นายต้นก็ได้พานางสาวน้ำฝนส่งโรงพยาบาล กระทั่งมาถูกนายปราโมทย์บุกเข้าสาดน้ำกรดใส่นายต้นญาติและนางสาวน้ำฝนถึงห้องผู้ป่วยหญิง จนทั้งสองคนได้รับบาดเจ็บ โดยนายต้นญาติของตัวเองถูกน้ำกรดสาดเข้าที่ตา ใบหู และปาก เมื่อเช้าตัวเองก็ได้ไปเยี่ยมนายต้นที่โรงพยาบาลสระบุรี เพราะเขาถูกส่งตัวไปที่นั่น อาการในต้นตอนนี้ก็ปลอดภัยแล้ว แต่ก็เป็นห่วงเรื่องดวงตา ไม่รู้จะกลับมามองเห็นได้เหมือนเดิมหรือไม่
ตัวเองบอกว่า เหตุการณ์ครั้งนี้นายปราโมทย์ก่อเหตุโหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก ทั้งที่นางสาวน้ำฝนก็เลิกรากับเขาแล้ว ส่วนนายต้นญาติของตัวเองก็เป็นแฟนใหม่ของนางสาวน้ำฝนที่ทั้งคู่เพิ่งคบกันได้ไม่นาน
ทีมข่าวช่อง 8 ได้สัมภาษณ์ น.ส.น้ำฝน ทางโทรศัพท์ เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า เมื่อช่วงบ่าย นายปราโมทย์อดีตสามีได้นำมีดยาวคล้ายสปาร์ต้ามาจ้วงแทงตัวเองจนได้รับบาดเจ็บ ก่อนที่ตัวเองจะพยายามแย่งมีดกลับมา ตอนนั้นได้แต่คิดในใจว่าถ้าตายไปก็สงสารลูก ไม่รู้ว่าลูกจะอยู่อย่างไร นายปราโมทย์ยังบอกกับตัวเองอีกว่า "ยังไงมึงก็ต้องตาย" ก่อนที่ตัวเองจะต่อสู้กับเขา ต่างคนต่างต่อสู้ แล้วก็มารักษาตัวที่โรงพยาบาล หลังจากนั้นก็ถูกผู้ก่อเหตุนำน้ำกรดมาสาดอยู่ที่โรงพยาบาลอีกครั้ง