จากกรณีสงครามในประเทศอิสราเอล  ส่งผลให้มีคนไทยได้รับผลกระทบเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว ล่าสุดทีมข่าวได้คลิปวิดีโอ เป็นภาพที่รถคันหนึ่งมีสภาพยับเยิน มีร่องรอยรูกระสุน และถูกทุบตีคล้ายว่าโดนถล่มมา

 

ทราบชื่อต่อมาว่าเป็นรถของนายพิทักษ์ ซึ่งพบเป็นศพนอนอยู่บนถนน คาดว่าเป็นแรงงานไทยที่ถูกฮามาสทำร้ายจนเสียชีวิต 

 

ล่าสุด ทีมข่าวของเราลงพื้นที่ไปที่บ้าน นาย พิทักษ์ โทแหล่ง อายุ 54 ปี แรงงานไทยที่เสียชีวิตในประเทศอิสราเอล อยู่ที่บ้านป่าหวาย ต.ดอนดู่ อ.หนองสองห้อง จ.ขอนแก่น

 

เจอกับ นายผาย โทแหล่ง อายุ 81 ปี พ่อของนายพิทักษ์ ที่ยังคงเสียใจ เหม่อลอย กินข้าวไม่ได้นอนไม่หลับ จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คิดถึงแต่ลูกชาย

 

เพราะนายพิทักษ์ เป็นคนสนุกสนาน มักจะโทรศัพท์มาคุยเล่นกับพ่อและครอบครัวเป็นประจำ และเป็นคนรักครอบครัว เลี้ยงดูส่งเสียพ่อมาโดยตลอด

 

นายพิทักษ์ บอกกับทีมข่าวของเราว่าตัวเองก็แก่แล้วหวังเห็นลูกชายมีความสุขกลับมาอยู่ที่บ้านด้วยกันเพราะเมื่อปลายปีที่แล้วลูกชายกลับมามาหาที่บ้านก็คุยกันว่าเดี๋ยวสิ้นปีนี้จะมาหาใหม่แล้วอาจจะมาอยู่ที่บ้านเลย  ไม่นึกว่าจะมาเกิดเหตุการณ์แบบนี้ก่อน

 

ตอนนี้ทราบดีว่าลูกชายแม้จะเสียชีวิตไปแล้วแต่ก็ยังรับไม่ได้ยังคงมีความคิดว่าอยากให้ลูกชายกลับมาหาที่บ้านแบบปกติมาครบ 32 ประการคิดแบบนี้อยู่ทุกวันตั้งแต่ทราบข่าว

 

ส่วนเรื่องร่างของลูกชายนั้นเป็นไปได้อยากให้นำกลับมาอยากน้อยที่สุดแม้จะไม่ได้เห็นตอนมีชีวิตได้เห็นตอนมีชีวิตก็ถือว่าดีที่สุดแล้วสำหรับคนเป็นพ่อ

ด้าน นางยุพิน ปัสสาวะโก อายุ 56 ปี พี่สาวของนายพิทักษ์บอกว่า ได้รับทราบข่าวจากหลานสาวซึ่งเป็นลูกของนายพิทักษ์ที่อยู่กรุงเทพ บอกว่าน้องชายถูกยิงอยู่ภายในรถเก๋งจนพรุนทั้งคัน ก่อนที่กลุ่มฮามาสจะถีบร่างไร้วิญญาณของนายพิทักษ์ทิ้งอยู่กลางถนนในประเทศอิสราเอลในพื้นที่ใกล้กับฉนวนกาซา

 

นางยุพินบอกว่า น้องชายเป็นคนสนุกสนานชอบหมอลำ มาก ส่วนตัวแล้วอยากให้นำศพกลับมาทำพิธีที่ไทย แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับลูกเขาทั้งลูกที่อิสราเอลและลูกที่ไทย เพราะ น้องชายทำงานมากว่า 20 ปี จนรู้ภาษาและมีภรรยาเป็นชาวอิสราเอล และมีลูกชายอีกหนึ่งคน กับภรรยาชาวอิสราเอลตอนนี้ลูกชาย  อายุ 17 ปีแล้ว

 

ส่วนตัวไม่คิดว่าเหตุการณ์เลวร้ายนี้จะเกิดขึ้นกับน้องชายของตัวเองเนื่องจากน้องชายของตัวเองอยู่ที่นั่นนานนานแล้วตอนที่ทราบข่าวว่ามีเหตุการณ์ความไม่สงบคิดว่าน้องชายต้องรู้ทางนี้ทีไล่  พอมาทราบข่าวแล้วยิ่งหดหู่ใจสงสารน้องชายตัวเองมาก

 

ตอนนี้อยากให้น้องชายกลับไปสู่สุคติอยากให้ดวงวิญญาณกลับมาบ้านเกิดกับเรา  และขอให้ไปอยู่ในภพภูมิที่ดี

 

ด้าน นางสาว จำปี พงษ์ไธสง อายุ63 ปี แฟนคนปัจจุบันของนายพิทักษ์ เปิดเผยกับทีมข่าวของเราว่าตอนนี้ตัวเองกลายเป็นสาวที่หม้ายขันหมาก เพราะว่าตัวเองเป็นแฟนคนล่าสุดกับนายพิทักษ์และจะเตรียมจะมาตกแต่งกันใน ปีหน้า เมื่อปลายปีที่แล้วได้ทำพิธีหมั้นไว้แล้ว แต่ตอนนี้นายพิทักษ์มาเสียชีวิตไปก่อนทำให้ตัวเองเสียใจมากและกลายเป็นสาวหม้ายขันมาก

 

นางสาวจำปีบอกว่านายพิทักษ์เป็นคนในหมู่บ้านเดียวกันก่อนหน้านี้ นายพิทักษ์มีภรรยาคนแรกมีลูกด้วยกันสองคนอยู่ที่ประเทศไทย แต่ภรรยาก็เสียชีวิตแล้ว จนนายพิทักษ์ไปทำงานที่ประเทศอิสราเอล ก็มีภรรยาชาวอิสราเอลแล้วก็มีลูกด้วยกันหนึ่งคน ตัวเองก็ไม่ได้สนใจอะไร

 

จนเมื่อปลายปีที่ผ่านมานายพิทักษ์เดินทางกลับมาที่บ้านทำให้ได้มีโอกาสเจอกันและนายพิทักษ์บอกว่าได้หย่าร้างกับภรรยาชาวอิสราเอลแล้วจึงได้มาคบหากับตัวเอง ที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยและทำพิธีหมั้นกันเอาไว้แล้วบอกว่าเดี๋ยวปีหน้าจะมาตกแต่งเพราะนายพิทักษ์ตั้งใจจะกลับมาอยู่บ้านอย่างถาวรในปีหน้า

 

นางสาวจำปีบอกว่า ตั้งแต่ที่หมั้นกันปลายปีที่แล้วก็วีดีโอคอลพูดคุยกับนายพิทักษ์เกือบทุกวัน ในวันที่เกิดเหตุนั้นช่วงเช้าก็วีดีโอคอลคุยอยู่กับนายพิทักษ์อยู่อยู่ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นหลายนัดแล้วโทรศัพท์ก็ตัดไปและไม่สามารถติดต่อนายพิทักษ์ได้อีกเลยจนมาทราบข่าวอีกทีนึงว่าเสียชีวิตแล้วตอนนี้เสียใจมาก

 

นางสาวจำปีบอกว่าเสียดายที่ชีวิตนี้คิดเอาไว้ว่าจะอยู่อยู่ด้วยกันสองคนผัวเมียในช่วงบั้นปลายชีวิตเพราะว่านายพิทักษ์เป็นคนใจดีดูแลครอบครัวดีส่งเงินมาให้ตัวเองทุกเดือนเดือนละ 1500 บาทแม้ว่ายังไม่ได้แต่งงานกัน แต่กลุ่มฮามาสก็มาพรากเอาชีวิตคู่ของตัวเองไปแล้ว

 

ทีมข่าวของเรา วีดีโอคอล คุยกับ นายศักดิ์สกุล คลังชำนาญแรงงานไทย ที่อยู่ในประเทศอิสราเอลแล้วเป็นคนที่เห็นเหตุการณ์จังหวะที่นายพิทักษ์โดนกลุ่มฮามาสปล้นรถ

 

นาย ศักดิ์สกุล คลังชำนาญ บอกว่าตัวเอง อยู่ใกล้กับจุดเกิดเหตุที่นายพิทักษ์โดนปล้นรถ ซึ่งเป็นบริเวณทางเข้าหมู่บ้าน ตอนนั้นเห็นว่ารถนายพิทักษ์ขับมาแล้วก็มี กลุ่มฮามาสขับรถจักรยานยนต์มาสองคันคันละ2คน เข้าประกบข้างรถนายพิทักษ์แล้วก็กระหน่ำยิง พอนายพิทักษ์ถูกยิงจนรถเสียหลักและเห็นว่านายพิทักษ์เสียชีวิตแล้วกลุ่มฮามาสทีปนายพิทักษ์ลงจากรถ แล้วกลุ่มฮามาส ก็ปล้นรถของนายพิทักษ์เพื่ออำพรางทหารอิสราเอลเข้าไปจู่โจมในหมู่บ้าน

 

เนื่องจากปกติทหารอิสราเอลจะยอมเปิดทางให้รถใหญ่ซึ่งเชื่อว่าเป็นรถของคนอิสราเอลหรือรถคนไทยเข้าไปในหมู่บ้านได้  ซึ่งตัวเองอยู่ในหมู่บ้านดังกล่าวก็เห็นตอนที่รถของนายพิทักษ์ซึ่งถูกปล้นโดยกลุ่มฮามาสแล้วขับเข้ามาในหมู่บ้าน พอทหารอิสราเอลรู้ว่าคนในรถ ไม่ ใช่คนไทย ทำให้ตอนนั้นเกิดชุลมุนปะทะกับทหารอิสราเอลด้วย

 

นายศักดิ์สกุล บอกว่าตัวเองไม่ได้รู้จักกับนายพิทักษ์เป็นการส่วนตัวแต่หลังจากพบเป็นศพถูกทิ้งเอาไว้ริมถนนก็มีการตามหาญาติจนสุดท้ายคนในแคมป์ก็บอกว่าคนนี้คือนายพิทักษ์จึงรีบแจ้งญาติไปว่านายพิทักษ์เสียชีวิตแล้ว ส่วนตัวเองตอนนี้ก็ต้องอพยพออกมาจากแคมป์ดังกล่าวหลังจากเกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายที่กลุ่มฮามาสปล้นรถของนายพิทักษ์เพื่อเข้าไปจู่โจมซึ่งมีชีวิตรอดมาได้ตอนนี้ก็อยากจะเดินทางกลับไทยให้เร็วที่สุดเหมือนกัน

 

ทีมข่าวได้พบกับ นางสาวประภัสสร ศรีสวัสดิ์ แรงงานหญิงไทยที่ เดินทางกลับมาจากประเทศอิสราเอลในล็อตที่ 4  เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พร้อมกับ ส่งคลิปวิดีโอที่ถ่ายไว้ขณะที่เกิดการสู้รบในตอนกลางคืนให้ทีมข่าวดู และเล่าว่าวันที่เกิดเหตุกำลังจะลุกไปทำงาน แต่ระเบิดมาก่อน 3 ลูก 2 ลูกแรก สกัดไม่ได้เลยทำให้ระเบิดลงมาไม่ไกลจากแคมป์ของตนเอง ส่วนลูกที่ 3 ก็มีการประกาศให้วิ่งเข้าหลุมหลบภัย พอเข้าหลุมหลบภัย ระเบิดก็มารัวๆ เป็นร้อยลูก ซึ่งเพื่อนคนงาน โดนสะเก็ดระเบิด

 

พร้อมยอมรับว่า ตนเองกลัวระเบิด แต่ไม่ได้กลัวว่าเขาจะจับเป็นตัวประกัน แต่กลัวเขาจะฆ่าเลย เนื่องจากเห็นข่าวที่เห็นไปยิงคนในห้อง แรงงานในห้อง ทำให้คนในแคมป์จะไม่อยู่โดมที่หลบภัย ก็จะวิ่งหนีอย่างเดียว ทั้งนี้ไม่เห็นคนร้าย เห็นแค่โดรนในการบินวน และยิงเข้ามาที่บ้านนายจ้าง ตอนแรกไม่รู้ว่าเป็นกลุ่มฮามาส นึกว่าทหารเลยนั่งดูเฉยๆ

 

ส่วนแรงงานที่หลบอยู่ด้วยกันมีทั้งหมด 7 คน ผู้ชาย 5 คน และผู้หญิง 2 คน ทั้งนี้กลุ่มฮามาสไม่ได้เดินมาที่พวกตนเองที่หลบอยู่เพราะ ถ้าเดินมาจะต้องผ่านบ้านนายจ้างก่อน แต่มีทหารเข้ามาแล้ว พวกนั้นเลยกลัวไม่ได้เข้ามา และตอนที่อยู่อิสราเอล ตนเองคอยระแวง นอนไม่หลับ นอนไม่ได้เลย ต้องหลบอยู่ในหลุมหลบภัยทั้งวันทั้งคืนกว่านายจ้างจะพาออกมา โดยนายจ้างพาออกมาวันที่ 8 ต.ค. ไปพักทางตอนใต้ติดกับจอร์แดน

  

นางสาวประภัสสร ยังบอกอีกว่า ตนเอง ไปทำงานสวน ไปคนเดียว และวันนี้กลับมาประเทศไทยแล้วรู้สึกโล่งใจ แต่ไม่ได้ให้คนในครอบครัวมารับเดี๋ยวกลับเองได้ เพราะก่อนหน้านี้ครอบครัวก็โทรมาให้กลับบ้านตลอด พร้อมบอกอีกว่า ตนเองพึ่งไปได้ 5 เดือนเอง จากสัญญา 5 ปี 3 เดือน ถ้าเหตุการณ์สงบก็คงกลับไปอีก เพราะไปทำงานที่นั่น สามารถทำให้มีรายได้จุนเจือครอบครัวได้เยอะ