จากกรณีเพจ “Survive - สายไหม้ต้องรอด” โพสต์คลิปวงจรปิด พรัอมระบุข้อความว่า “แอดคะ คนร้ายที่ยิงสามีของดิฉันเสียชีวิตเมื่อปี 65 ได้ประกันตัวออกมา จู่ๆวันก่อนบุกมาคุกคามและทำร้ายร่างกายพยานสำคัญในคดีถึงที่บ้าน ดิฉันและลูกวัย 2 ขวบกว่ารู้สึกไม่ปลอดภัยกับชีวิตเลยค่ะ ไม่รู้ว่าวันไหนมันจะบุกเอาปืนมายิงพวกเราเหมือนที่ยิงสามีดิฉันตาย อยากให้คนร้ายได้รับโทษโดยเร็วตอนนี้คดีล่าช้ามากเลยค่ะ ดิฉันต้องใช้ชีวิตด้วยความยากลำบาก หวาดระแวงตลอดเลยค่ะ เพจสายไหมต้องรอด ช่วยด้วยนะคะ พรุ่งนี้พี่เอกจะลงพื้นที่ไปติดตามความคืบหน้าของคดีและขอให้พนักงานสอบสวนเพิ่งถอนการประกันตัวด้วยค่ะ”
สืบเนื่องจากนายวุฒิภัทร ก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิง นายวิรัช อายุ 44 ปี สามีของนางสาวฐิติชญา เสียชีวิตเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 ก่อนที่ผู้ก่อเหตุจะเข้ามอบตัวและขอศาลประกันตัวออกมา และไปก่อเหตุซ้ำด้วยการเข้าไปทำร้ายร่างกาย นายปอนด์ นามสมมติ ซึ่งเป็นเพื่อนของผู้ตายและพยานของคดีดังกล่าว ที่ปรากฏคลิปตามกล้องวงจรปิดเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ที่ผ่านมา
ภาพกล้องวงจรปิดใช้เป็นพยานหลักฐานได้อย่างชัดเจนเพื่อร้องตำรวจถอนการประกันตัว
นี่เป็นภาพหลักฐานจากกล้องวงจรปิด เมื่อ15 ตุลาคม ที่ผ่านมา ช่วง 18 นาฬิกา ภายในร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ ซ.เทศบาล 2 ต.พิมลราช อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี บันทึกภาพชายคนหนึ่ง ใส่เสื้อแขนกุดสีเทาที่กำลังบีบคอชายคนหนึ่งจนกระเด็นเข้ามาในร้าน และถามว่า "มึงจำกูได้ไหม จำกูได้เปล่า" จังหวะนั้นมีไรเดอร์คนหนึ่งเข้ามาช่วย ด้วยการถีบคนร้ายออกจากตัวชายที่กำลังโดนบีบคอ พอดิ้นหลุดได้ คนที่โดนบีบคอก็วิ่งหนีเข้าไปในร้านซ่อมรถ
ขณะที่กล้องวงจรปิดอีกมุมหนึ่งจะเห็นว่าคนร้ายขับรถยนต์ สีขาว ตั้งใจมาจอดที่ข้าง ๆ ร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ และทันทีที่จอดรถ คนขับก็เปิดประตูรถลงมาไล่ทำร้ายชายที่นั่งอยู่ข้างร้านเกิดเหตุ และเมื่อทำร้ายเสร็จก็วิ่งกลับไปขึ้นรถขับหลหนีไป
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากคลิปดังกล่าววันนี้ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด พร้อมด้วยทีมงาน ได้พาภรรยาของผู้ที่ถูกยิงเสียชีวิต และชายที่ถูกทำร้ายร่างกายเข้าพบกับพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรบางบัวทอง เพื่อขอให้เพิกถอนประกันตัวผู้ที่ก่อเหตุ
สาวผวามือปืนฆ่าผัว ออกมาทำร้ายคนในบ้าน
วันที่ 17 ตุลาคม 2566 ทีมข่าวได้สอบถาม นางสาวฐิติชญา ภรรยาที่สามีเคยถูกผู้ก่อเหตุยิงเสียชีวิตมาก่อนหน้านี้ เล่าว่า ตนเองต้องหอบลูกน้อยวิ่งหนีเหตุการณ์แบบนี้มา 2 ครั้งแล้ว และคนก่อเหตุยังเป็นคนเดียวกัน คือ นายวุฒิภัทร โดยเธอเล่าว่า ปี 2565 นายวุฒิภัทร บุกมายิงสามีตนเองต่อหน้าที่หน้าร้านซ่อมรถจุดเดียวกันนี้ โดยปมเหตุมาจากเรื่องเล็กน้อย สามีเธอเคยต่อว่าที่นายวุฒิภัทรมาแซวเธอ แต่ก็ไม่ได้ทะเลาะอะไร ไม่คิดว่าจะถึงขั้นบุกมายิง ครั้งนั้นตั้งใจมาจอดรถแล้วลงมายิง ตนเองต้องหอบลูกวิ่งหนี และคดีนี้มีทั้งพยานหลักฐาน ทำให้นายวุฒิภัทรก็ถูกจับแจ้งข้อหา แต่มีการประกันตัวออกมา และพบว่ามีการเปลี่ยนชื่อ นามสกุล ซึ่งตอนก่อเหตุคดียิงสามี ชื่อ นายอานนท์ พอประกันตัวออกมาจึงเปลี่ยนชื่อเป็นวุฒิภัทร การกระทำกับผู้ก่อเหตุไม่เกรงกลัวกฎหมาย และยังทำให้ตนเองเกิดความหวัดกลัวจึงอยากจะให้ตำรวจ ดำเนินการถอนประกันและนำตัวเข้าไปอยู่ในเรือนจำ เพราะหากผู้ก่อเหตุยังอยู่ข้างนอกตนเอง เกรงว่าจะไม่ได้รับความปลอดภัย
ตำรวจเตรียมถอนประกันตัว และจะนำตัวมาสอบปากคำเพิ่มเติมวันนี้
ด้าน พ.ต.อ.พฤฒ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรบางบัวทอง เปิดเผยว่า เรื่องที่เกิดขึ้นจะแยกเป็นสองคดี คดีแรกจะดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องทำร้ายร่างกายเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ที่ผ่านมา ส่วนคดีที่สองจะให้พนักงานสอบสวนไปยื่นเรื่องคัดค้านการประกันตัวที่ศาล เนื่องจากผู้ก่อเหตุได้ออกมาแล้วทำความเดือดร้อนข่มขู่พยาน จึงต้องจำเป็นเก็บตัวให้ผู้ก่อเหตุไปอยู่ในที่ต้องอยู่ ซึ่งวันนี้จะเชิญตัวผู้ที่ก่อเหตุมาสอบปากคำและ แจ้งข้อกล่าวหา และเตรียมที่จะให้ฝ่ายสืบสวน เข้าตรวจสอบคนบ้านของผู้ก่อเหตุด้วย ยืนยันว่าบุคคลที่ก่อเหตุไม่ใช่ผู้มีอิทธิพลหรือมีผู้อยู่เบื้องหลังตำรวจทำงานอย่างเต็มที่และผู้เสียหายก็ไม่ต้องเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมเพราะสามีของผู้เสียหายที่ถูกยิงเสียชีวิตนั้นยังเป็นน้องชายของตำรวจที่สถานีตำรวจภูธรบางบัวทองด้วย
ขณะที่ความคืบหน้าของคดีล่าสุด พ.ต.อ.พฤฒ ระบุว่าเบื้องต้นผู้ก่อเหตุได้ประสานเข้ามาเพื่อขอมอบตัวแล้ว ขณะนี้อยู่ที่จังหวัดระยอง จะขอมอบตัวในวันพรุ่งนี้เวลา 8 โมงเช้า
พยานคดีคนร้ายยิงช่างซ่อมรถ เล่านาทีถูกคนร้ายรายเดิม บุกบีบคอถาม "จำกูได้ไหม" ก่อนใช้ไม้ตีซี่โครงช้ำ
ขณะที่ทีมข่าวพบกับนายปอนด์ (นามสมมติ) ผู้ที่ปรากฏภาพถูกทำร้ายในคลิป ซึ่งเป็นพยานปากสำคัญในคดียิงคนตาย ปี 2565 และถูกคนร้ายที่ประกันตัว ย้อนกลับมาทำร้ายเมื่อ 15 ตุลาคม ที่ผ่านมา พร้อมเปิดบาดแผลที่ถูกทำร้ายให้ดู ยังมีรอยฟกช้ำและแผลที่เห็นชัด จากการโดนไม้ฟาดอย่างแรง
พร้อมเล่าว่า เย็นวันที่ 15 ตุลาคม มานั่งที่ข้างร้านซ่อมรถ เพื่อรอรับออร์เดอร์ลูกค้ากับกลุ่มไรเดอร์คนอื่น ๆ แต่จู่ ๆ ก็มีรถยนต์ขับมาจอดและเห็นคนขับวิ่งลงมาพุ่งเข้าบีบคอเขา ส่วนคนร้ายอีกคน ก็ถือไม้ลงมาฟาดเขาด้วย ซึ่งจังหวะที่โดนบีบคอ เห็นหน้าคนร้ายจำได้ว่าเป็นมือยิงที่ก่อเหตุ ยิงช่างซ่อมรถตาย ซึ่งเขาเป็นพยานคดีนี้ด้วย
โดยคนร้ายบีบคอแล้วถามว่า "มึงจำกูได้ไหม" ถามซ้ำอยู่แบบนั้น และบีบคอแรง ๆ จนเพื่อนไรเดอร์เข้ามาช่วยเหลือ คนร้ายจึงหลบหนีไป พร้อมระบุว่า บอกว่าตอนนี้กลัวมากว่าคนร้ายจะย้อนกลับมาก่อเหตุทำร้ายตัวเองอีก และยังห่วงครอบครัวตัวเองด้วย เพราะมีลูกเล็กเหมือนกัน และพฤติการณ์ขคนร้ายก็อุกอาจ ไม่เกรงกลัวกฎหมาย
ส่วนการเป็นพยานคดียิงปี 2565 มาจากที่ตัวเขาเองเป็นเพื่อนกับคนตาย วันเกิดเหตุนั่งกินเหล้าด้วยกัน ส่วนคนก่อเหตุกินอีกวงใกล้ ๆ กันก็มีการพูดจาไม่ถูกหูกันบ้าง แต่ไม่ได้หนักหนาอะไร ไม่คิดว่าจะบานปลาย เขาก็กลับบ้านไปมารู้อีกทีว่าเพื่อนโดนยิง จึงไปเป็นพยานให้ว่า คนก่อเหตุคือนายวุฒภัทร ที่มีเรื่องกันก่อนหน้านี้
ผู้ก่อเหตุยิงผู้อื่นเสียชีวิต ก่อนประกันตัวออกมาไปทำร้ายร่างกายพยานระบุ ไม่รู้ว่าคนที่ตนเองทำร้ายเป็นพยานแต่ที่ทำร้ายเพราะเคยมีเรื่องชกต่อยกันมาก่อน
ขณะที่ต่อมา ทีมข่าวติดต่อทางโทรศัพท์ ไปสอบถามกับนาย วุฒิภัทร (ผู้ก่อเหตุ) เล่าว่า ตนกับผู้บาดเจ็บเคยมีเรื่องชกต่อยกันมาก่อนจึงมีความโกรธแค้นในใจ ในวันที่เกิดเหตุตนขับรถผ่านไปแถวนั้น เห็นผู้บาดเจ็บนั่งอยู่หน้าร้านพัสดุก่อสร้าง จึงรู้สึกโมโห ขาดสติ จึงขับรถไปจอดหน้าร้านพัสดุก่อสร้าง แล้วเข้าไปผลักผู้บาดเจ็บ พร้อมกับถามว่า "มึงจำกูได้ไหม" เป็นเหตุทำให้ผู้บาดเจ็บหงายท้องตกลงไปฝั่งร้านซ่อมจักรยานยนต์
ยืนยันว่าตนไม่ได้บุกรุกตามคำกล่าวอ้าง และไม่ได้มีเจตนาจะไปทำร้ายพยานในคดี เพราะตนยังไม่รู้เลยว่าผู้บาดเจ็บเป็นพยานในคดีด้วยซ้ำ
ตนยืนยันว่าไม่ได้มีไม้หรืออาวุธใด ๆ ไปทำร้ายตามคำกล่าวอ้างเลย รู้สึกว่าตอนนี้ตนเป็นผู้ถูกกระทำในการถูกผู้บาดเจ็บกล่าวหาด้วยซ้ำ จึงอยากชี้แจงในมุมมองของตน และสำนึกในสิ่งที่ตัวเองทำพร้อมกับรอชดใช้กรรมในสิ่งที่ตนทำด้วย ส่วนเรื่องการเปลี่ยนชื่อเป็นการเปลี่ยนเอาเคล็ด เพราะชื่อเก่าความหมายไม่ดี จึงอยากเปลี่ยนเพื่อความเป็นสิริมงคล
เพื่อนสนิทของผู้ตายและผู้ก่อเหตุระบุปมเหตุมาจากเรื่องผู้ตายไม่พอใจที่ผู้ก่อเหตุยิงไปแซวภรรยา
ทีมข่าวยังได้สอบถามกับคนสนิทกับผู้ก่อเหตุและผู้ตาย ซึ่งเป็นผู้เห็นเหตุการณ์และผู้เข้าช่วยเหลือ เปิดว่า ตนเองรู้จักกับทั้งสองฝ่าย ค่อนข้างรู้สึกลำบากใจและไม่อยากออกสื่อ ปกติเป็นคนดีทั้งคู่ ก่อนเกิดเหตุยิงตนเองเป็นคนห้ามปรามทั้งสองฝ่าย และบอกให้แยกย้ายกัน ที่ผ่านมีอะไรช่วยเหลือกันตลอด ส่วนตัวไม่ทราบมาก่อนว่า ผู้ก่อเหตุ จะมาลงมือก่อเหตุแบบนี้ เพราะไม่เคยมาพูดหรือปรึกษาอะไรกับตนเอง
ส่วนปมเหตุเรื่องการแซวเล่นกันนั้น ตนเองก็ได้ยินมาบ้าง มีคนมาเล่าให้ฟังว่ามีคนไปแซวเมียผู้เสียชีวิต ผู้เสียชีวิตจึงพูดขึ้นมาว่า “ทำไมมึงถึงแซวเมียกู” ผู้ก่อเหตุก็บอกว่า “แซวเรื่องอะไร” ผู้เสียชีวิตได้มาถามตนว่า “การที่มาแซวเล่นเมียตนมันถูกไหม” ตนก็บอกว่า “เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง” ซึ่งผู้ก่อเหตุก็เป็นคนชอบหยอกล้อเล่น ตนจึงไปถามกับผู้ก่อเหตุว่า “ได้พูดแซวเล่นหรือไม่” เพราะตนไม่ทราบและไม่ได้ยิน คนก่อเหตุบอกไม่ได้พูด แต่ก็มีคนบอกว่าผู้ก่อเหตุพูดแซวจริง ซึ่งผู้เสียชีวิตก็เก็บไว้ตลอด
หลังจากนั้น วันเกิดเหตุมีการท้าทายกันก่อน และมาชกต่อยกัน แต่ฝั่งของผู้ก่อเหตุสู้ไม่ได้ ด้วยความที่ตนช่วยกันห้าม คาดว่ามีการผูกใจเจ็บจึงกลับไปเอาปืนมาก่อเหตุจนเสียชีวิต ตอนได้ยินเสียงปืนตนก็รู้สึกสะดุ้งและตกใจแล้ว ด้วยสัญชาตญาณของมนุษย์ ส่วนขณะนั้นก็กำลังหาว่ากระสุนมาจากไหน ส่วนตัวไม่คิดว่าน้องทั้งสองคนจะถึงขั้นเอาปืนมายิงกัน จึงไม่ได้ระวังอะไร จนกระทั่งรู้สึกว่ามันเกินไป จึงไปด่าผู้ก่อเหตุให้หยุด จังหวะนั้นเห็นผู้เสียชีวิตก้มตัวลงมาหลังถูกยิง ตนถามว่า “เป็นอะไร” ผู้เสียชีวิตก็ยังบอกว่า “ไม่เป็นอะไร” ทั้ง ๆ ที่โดนยิงไปแล้ว แต่ตนก็มองไม่เห็นว่าถูกยิงโดนตรงไหน เพราะเหตุการณ์มันไวมาก
กระทั่งผู้ตายมานอนกองหน้าร้านของตนเอง จึงเห็นว่าถูกยิง จึงออกไปด่าผู้ก่อเหตุว่า “เป็นเหี้xอะไร” ยอมรับว่าทั้งกลัวทั้งตกใจแต่ก็สุดจะทนพร้อมระบุด้วยว่าครั้งแรกผู้ก่อเหตุยิงจากในรถก่อน จังหวะนั้นผู้เสียชีวิตล้ม จึงลงมารัวยิงบริเวณรถตัวเองข้างล่างอีกครั้ง
ส่วนเหตุการณ์วันที่ 15 กันยายน 66 ที่คนร้าย หลังได้รับการประกันตัว ได้ย้อนกลับมาจุดเกิดเหตุอีกครั้งหนึ่งนั้น ตนไม่ทราบเพราะออกไปข้างนอกมา หลังกลับเข้ามาพักผ่อนในบ้าน มีเมียผู้เสียชีวิตมาบอกเหตุการณ์ตนจึงเปิดประตูออกไปดู ถึงทราบว่ามีการย้อนกลับมาทำร้ายพยาน
พร้อมระบุอีกว่าหลังเกิดเหตุยิง เมื่อผู้ก่อเหตุได้ประกันตัวแล้วเคย กลับมาหาตนอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะต่อเหตุเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม โดยกลับมาบอกขอโทษตนเองที่ทำให้เดือดร้อน ซึ่งตนเองก็ได้บอกกับฝั่งของผู้เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งตนเองก็รู้สึกตกใจที่ ผู้ก่อเหตุยังกลับมาทำร้ายเพื่อนของผู้ตายซ้ำอีก