จากกรณีหญิงถูกสามีใช้มีดฟันศีรษะ เหตุไม่พอใจที่ต่อว่าไม่ให้พูดขึ้นมึงกูกับแม่ฝ่ายหญิง ด้านแม่เข้าไปช่วยโดนลูกหลง เย็บคนละหลายสิบเข็ม แต่สามีกลับได้รับการประกันตัว หวั่นย้อนรอยกลับมาทำร้ายอีก
วันนี้ 17 ตุลาคม 2566 ทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปที่ ต.ทุ่งหลวง อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี เพื่อไปพูดคุยกับ นางเจนจิรา อายุ 31 ปี ประกอบอาชีพเปิดร้านขายของชำ โดยนางเจนจิรา เปิดใจกับทีมข่าวว่า เธอนั้นเคยคบหากับสามีชื่อว่านายสมควร มา 2 ปี แต่เพิ่งจะมาแต่งงานและอาศัยอยู่บ้านหลังเดียวกันได้ประมาณ 1 ปีเศษ โดยที่ผ่านมาทั้งคู่ก็คบหากันเหมือนคู้รักทั่วไป ไม่เคยมีปากเสียงกัน แต่เรื่องที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา
โดยนางเจนจิรานั้นได้ไปนอนค้างคืนที่บ้านของนายสมควรเป็นครั้งแรกหลังจากที่ได้แต่งงานกัน ซึ่งก็เป็นครั้งแรกที่นางเจนจิราได้เจอกับพฤติกรรมอันก้าวร้าวของสามี โดยนายสมควรนั้นได้พูดคุยกับพ่อแม่ของตัวเองด้วยคำหยาบคายและก้าวร้าว ทำให้นางเจนจิรารู้สึกตกใจและรู้สึกไม่ดีกับเรื่องที่เกิดขึ้น นางเจนจิราจึงขอกลับมาอยู่ที่บ้านของตัวเองทันที แต่หลังจากที่กลับมาบ้าน
ปรากฏว่านายสมควรก็ได้ลามปามและพูดจาก้าวร้าวกับแม่ของเธอ โดยที่นายสมควรนั้นพูดขึ้นมึงขึ้นกูกับแม่ของเธอ นางเจนจิราจึงได้ต่อว่าทางด้านสามีว่า "ถ้าจะพูดมึงพูดกูกับแม่ของตัวเองก็พูดไปเถอะ แต่อย่ามาพูดกับแม่ของฉัน" พร้อมกับบอกว่า "คนด่าพ่อด่าแม่ ระวังจะทำกินไม่ขึ้น" จังหวะนั้นเอง นายสมควรก็เกิดไม่พอใจ และไปคว้ามีดทำสวนยาวประมาณ 20 นิ้ว มาทำร้ายตน โดยฟันไปที่ศีรษะ ตอนนั้นตกใจมากจึงเรียกให้แม่ออกมาช่วยแต่หลังจากที่แม่เข้ามาช่วย ปรากฏว่านายสมควรก็ได้หันไปฟันที่แม่ของตนเข้าอีกคน แล้วนายสมควรก็หันมาทำร้ายตนจนสลบไป มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่อยู่โรงพยาบาล
โดยตนต้องเย็บศีรษะถึง 27 เข็ม และนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลถึง 6 วัน ระหว่างนั้นตนก็ได้ติดต่อขอเข้าแจ้งความที่ สภ.ทุ่งหลวง จ.ราชบุรี โดยแจ้งข้อหาพยายามฆ่า แต่เมื่อตนออกจากโรงพยาบาล ตนก็ต้องตกใจอีกรอบ เพราะตนนั้นเห็นนายสมควรยังขี่รถจักรยานยนต์มาป้วนเปี้ยนแถวบ้านตนอยู่ ซึ่งตนรู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่ถูกต้อง ที่มีการอนุญาตให้ประกันตัวนายสมควร ทั้ง ๆ ที่นายสมควรได้ก่อเหตุอุกอาจเช่นนี้
ตอนนี้นางเจนจิรายอมรับว่ารู้สึกกลัวและกังวล เพราะตลอดเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา ตนนั้นยังคงพบเห็นนายสมควรมาป้วนเปี้ยนแถวบ้านแทบจะทุกวัน ทั้ง ๆ ที่บ้านของนายสมควรนั้นอยู่ห่างจากบ้านของตนระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร จึงอยากให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยดำเนินคดีกับนายสมควรให้ถึงที่สุด เพราะยังไงเรื่องนี้ตนก็ไม่มีทางยอมความ และไม่ให้อภัยเด็ดขาด เพราะนอกจากตนที่เจ็บตัวแล้ว แม่ของตนก็ต้องพลอยเจ็บตัวไปด้วย
ครอบครัวต้องอยู่อย่างหวาดระแวง ไม่รู้ว่าวันไหนนายสมควรจะนึกบ้าและบุกเข้ามาทำร้าย
ต่อมาทีมข่าวได้พูดคุยกับ นางอ่อน แม่ของนางเจนจิรา เล่าว่า ก่อนหน้านี้ตนกับนายสมควรก็ไม่เคยมีปากเสียงกัน แต่เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2566 นายสมควรนั้นได้อาละวาด เพราะคิดว่านางอ่อนได้ไปด่าตนเรื่องการทำงาน จากนั้นนายสมควรจึงได้พูดจาขึ้นมึงขึ้นกูกับตน ทำให้นางเจนจิรา ลูกสาวได้มาเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว จนทั้งคู่เริ่มมีปากเสียงกัน ตนจึงบอกให้นายสมควรกลับบ้านไปก่อน แล้วค่อยมาคุยกันใหม่ ซึ่งวันนั้นนายสมควรก็ได้ยอมกลับบ้านไป
กระทั่งวันที่ 6 สิงหาคม 2566 เวลาประมาณ 21.00 น. ขณะที่ตนกำลังเตรียมเก็บร้าน ก็ได้ยินเสียงลูกสาวร้องขอให้ช่วย เมื่อเช้าไปดูก็พบว่าลูกสาวนั้นได้นอนกองอยู่กับพื้นพร้อมเลือดอาบหน้า ตนจึงเข้าไปช่วยลูกสาว และโดนนายสมควรใช้มีดฟันมาที่ศีรษะ จนเย็บไป 6 เข็ม แขนซ้าย เย็บ 6 เข็ม หนักสุดคือแขนขวา ที่ต้องผ่าตัดและเย็บอีก 17 เข็ม ซึ่งหลังจากเกิดเรื่องนายสมควรก็ได้หลบหนี ไม่มีการเข้ามาพูดคุยหรือขอโทษใด ๆ มีเพียงแต่ทางด้านแม่ของนายสมควร ที่มาขอเยียวยารักษาด้วยเงิน 5,000 บาท
ตอนนั้นตนจึงไม่รับเงินดังกล่าว และจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด เพราะทุกวันนี้ครอบครัวตนต้องอยู่อย่างหวาดระแวง ไม่รู้ว่าวันไหนนายสมควรจะนึกบ้าและบุกเข้ามาทำร้ายคนในบ้านอีก จึงขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยจับคนแบบนี้เข้าคุกเสีย หากปล่อยเอาไว้ ตนกับลูก ๆ จะอยู่กันอย่างไร ยืนยันว่าต่อให้นายสมควรเข้ามากราบขอขมา ตนก็จะไม่ให้อภัยเด็ดขาด เพราะเรื่องมันก็ผ่านมา 2 เดือนแล้ว ถ้าคนสำนึกผิดก็คงจะมาขอโทษตั้งนานแล้ว
ทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ เก็บกดกับสิ่งที่ภรรยาและแม่ยายกระทำกับตนเอง
ทีมข่าวได้เข้าพูดคุยกับ นายสมควร อายุ 42 ปี เปิดใจว่า วันที่เกิดเหตุนั้นตนทำไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ เนื่องจากที่ผ่านมาตนนั้นเก็บกดกับสิ่งที่ภรรยาและแม่ยายกระทำกับตน โดยนายสมควรอ้างว่า ที่ผ่านมาตนนั้นทำงานเก็บเงินจนสร้างบ้านให้ภรรยาและแม่ยายได้อยู่อาศัย แต่จู่ ๆ ทางด้านนางอ่อน ซึ่งเป็นแม่ยายได้เอ่ยปากไล่ตนออกจากบ้านเหมือนหมูเหมือนหมา และมาใส่ร้ายว่าตนนั้นไปพูดจาขึ้นมึงขึ้นกู ซึ่งนายสมควรขอแย้งว่าไม่เป็นความจริง ก็อาจจะมีบ้างที่ตนพูดมึงพูดกู แต่ยืนยันว่าไม่ได้ด่านางอ่อนแน่นอน
ส่วนวันที่ 6 สิงหาคม 2566 ตนนั้นไม่ได้ตั้งใจทำแบบนั้น แต่ด้วยความอัดอั้นที่สะสมมานาน ทำให้ตนขาดสติไปชั่ววูบ หลังเกิดเหตุตนก็ได้หลบหนีเข้าไปอยู่ในป่าอ้อย และได้ออกมามอบตัวในเช้าวันที่ 8 สิงหาคม 2566 หลังมอบตัวก็ได้มีการประกันตัว ซึ่งตนก็ได้พยายามเข้าไปขอโทษและขอเยียวยานางเจนจิรากับนางอ่อน แต่นางเจนจิรานั้นเรียกค่าเยียวยาถึง 6 แสนบาท ซึ่งตนไม่ได้มีเงินเยอะขนาดนั้น จึงไม่ได้ตกลงอะไรกับนางเจนจิรา
ส่วนเรื่องที่บอกว่าตนไปป้วนเปี้ยนแถวบ้านนางเจนจิรา ตนก็ยอมรับว่าไปจริง แต่ที่ต้องไปแถวนั้นเป็นเพราะตนทำงานอยู่แถวนั้น อีกทั้งบ้านญาติ ๆ ตนก็อยู่แถวนั้น จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องไปละแวกดังกล่าว แต่ขอยืนยันว่าจะไม่มีการเข้าไปข่มขู่หรือคุกคามใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะตอนนี้ตนก็รู้สึกผิดแล้ว และไม่อยากให้เรื่องมันแย่ไปกว่าเดิม