มีหญิงคนหนึ่งร้องเรียนว่า ถูกสามีซึ่งปัจจุบันเป็นสมาชิกพรรคการเมืองดัง ทำร้ายร่างกายจนเลือดตกยางออก และยังมีการนำทรัพย์สินที่สร้างร่วมกันมานับพันล้านบาทไปใช้ส่วนตัว ทำให้เธอกับลูกลำบาก
โดยหญิงสาวร้ายนี้ คือ นางสาววิไลลักษณ์ อายุ 41 ปี เล่าให้ฟังว่า เธอรู้จักกับผู้ชายคนหนึ่งเมื่อปี 2552 ตอนนั้นเธอมีธุรกิจอพาร์ตเมนต์, อาคารพาณิชย์, ตลาดนัดให้เช่า รวมแล้วมีมูลค่าประมาณ 1 ล้านบาท ส่วนทางฝั่งผู้ชายที่เธอรู้จักนั้นมีหน้าที่การงานเป็นผู้จัดการโรงงานแห่งหนึ่ง แต่เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน ชายคนดังกล่าวก็หายหน้าหายตาไป และขาดการติดต่อกันตั้งแต่นั้นมา
จนมาในปี 2554 ชายคนเดิมก็ได้กลับมา และได้พัฒนาความสัมพันธ์ทำความรู้จักกันมากขึ้น ทราบชื่อต่อมา คือ นายฉัตรี (นามสมมติ) ซึ่งทั้งคู่ก็ได้ตัดสินใจแต่งงานกันในปี 2557 โดยที่ตอนนั้น นางวิไลลักษณ์ได้มีลูกติด 1 คน และนายฉัตรีก็ได้มีลูกติด 1 คนเช่นเดียวกัน
หลังจากจดทะเบียนสมรสกัน เส้นทางความรักที่ผ่านมาของทั้งคู่ก็ค่อนข้างราบรื่น นานๆ ที่ก็มีปากเสียงกันบ้างตามประสาผัวเมียทั่วไป แต่ก็ไม่ร้ายแรงอะไร หลังจากคบหากัน ทั้งคู่ก็ได้เปิดธุรกิจอาหารสัตว์ร่วมกันอยู่ทางภาคอีสาน ซึ่งมีมูลค่ามากถึงพันล้านบาท นอกจากนี้ก็มีบ้าน รถ ที่ดิน ที่ได้สร้างร่วมกันมาเป็นสินสมรส
จุดที่ทำให้รู้สึกว่าชีวิตคู่เริ่มมีปัญหาเป็นช่วงกลางเดือนกันยายน 2566 จู่ๆ ทางนายฉัตรี สามีได้หายออกไปจากบ้าน ติดต่อไม่ได้ และได้บล็อกนางวิไลลักษณ์ทุกช่องทางการติดต่อ ทำให้ไม่รู้เลยว่าสามีไปอยู่ที่ไหน เป็นอยู่อย่างไร มาทราบการเคลื่อนไหวอีกทีก็ตอนที่มีใบเสร็จจากบัตรเครดิตมาส่งที่หน้าบ้าน แจ้งว่ามีการนำไปใช้ในคลินิกเสริมความงาม ซึ่งปกติสามีจะไม่เคยใช้บริการแบบนี้ จึงทำให้ตนเริ่มสงสัยว่าสามีจะมีใครใหม่หรือเปล่า หลังจากนั้นประมาณ 2 อาทิตย์ ทางสามีได้กลับมาที่บ้าน เพื่อกลับมาติดกล้องวงจรปิด เครื่องดักฟัง และ GPS ในรถยนต์ส่วนตัวของตน เพื่อที่จะดักฟังว่าตนแอบคุยกับใคร และจับผิดว่าตนมีชู้หรือไม่
จนกระทั่งวันที่ 20 สิงหาคม 2566 สามีหายออกจากบ้านอีกครั้ง และสามารถติดต่อได้อีกเช่นเคย จนกระทั่งวันที่ 2 กันยายน 2566 (วันที่เกิดเรื่อง) สามีได้กลับมาบ้าน และนำเอารถมัสแตงสีแดงของสามี ขับมาเก็บของและกำลังเปลี่ยนถ่ายของเพื่อจะนำรถตู้อีกคันออกไปอีกครั้ง นางวิไลลักษณ์จึงตัดสินใจเข้าไปถามว่า "พี่จะไปไหน" นายฉัตรี ตะคอกกลับบอกว่า “กูไม่อยากอยู่กับมึง ไม่อยากใช้ชีวิตร่วมกับมึง ทำไมมึงไม่ไปตายกับพ่อกับแม่มึง มึงอยู่บ้านกูทำไม ทำไมมึงไม่ออกไป” คำพูดดังกล่าวทำให้ตนโมโหมากที่มาลามปามถึงบุพการี และบ้านหลังนี้เป็นบ้านของตนเช่นเดียวกัน เพราะสร้างขึ้นมาหลังจากที่แต่งงานกัน ตนจึงบันดาลโทสะนำตุ๊กตาปูนปั้นมาทุบที่กระจกรถมัสแตงของสามี สามีก็ได้ต่อยกลับมาที่บริเวณเบ้าตาซ้ายจนทำให้คิ้วแตกเลือดอาบ ซึ่งการทำร้ายร่างการครั้งนี้เป็นการถูกทำร้ายร่างกายครั้งที่ 2 เพราะครั้งก่อน ตนก็เคยถูกสามีตบจนหูฉีกมาแล้วเมื่อประมาณ 7 ปีก่อน จากนั้นสามีได้ไปแจ้งตำรวจบอกว่าตนทำลายทรัพย์สิน ทั้งๆ ที่ผู้เสียหายคือตน ตนโดนทำร้ายร่างกาย ตนจึงได้แจ้งความกลับในข้อหาทำร้ายร่างกาย
หลังจากเกิดเรื่องตนได้ไปเปิดตู้เซฟเพื่อเอาทรัพย์สินมาใช้ เพราะตลอดระยะเวลาที่คบกัน ตนเอาเงินให้ฝ่ายชายเก็บ และจะเป็นคนขอฝ่ายชายใช้ ตอนนั้นฝ่ายชายออกจากบ้าน ทำให้ตนและลูกไม่มีเงินใช้จึงต้องไปเปิดเอาของในตู้เซฟมาใช้ กลับกลายเป็นว่าสามีไปแจ้งข้อหาลักทรัพย์เพิ่มอีก ทั้งๆ ที่ของในตู้เซฟคือสินสมรส
และหลังจากที่มีปัญหากัน ตนได้มีการตรวจสอบพบว่านายฉัตรี มีการยักยอกสินสมรสไปหลักพันล้านบาท โดยการไปจดทะเบียนบริษัทที่สองร่วมกับลูกติดของนายฉัตรี และให้ลูกติดเป็นคนถือหุ้น 9,900 หุ้น ส่วนนายฉัตรีถือ 100 หุ้น จากนั้นก็มีการโยกย้ายหุ้นของบริษัทที่ทำร่วมกันออกไปโดยที่ตนไม่เคยรับรู้มาก่อน รวมทั้งเวลาทำธุรกิจ นายฉัตรีก็จะให้ลูกค้าโอนเงินเข้าบัญชีส่วนตัวและบัญชีคนใกล้ชิดสามี
ปัจจุบันนายฉัตรีได้เข้าไปอยู่แวดวงการเมือง โดยเข้าไปเป็นสมาชิกพรรค และเป็นคณะทำงานพรรคการเมืองดังพรรคหนึ่ง โดยนำสินสมรสของตนไปสั่งทำเสื้อพรรคการเมืองและไปช่วยหาเสียง ในวันที่ 2 กันยายน 2566 ที่ตนถูกทำร้าย ปรากฏว่าวันที่ 3 กันยายน 2566 สามียังไปหาเสียงช่วยพรรคการเมืองโดยที่ไม่สนตนเลยว่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัสมากน้อยเพียงใด แต่ตนไม่อยากให้เอาประเด็นนี้มาเกี่ยวข้องเพราะเป็นพฤติกรรมส่วนบุคคล แต่อยากให้พรรคการเมืองตรวจสอบข้อเท็จจริงบ้างก็ดี ว่าเป็นแบบนี้จะดำเนินการยังไงต่อไป
ปัจจุบันนี้ชีวิตตนแทบไม่เหลืออะไรแล้ว บ้านที่เคยอยู่ก็ไม่สามารถเข้าไปเหยียบได้อีก เพราะนายฉัตรีได้พาพ่อแม่ของตัวเองเข้ามาอยู่แทน ตนและลูกต้องย้ายออกไปอยู่บ้านเกิดที่จังหวัดร้อยเอ็ด ตอนนี้สงสารลูกเพราะลูกเป็นผู้พิการมือข้างซ้าย และตอนนี่ลูกกำลังจะเปิดเทอม ไม่รู้จะพาลูกไปอยู่ที่ไหน เพราะลูกไม่อยากย้ายโรงเรียน จึงอยากขอความเห็นใจให้ตนและลูกได้อยู่บ้าน
สิ่งที่ตนออกมาเรียกร้องในวันนี้ คือสิทธิความเป็นเมียหลวง สินสมรสที่ร่วมกันสร้างมา และศักดิ์ศรีของตน ซึ่งในตอนนี้ได้ตัดสินใจฟ้องหย่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และไม่มีวันหวนกลับไปคบกับชายคนนี้อีก
ด้านนางชลิดา พะละมาตย์ ประธานกลุ่มเป็นหนึ่ง กล่าวว่า นางวิไลลักษณ์เป็นสมาชิกมูลนิธิเป็นหนึ่ง ที่ผ่านมาเราทำงานช่วยเหลือผู้อื่นมาโดยตลอด แต่ครั้งนี้ผู้ที่ประสบเหตุเป็นสมาชิกของมูลนิธิเราเอง ดังนั้นเราไม่ยอมในเรื่องนี้เด็ดขาด ยืนยันว่าจะสู้จนถึงที่สุด ไม่อยากให้มองเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัว เพราะนี่เป็นการใช้พฤติกรรมรุนแรงต่อผู้หญิง และขอฝากถึงผู้ชายคนดังกล่าวที่ได้ทำร้ายภรรยาตัวเอง อยากจะขอบอกว่า ครั้งนี้จะไม่มีการยอมเด็ดขาด ไม่ต้องส่งคนมาขู่ เพราะเราไม่ได้กลัว การที่มาขู่ว่า "อย่ามาเสือก ถ้าใครมาเสือก จะไม่เก็บไว้" เป็นคำขู่ที่ค่อนข้างแรง แต่ไม่ว่าจะยังไง ก็ยืนยันจะสู้ให้ถึงที่สุด
รวมถึงเรื่องการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ไม่ได้อยากจะให้โยงว่าเป็นการดิสเครดิตพรรคการเมืองใดๆ แต่หากพรรคการเมืองมองเรื่องนี้ว่าเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ควรจะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง