จากกรณีเพจเฟซบุ๊ก "อยากดังเดี๋ยวจัดให้ รีเทิร์น part 6" ได้โพสต์เรื่องราวเตือนภัยใจความว่า มีลุงคนหนึ่ง ได้ก่อเหตุตระเวนกินเหล้าร้านหรูๆ เมื่ออิ่มปุ๊ปก็จะแกล้งชักตาค้าง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่จ่ายค่าเหล้า ซ้ำก่อนหน้านี้พบว่ายังเคยทำพฤติกรรมแบบนี้มาแล้วหลายครั้ง และทุกๆ ครั้งจะจบด้วยการแกล้งชัก จนเป็นข่าวโด่งดังมาแล้วรอบหนึ่งในปี 2565
ทีมข่าวช่อง 8 ได้ติดต่อไปยังเจ้าหน้าที่อาสามูลนิธิร่วมกตัญญูสันคลอง โดยนายกิตติพงษ์ พิมพูล อายุ 33 ปี เล่าว่า ตนนั้นเป็นกู้ภัยอาสาประจำอยู่แถวจุดคลองตัน เมื่อประมาณปลายปีที่แล้ว ตนได้รับแจ้งเหตุว่า มีผู้ป่วยเกิดอาการชักเกร็งอยู่หน้าร้านเหล้าแห่งหนึ่ง ทันทีที่ไปถึงที่เกิดเหตุพบผู้ป่วยชายหนึ่งราย มีอาการตาเหลือก ไม่กระพริบตา จึงได้ปฐมพยาบาลเบื้องต้น แต่จนแล้วจนรอด ผู้ป่วยคนดังกล่าวก็ยังนิ่งอยู่ ทั้งๆ ที่สัญญาณชีพก็ปกติดี
จากนั้นตนก็เริ่มเอะใจว่า ชายคนดังกล่าวหน้าตาคุ้นๆ จึงได้เช็กประวัติของผู้ป่วยจากไลน์กลุ่ม ทำให้ทราบว่า ชายคนนี้เป็นเเบบนี้ทุกรอบที่มากินเหล้า คือจะแกล้งชัก แกล้งป่วยให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยมารับ และคอยเปลี่ยนร้านเหล้าไปเรื่อยๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายเงิน วันนั้นตนจึงได้ทดสอบโดยการเอาแอมโมเนียชุบสำลีอุดจมูกทั้งสองข้าง และเอามือปิดปากชายคนดังกล่าว ทำให้ชายคนดังกล่าวแสดงอาการขัดขืนทันที ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้พยายามปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น เมื่อเจ้าหน้าที่จับโป๊ะได้ ชายคนดังกล่าวก็ได้ยกมือไหว้ขอโทษ พร้อมบอก "อย่าแฉผมเลย" ตนก็คิดว่าชายคนนั้นคงจะเข็ดหลาบ และไม่กล้าก่อเหตุอีกแล้ว
แต่มาล่าสุด เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา 15 ตุลาคม 2566 เจ้าหน้าที่อาสามูลนิธิร่วมกตัญญูสันคลอง ก็ได้รับแจ้งเหตุว่า มีผู้ป่วยเกิดอาการชักตาเหลือกอยู่หน้าร้านเหล้า เมื่อไปถึงก็มีเจ้าหน้าที่บางคนจำลุงคนนี้ได้ทันทีว่าคือ นายมานพ อายุ 50 ปี ซึ่งเคยก่อเหตุแบบนี้มาหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นย่านทองหล่อ พระโขนง คลองตัน เอกมัย อ่อนนุช ฯลฯ
และวีรกรรมล่าสุดในปีนี้ ไล่เรียงมาตั้งแต่ช่วงต้นปี คือ วันที่ 12 เมษายน ได้แกล้งเป็นลมชักหมดสติอยู่บนรถเมล์ วันที่ 21 สิงหาคม 2566 ได้ก่อเหตุที่โรงเหล้าแสงจันทร์ วันที่ 13 ตุลาคม 2566 ร้าน Best Beef ย่านสุขุมวิท
และล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม ที่ผ่านมาสดๆ ร้อนๆ ก็ได้ก่อเหตุลักษณะเดิมที่ร้านเหล้า ย่านลาดพร้าว 94 ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ได้พาตัวนายมานพไปส่งที่ สน.วังทองหลาง แทนที่จะไปส่งโรงพยาบาล ปรากฏว่าพอไปถึงโรงพัก นายมานพก็ได้สติและรู้สึกตัวขึ้นมาทันที และต้องขอบอกว่า นายมานพแสดงได้เนียนมากจริงๆ คือถ้าไม่สังเกตหรือเอะใจ ก็จะคิดว่านายมานพป่วยจริง ถึงขั้นเจ้าหน้าที่กู้ภัยเคยประสานรถพยาบาลมารับนายมานพในที่เกิดเหตุอย่างชุลมุนวุ่นวาย
ซึ่งการที่นายมานพทำพฤติกรรมในลักษณะนี้ ได้ส่งผลกระทบกับทางเจ้าหน้าที่กู้ภัยเป็นอย่างมาก เพราะการที่ต้องวิ่งรับผู้ป่วยคนนึง เจ้าหน้าที่ต้องแบกรับความเสี่ยงหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการขับรถเร็วเพราะต้องการไปดูอาการผู้ป่วยให้ไวที่สุด ไหนจะการประสานเรียกทีมเสริมแต่ละครั้งเพื่อมาช่วยนายมานพ เพราะเขาแสดงได้เนียนมากจริงๆ ซึ่งลองคิดกลับกัน หากมีคนอื่นที่เขาเกิดอุบัติเหตุและเจ็บป่วยจริงๆ แล้วเจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องมาติดเหตุช่วยเหลือนายมานพอยู่แบบนี้มันจะเป็นการเสียโอกาสในการเข้าช่วยเหลือผู้ป่วย และผลกระทบที่ตามมา ใครจะรับผิดชอบ
ตอนนี้จึงอยากฝากถึงนายมานพว่า หากยังทำพฤติกรรมแบบเด็กเลี้ยงแกะอยู่ วันหนึ่งที่นายมานพเกิดเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาจริงๆ เจ้าหน้าที่กู้ภัยก็อาจจะไม่เข้าช่วยเหลือ เพราะคิดว่านายมานพโกหกสร้างเรื่อง แล้วถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาจริงๆ ก็ขอให้เข้าใจและอย่ากล่าวโทษเจ้าหน้าที่เลย
ต่อมาทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปหานายมานพที่บ้านพักย่านพระโขนง เจอเพียงนางถนอม (นามสมมติ) อายุ 80 ปี ซึ่งเป็นป้าของนายมานพออกมารับหน้าแทน โดยนางถนอมเผยว่า นายมานพกำลังนอนหลับอยู่ภายในบ้าน และขอร้องให้ทีมข่าวไม่เรียกนายมานพ เพราะกลัวว่าหากนายมานพตื่นขึ้นมาแล้วจะอาละวาด ปกติแล้วนายมานพนั้นไม่ได้มีการงานทำเป็นหลักแหล่ง อาจจะมีรับงานเป็น รปภ. บางวันที่มีคนมาจ้างเท่านั้น
นางถนอมได้ระบายความอัดอั้นตันใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น โดยยอมรับว่า ตนได้ทราบเรื่องทั้งหมดแล้วว่านายมานพได้ไปก่อเหตุแกล้งป่วยชักตาเหลือก หลังจากไปกินเหล้าตามร้านต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมา นางถนอมนั้นก็อับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เพราะมีคนมายืนทวงเงินอยู่ที่หน้าบ้านเสียงดังโวยวายไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง ตนทั้งอายเพื่อนบ้านและกลัวว่าเรื่องจะฉาวไปถึงหูญาติพี่น้อง กลัวเขาจะเอาไปด่าไปนินทาว่าตนเลี้ยงหลานไม่ดี ที่ผ่านมานางถนอมก็ทั้งสอนทั้งด่านายมานพว่าให้หยุดทำพฤติกรรมแบบนี้ แต่นายมานพก็ไม่ฟัง ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะสาเหตุอะไรที่ทำตัวให้คนด่าว่าตามหลังแบบนี้
ก่อนหน้านี้ที่มีคนมาทวงเงินหน้าบ้าน จำนวนเงินก็จะอยู่ที่หลักร้อยถึงหลักพัน แต่เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ไม่ได้มีคนมาทวงเงินหน้าบ้าน แต่ตนต้องเดินทางไปที่โรงพัก เพราะหลานชายตัวแสบได้ไปก่อเรื่องเอาไว้ และเจ้าของร้านเขาไม่ยอม ตนจึงต้องเหมาแท็กซี่เพื่อไปจ่ายเงินจำนวน 850 บาทที่เป็นค่าเหล้าให้กับทางร้าน ซึ่งถ้าถามว่าทำไมถึงไม่ปล่อยให้นายมานพติดคุกให้เข็ด ตนก็บอกตรงๆ ว่าเป็นเพราะความรัก ตนเลี้ยงดูนายมานพมาตั้งแต่นายมานพอายุได้เพียง 7 เดือน เลี้ยงมาก็รักเหมือนลูก จะปล่อยให้ไปนอนคุกนอนตารางก็ทำใจไม่ลงจริงๆ ตอนนี้จึงคิดเสียว่า ชาติที่แล้วตนคงไปก่อบาปก่อกรรมเอาไว้กับนายมานพ ชาตินี้จึงมาชดใช้ให้นายมานพ คิดแบบนี้แล้วตนเองก็รู้สึกสบายใจขึ้น