เกิดเหตุถล่มโรงพยาบาลในฉนวนกาซา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 500 ราย ผู้บาดเจ็บนับหมื่น ทำให้ทั่วโลกออกมาประณามเหตุการณ์ในครั้งนี้ เนื่องจากโรงพยาบาลควรเป็นสถานที่โดนยกเว้นจากเหตุรุนแรง ไม่ควรเกิดสงครามและการปะทะ

 

มีภาพทางดาวเทียมถูกเผยแพร่ออกมา เป็นภาพจุดที่โดนถล่ม

 

ด้าน BBC มีรายงานว่าจากการแถลงของกองกำลังป้องกันอิสราเอลได้มีการอ้างว่ามีคลิปเสียงของกลุ่มติดอาวุธชาวปาเลสไตน์ที่กำลังพูดคุยเกี่ยวกับการยิงจรวดที่ล้มเหลว โดยมีการอ้างว่าเป็นฝั่งของฮามาสกำลังสนทนากัน พูดถึงความเสียหายที่เกิดขึ้น โดย ณ ตอนนี้ยังยืนยันแบบเป็นทางการไม่ได้ว่าเป็นเสียงของใคร แต่ทั้งสองฝ่ายทั้งอิสราเอลและฮามาส ต่างก็ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้ก่อเหตุในครั้งนี้

 

ที่บ้านของนายธวัชชัย แซ่ว้าง ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้า กรณี แรงงานอิสราเอลถูกยิงเสียชีวิตในวันเกิดลูกและก่อนต่ายได้วิดีโอคอลพูดคุยกับลูก สัญญาว่าจะซื้อของขวัญให้ในวันเกิดครบรอบ 2 ขวบ ก่อนที่จะไปนั่งกินข้าวกับเพื่อนคนงาน แล้วถูกกองกำลังติดอาวุธกลุ่มฮามาสบุกโจมตีที่พักแรงงานไทย ในนิคมเกษตรกรรม ประเทศอิสราเอล โดยบุกเข้ามาปาระเบิดและกราดยิง นายธวัชชัยถูกยิงที่ขา สะโพกและถูกลากไปจ่อยิงหัวจนเสียชีวิต

 

โดย นางสาวสุนิตา ภรรยา นายธวัชชัย เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า วานนี้เงินสงเคราะห์บุตรออกได้พาลูกชายวัย 2 ขวบไปซื้อของเล่นเนื่องในวันเกิด ตามคำสัญญาของพ่อเด็กที่ถูกยิงเสียชีวิตจากเหตุการณ์ความรุนแรง ที่เพิ่งซื้อให้เพราะทางครอบครัวเพิ่งหมดหนี้เลยไม่มีเงินเหลือ ทุกเดือนสามีจะส่งเงินกลับบ้านทุกวันที่ 9 แต่เดือนนี้เกิดเหตุการณ์ขึ้นในวันที่ 7 ทางบ้านจึงไม่มีเงินเหลือ เงินสงเคราะห์ตามสิทธิต่างๆก็ยังไม่ได้รับ ได้รับเพียงเงินบริจาคเพียงเล็กน้อย

 

พอดีเงินสงเคราะห์บุตรออกเลยพาลูกชายไปซื้อของเล่น เพื่อไม่อยากให้ลูกมีภาพจำที่ไม่ดีกับพ่อ ว่าพ่อโกหก โดยลูกชายวัย 2 ขวบเลือกของเล่นเป็นเครื่องบินเด็กเล่น บอกกับแม่โดยความเดียงสาของเด็กว่า “ให้พ่อขี่กลับ” และเลือกเอารถของเล่นโดยบอกกับแม่ว่า “ไปรับพ่อ” ซึ่งเด็กเดียงสาวัยสองขวบก็สื่อสารเป็นคำพูดที่เป็นประโยคที่ยาวไม่ได้ แต่ก็เข้าใจว่าลูกหมายถึงอะไร เอาเงินสงเคราะห์บุตรไปซื้อค่ะ ก็บอกลูกว่าเป็นของพ่อนะ เขาชอบมาก ก็เอาไปกอดนอนเลย บางทีคือก็เอาของเล่นมาเล่นที่ห้องนอนเลย เล่นจนเหนื่อยก็หลับไป ตื่นมาก็ร้องหาของเล่นของพ่อ จริงๆ คือแม่ซื้อเอง”

 

ด้าน นางยุพา มารดาของนายธวัชชัย กล่าวว่า อยากฝากวิงวอนถึงภาครัฐอยากให้รีบดำเนินการส่งศพผู้เสียชีวิตมาโดยเร็ว อย่างน้อยก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่ทางญาติจะทำเพื่อผู้ตายได้ สอบถามไปหน่วยงานไหนก็ไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน สอบถามไปที่กรมแรงงานก็ได้คำตอบว่าต้องรอส่งคนรอดชีวิต 7000 กว่าคนกลับมาก่อนถึงค่อยส่งศพกลับมา แม่ก็ไม่เข้าใจ ส่งเครื่องบินไปรับคนไทยตั้งหลายเที่ยว ไม่มีที่ว่างใต้เครื่องให้ร่างไร้วิญญาณกลับมาบ้างหรือ ทุกวันดูข่าวทางทีวีเห็นภาพเขากอดเขาดีใจกันที่ญาติเจอหน้ากัน ก็ร้องไห้และน้อยใจที่ลูกเราตายแล้วยังไม่รู้ว่าศพอยู่ไหนเป็นยังไง คนที่รอดกลับมารัฐก็ประกาศว่าช่วยเหลืออย่างนั้นอย่างนี้ ชดเชยและสิทธิต่างๆ แต่ลูกเราตายแล้วก็มาให้กำลังใจแค่ 2-3 วัน ก็หายไปติดตามติดต่อก็ไม่ได้ การชดเชยก็แจ้งว่ารอศพกลับมา ก็โยนคำตอบกันวนไปวนมา คิดถึงหัวอกคนเป็นญาติบ้างที่ต้องมานั่งดูข่าวหน่วยงานต่างๆ ให้การช่วยเหลือผู้รอดชีวิตกลับมา แต่ลูกเราตายคำตอบแค่เรื่องศพจะได้มาเมื่อไหร่ ก็ไม่มีความชัดเจนอะไรเลย

 

วันที่ 18 ต.ค.66 ครอบครัวนายเทียนชัย หรือตาม ยอดทองดี อายุ32ปี  อ.พุทไธสง ต่างตื่นตระหนก หลังจากกระทรวงต่างประเทศ รายชื่อนายเทียนชัย ปรากฏอยู่ลำดับที่ 21 ของ แรงงานไทยในอิสราเอล ที่เสียชีวิตแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ระบุเป็นคนสูญหายในสงคราม

 

นางสาวนริสลา มาลี อายุ 29 ปี ภรรยานายตาม แรงงานไทย เล่าว่าสามีไปทำงานเป็นคนงานแผนกแพ็คผัก แต่อยู่ในเขตพื้นที่สีแดง คุยกันทุกวันตั้งแต่ก่อนเกิดสงคราม อวยพรให้กันทุกวัน

 

หลังจากนั้นสามีปรากฏชื่อเป็นบุคคลสูญหายในสงคราม และติดต่อสามีไม่ได้อีกเลย จนกระทั่งทราบข่าวต่อมาว่ามีคนเห็นว่าสามีถูกยิงและถูกระเบิดเสียชีวิตอยู่ในแคมป์คนงาน แต่ตนเองและครอบครัวไม่เชื่อ เพราะยังไม่ได้รับรายงานจากทางการ ระยะเวลาที่ผ่านมาหลังจากวันเกิดเหตุ พยายามติดต่อหลายช่องทางเพื่อต้องการทราบข่าวของสามี

 

จนกระทั่งวันนี้ได้รับรายชื่อผู้เสียชีวิตจากกระทรวงต่างประเทศ มีรายชื่อของสามีปรากฎอยู่ลำดับที่ 21 ยอมรับว่าทำใจไม่ได้แต่ก็ยังเชื่อว่าสามียังไม่เสียชีวิต เพราะยังไม่ได้รับการยืนยัน

 

นางสาวนริสลา เล่าทั้งน้ำตาว่า สามีไปทำงานจะครบ 3 ปีตอนปีใหม่ที่จะถึงนี้ ตนกับสามีคุยกันตลอดถึงการวางแผนอนาคต ตั้งใจไว้ว่าอาจจะอยู่ไม่ครบสัญญา 5 ปี เพราะต้องการกลับมาอยู่กับลูกชาย 11 ปี และลูกสาว 7 ปี มีการวางแผนกันล่วงหน้ากับการทำงานหลังจากกลับจากอิสราเอล แต่ไม่คิดจะเกิดเรื่องแบบนี้ก่อน

 

ถึงเวลานี้มีความหวังแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ ที่จะเห็นสามีมีชีวิตอยู่ ถึงจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามอยากให้สามีกลับเมืองไทย จะมาแบบมีชีวิตหรือโครงกระดูกตนก็ยอม ขอให้รัฐบาลช่วยเหลือนำสามีกลับบ้านเกิดที่บุรีรัมย์