แรงงานหญิงไทย สะท้อนเหตุรุนแรงในอิสราเอล ชี้ไม่ว่าชาย-หญิงเสี่ยงเท่ากัน เหตุยิงไม่เลือกหน้า
คนไทยที่เดินทางไปทำงานที่อิสราเอล ไม่ได้มีแต่ผู้ชาย แต่มีผู้หญิงด้วยซึ่งวันนี้มีผู้หญิง 2 คน อพยพกลับมาด้วย คือ นางสาวธันญญ์นลิน กัดเฉยดิ และนางสาววันวิสา พลบูรณ์ เป็นคนสุพรรณบุรี โดยเล่าให้เราฟัง ว่า ช่วงที่เกิดสถานการณ์ความรุนแรงในอิสราเอล หลังจากที่กลุ่มฮามากบุกเข้ามา ความเสี่ยงระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงถือว่าเท่ากัน เพราะเขายิงแบบไม่เลือกหน้า
โดยวันที่เขาบุกมาเป็นหยุด เรากำลังพักผ่อน แต่ได้ยินเสียงสัญญาณจากโทรศัพท์ดัง เตือนระเบิดลงในพื้นที่ โชคดีที่สามารถสกัดทันทุกลูก วันต่อมาเริ่มมีการเดินเข้ามาภาคพื้นดิน โดยกลุ่มนี้ตั้งใจเข้ามาฆ่า มาฟัน มายิงอย่างเดียว แต่หมู่บ้านของตนกลุ่มอาหรับบุกเข้ามาได้ แค่ท้ายหมู่บ้าน และนายจ้างค่อนข้างดี เตือนภัยให้ตลอดว่าเกิดเหตุการณ์อะไรบ้าง ส่งสัญญาณให้อยู่แต่ในหลุมหลบภัย แต่แคมป์คนงานข้างๆ หลายแคมป์ก็มีผู้เสียชีวิต ภาพที่ออกไปในโซเชียล เป็นเรื่องจริงทั้งหมด มีอีกมากกว่านั้นที่ไม่ได้เห็น และยืนยันว่ามีการเสียชีวิตเยอะกว่าที่เรารู้แน่นอน เพราะเพื่อนๆก็มีการส่งข่าวต่อกันว่าพื้นที่ต่างๆที่อยู่เป็นอย่างไร
"ยอมรับว่า กลัว ปิดไฟ อยู่เงียบๆ แม้กระทั่งหายใจยังต้องเบาๆ นายจ้างโทรมาบอกให้เราอยู่ในที่เงียบที่สุด"
อีกหนึ่งครอบครัว ที่วันนี้เดินทางมาจากชัยภูมิ ขนมารอรับนายสำเภา ที่ดินดำ กันทั้งบ้าน โดยพ่อแม่ได้สวมกอดนายสำเภา พร้อมประสานเสียงว่าดีใจที่ลูกชายกลับมาอยู่ด้วย จากนี้ไม่ตัดสินใจให้ไปไหนอีกแล้ว
นายสำเภา เล่าให้เราฟังว่า ตนทำงานอยู่ห่างจากฉนวนกาซาประมาณ 6-7 กิโล วันที่ 7 ตอนเช้ามีระเบิดลงมาเป็น 1,000 ลูก พวกตนจึงเข้าไปหลบในบังเกอร์ จากนั้นตอนเย็นก็มีการบุกภาคพื้นดิน ยิงแคมป์ของพี่ชายที่อยู่ข้างๆ เผาแคมป์คนงานแล้ว ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 1 คน แต่แคมป์ของตนไม่ได้บุกเข้ามา เพราะเป็นหมู่บ้านนี้มีทหารอิสราเอลตั้งฐานอยู่ แต่พอเกิดเหตุหนักขึ้น นายจ้างก็ปล่อยทิ้งเลย แรงงาน 17 คน ต้องหาอยู่กันเอง หลบอยู่ในบังเกอร์อย่างเดียว จากนั้นจึงพยายามติดต่อไปที่กงสุลเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ต้องนอนฟังเสียงระเบิด 5-6 คืน ก่อน จะได้รับการช่วยเหลือ โชคดีมีรถถังมาล้อมหมู่บ้าน จึงทำให้ไม่มีใครเป็นอะไร แต่ยอมรับว่าหมู่บ้านใกล้เคียง ตายเยอะมาก มีเพื่อนหายไปหลายคน อย่างน้อย 2 คนที่มาทำงานพร้อมกัน ตอนนี้ยังติดต่อไม่ได้ ซึ่งไม่รู้ว่าถูกจับไปหรือเสียชีวิตแล้ว เพราะบริเวณที่ติดกับฉนวนกาซา ทหารอิสราเอล เข้าไปช่วยไม่ทัน
เหตุการณ์ครั้งนี้ ถือว่าสะเทือนใจมาก เพราะเราตั้งใจไปหาเงิน เพื่อส่งมาให้ที่บ้าน ส่วนอยากจะกลับไปทำงานหรือไม่คงต้องพิจารณาอีกครั้ง และคิดว่าสงครามไม่น่าสงบโดยง่าย อีกอย่างมันไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด นายจ้างก็ไม่ได้ดีทุกคน ที่เกิดเหตุกับตนนายจ้างก็หนีเลย ไม่ได้สนใจแรงงาน
นายสำเภา ยังได้มอบคลิปที่เป็นเหมือนลูกระเบิดที่ตกลงมาจากฟ้าหลายลูกให้ทีมข่าวเราด้วย
อย่างครอบครัว คุณจักรินทร์ แบ่งหิรัญ แรงงานชาวสมุทรสาคร คุณแม่นางจุราภรณ์ รวบรัตน์ พาน้องเควิน ลูกชายคุณจักรินทร์ อายุเพียง 1 ขวบ 6 เดือน เดินทางมาสนามบินสุวรรณภูมิ ตั้งแต่ตี 3 มาชูป้ายชื่อรอรับคุณพ่อ ทันทีที่เจอกัน คุณจักรินทร์ ได้สวมกอดคุณแม่ แต่ลูกของคุณจักรินทร์ ยังไม่คุ้นมากนัก เนื่องจากว่าคุณจักรินทร์ เดินทางไปทำงานที่อิสราเอลตั้งแต่ลูกมีอายุแค่ 4 เดือน
ทั้งนี้ คุณจักรินทร์ เล่าให้ช่อง 8 ฟังว่า ตนทำงาน ห่างจากฉนวนกาซา ประมาณ 6-7 กิโล วันเกิดเหตุ เขายิงจรวดลงมาจากฟ้าเป็นร้อยๆลูก เราก็เข้าไปอยู่ในที่หลบภัยที่นายจ้างจัดไว้ให้ ดีตรงหมู่บ้านที่อยู่ มีทหารอิสราเอลควบคุมอยู่ การบุกภาคพื้นที่ดินจึงไม่สำเร็จ แต่ก็ต้อง รอรถมารับประมาณ 3 วัน แต่การมารับครั้งนี้ไม่ใช่การอพยพ แต่ให้ไปอยู่อีกแคมป์งานหนึ่ง ซึ่งห่างจากพื้นที่สีแดง แต่ปรากฏว่า ถูกบังคับให้ทำงาน โดยการยึดพาสปอร์ตทั้งหมด และไม่ยอมจ่ายเงินค่าจ้างด้วย จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ค่าจ้าง เพราะเขาต้องการที่จะยื้อให้เราทำงานต่อ แต่เราไม่ไหวแล้วอยากกลับบ้านอย่างเดียว จากนี้ก็คงต้องรอให้แรงงานจังหวัดช่วยทวงเงินจากนายจ้างให้