วันที่ 19 ตุลาคม 2566 นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ได้พาผู้เสียหายเข้าไปที่ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ทำเนียบรัฐบาล โดยที่ผู้เสียหายเป็นสองตายายวัย 80 อ้างว่า ได้ถูกลูกสาวแท้ๆ แอบนำยากล่อมประสาทให้กินนานเป็นเวลา 3 ปี จนเกือบจะเสียสติ ก่อนที่จะหลบหนีออกมาได้ ปรากฏว่าทรัพย์สินที่สองตายายเคยสร้างร่วมกันมาได้ถูกลูกสาวแอบถ่ายโอนไปจนหมดเกลี้ยง มูลค่ามากถึงหลักร้อยล้านบาท วันนี้จึงมาร้องขอความช่วยเหลือเพื่อให้บั้นปลายชีวิตของสองตายายไม่ต้องอยู่แบบอดๆ อยากๆ
นายนอ อายุ 80 ปี เล่าว่า ตัวเองนั้นมีลูกทั้งหมด 4 คน แต่เสียชีวิตไปแล้ว 2 คน ตอนนี้ก็เหลือลูกสาว 2 คน โดยเหตุการณ์ที่แสนปวดใจก็มาจากฝีมือของลูกสาวคนเล็ก ชื่อว่า นางสาวแหม่ม อายุ 42 ปี โดยตานอและยายแว่นได้อาศัยอยู่กับลูกสาวคนเล็ก คือ น.ส.แหม่ม ที่ตำบลคลองม่วง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
ที่ผ่านมาลูกสาวคนนี้ก็ได้ดูแลพ่อกับแม่เป็นอย่างดี จนกระทั่ง น.ส.แหม่ม ได้ไปรู้จักกับผู้ชายคนหนึ่ง จนได้ตกลงคบหาและย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังเดียวกัน น.ส.แหม่ม ก็เริ่มมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป คือ เมื่อช่วง 3 ปีก่อน น.ส.แหม่ม จะนำยาเม็ดมาให้ตานอและยายแว่นกินเป็นเวลา 3 มื้อหลังอาหารทุกๆ วัน โดยให้เหตุผลว่า เป็นยาแก้โรคสมองเสื่อม ซึ่งยาจะมีทั้งสีขาว สีส้มปะปนกันไปตามแต่ละวัน พอกินยาตัวดังกล่าวไปได้สักพัก ตานอและยายแว่นก็เริ่มมีอาการแปลกๆ จะรู้สึกคอแห้ง ปากแห้ง บางวันก็มีอาการชัก ซึ่งตานอก็เริ่มเอะใจว่ายาที่ น.ส.แหม่ม เอามาให้เป็นยาอะไร เพราะตนก็เริ่มกลัวว่าอาจจะเป็นยาบ้าหรือเปล่า เนื่องจากลูกเขยตัวดีก็เคยมีคดียาเสพติด จนขณะนี้ก็ยังเสพยาบ้าอยู่
เมื่ออาการตานอและยายแว่นเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ ตานอจึงตัดสินใจพยายามหาหนทางหลบหนีออกมาจากบ้านของ น.ส.แหม่ม เมื่อหนีออกมาได้ก็ต้องเจอเรื่องที่ช็อกหนักกว่าเก่า คือ เงินในบัญชีเกือบ 10 ล้านบาท ที่ตนเคยสะสมมานั้นหายเกลี้ยง รวมถึงที่ดินย่านปากช่องประมาณ 100 ไร่ ก็ถูกโอนไปเป็นชื่อของ น.ส.แหม่ม ทั้งหมด ซึ่งที่ดินตอนนี้มีมูลค่าอยู่ที่ไร่ละ 5 ล้านบาท ทั้งสิ้นก็มีมูลค่าอยู่ที่ 500 ล้านบาท โดยที่โฉนดที่ดินถูกเปลี่ยนไปเป็นชื่อของลูกสาวคนเล็กตั้งแต่เมื่อไหร่ตนก็ยังไม่รู้ เพราะตนไม่เคยเซ็นยินยอมหรือมอบอำนาจใดๆ ให้เลย จนมาทราบเรื่องภายหลังว่า น.ส.แหม่ม นั้นได้ไปปล่อยข่าวลือกับชาวบ้านว่า ตานอกับยายแว่นนั้นเป็นบ้า สติฟั่นเฟือน และได้ไปทำเรื่องขออนุบาลดูแลทรัพย์สินของตานอและยายแว่นทั้งหมด แม้แต่เงินเบี้ยเลี้ยงคนชราเดือนละไม่กี่ร้อยบาท ลูกสาวคนนี้ยังเอาไปจนเกลี้ยง
วันนี้ ตนจึงอยากออกมาขอความช่วยเหลือให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือ เพราะไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อ ซ้ำยังกลัวถูกลูกสาวและลูกเขยเอาเรื่อง เพราะลูกเขยก็เป็นคนมีอิทธิพลในพื้นที่ระดับนึง
ด้านนางส้มลิ้มซึ่งเป็นลูกสาวคนโตของตานอและยายแว่น เล่าว่า ตนอยู่บ้านหลังข้างๆ น.ส.แหม่ม แต่ที่ผ่านมาตนแทบจะไม่เจอหน้าพ่อหน้าแม่เลย เพราะ น.ส.แหม่ม พยายามกีดกันทุกวิถีทาง ทั้งสร้างรั้วสูง ทั้งปล่อยสุนัขพันธุ์ดุคอยเฝ้าไม่ให้ใครเข้าไป แม้แต่นายนอกับนางแว่นก็ไม่สามารถออกมาได้ ที่ผ่านมาตนก็ไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อแม่ คิดแค่ว่า น.ส.แหม่ม คงกลัวตนไปแย่งสมบัติ จึงไม่ได้เข้าไปยุ่มย่ามอะไร
แต่อยู่มาวันหนึ่ง ตนได้ยินเสียงนางแว่น ผู้เป็นแม่มายืนร้องไห้อยู่ริมรั้ว ตอนนั้นตนก็ไม่ได้เห็นหน้าแม่หรอก เพราะรั้วมันสูงมาก นางส้มลิ้มจึงถามไปว่า "แม่เป็นอะไร อัดอั้นตันใจอะไรก็บอกลูกมา" จากนั้นก็ได้ยินแค่เสียงที่แม่บอกว่า "กูอยากไปหามึง แต่ออกไปไม่ได้" จากนั้นก็ได้มีคนมาดึงแม่ของตนกลับบ้านไป พอวันต่อมา ตนก็ได้ยินเสียงแม่ร้องไห้อีก จึงพยายามบอกให้แม่เดินตามเสียงมา และไปคุยกันตรงที่รั้วเป็นรู เพื่อที่จะได้เห็นหน้าแม่ ตอนนั้นก็เห็นว่าแม่นั้นร้องไห้ และเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟังว่า ถูก น.ส.แหม่ม ขังไว้ ไม่ยอมให้ออกไปนอกบ้าน นางส้มลิ้มเห็นท่าไม่ดี จึงได้เดินไปต่อว่า น.ส.แหม่ม หน้าบ้านให้ปล่อยตัวแม่ออกมา พร้อมขู่ว่าจะพาตำรวจมาจับ จึงทำให้ตนพาแม่ออกมาได้สำเร็จ และก็พาตัวพ่อออกมาได้ในเวลาต่อมา
ต่อมานางสาวอาภาพัสร์ ลูกสาวของนางส้มลิ้ม หลานสาวของตานอกับยายแว่น บอกว่า ตอนแรกตนก็ไม่ได้รู้เรื่องราวอะไร เพราะตนอาศัยอยู่ที่กรุงเทพฯ แต่อยู่มาวันหนึ่งช่วงต้นเดือนเมษายน 2566 นางส้มลิ้ม แม่ของตนได้โทรมาหาแล้วบอกว่า "ยายหนีออกจากบ้าน" ตนก็ตกใจและรีบเดินทางไปหา จนได้ความว่า เดิมทีตากับยายนั้นอาศัยอยู่กับ น.ส.แหม่ม ซึ่งก็อยู่บ้านใกล้ๆ กับนางส้มลิ้มนี่แหละ แต่ก่อนหน้านี้นางส้มลิ้มไม่มีโอกาสได้พบหน้าหรือพูดคุยกับตานอและยายแว่นเลย เนื่องจากจู่ๆ น.ส.แหม่ม ก็ได้ให้คนงานมาทำรั้วรอบบ้าน โดยสร้างรั้วสูงมาก ขนาดที่ว่านางส้มลิ้มจะต้องขึ้นไปชั้นสองของบ้าน ถึงจะมองเห็นบ้านของ น.ส.แหม่ม นอกจากนั้นยังไม่พอ น.ส.แหม่ม ยังไปเอาสุนัขพันธุ์ดุมาเลี้ยงไว้ที่บ้าน เพื่อกีดกันไม่ให้คนนอกเข้าบ้าน ขนาดที่นางส้มลิ้มเป็นพี่สาวก็ยังไม่อนุญาตให้เข้าไป
ต่อมายายแว่นก็ได้พยายามหลบหนีออกมาได้สำเร็จ และ10 วันต่อมา ตานอก็ได้หนีตามออกมาได้เช่นกัน เมื่อตานอก็ยายแว่นออกมาได้ สิ่งแรกที่เขาต้องการ คือ ให้พาไปธนาคารเพื่อไปเช็กว่าเงินยังอยู่ครบไหม ปรากฏว่าเงินในธนาคารเหลือ 0 บาท จากยอดเงินคงเดิมรวมแล้วกว่า 10 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีที่ดินนับ 100 ไร่ ของตานอและยายแว่น ที่มีมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท ก็ได้ถูก น.ส.แหม่ม โอนไปยังชื่อของตัวเอง ซึ่ง น.ส.แหม่ม ได้โอนที่ดินทั้งหมดภายในวันเดียว คือวันที่ 30 มิถุนายน 2563 โดยที่ตานอและยายแว่นไม่เคยทราบเรื่องมาก่อนเลย
โดยช่วงแรกที่ออกมาจากบ้านของ น.ส.แหม่ม ตากับยายก็ยังพูดคุยสื่อสารไม่ค่อยได้เพราะฤทธิ์ของยาที่ น.ส.แหม่ม เคยให้กิน แต่เมื่ออยู่ไปสักระยะหนึ่ง ตานอก็เริ่มเล่าเรื่องราวให้ฟังว่าถูก น.ส.แหม่ม กักขังไว้ในบ้าน ไม่ให้ออกมาเจอผู้คน และยังไปป่าวประกาศกับชาวบ้านว่าตากับยายเป็นบ้า ไม่ให้ใครเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย ซึ่งหลังจากเกิดเรื่อง น.ส.แหม่ม ก็ได้ไปฟ้องกับศาลว่าตายายนั้นเป็นบ้า มีอาการวิกลจริต ทำให้สติฟั่นเฟือน แต่ผลการตรวจร่างกายจากแพทย์ ก็ได้ยืนยันว่าตานอและยายแว่นนั้นปกติดีทุกอย่าง ไม่ได้มีอาการทางจิตใดๆ
ทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปที่บ้านของ น.ส.แหม่ม ใน ต.คลองม่วง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ทันทีที่ไปถึงหน้าบ้าน ก็มีชายคนหนึ่งซึ่งเป็นสามีของ น.ส.แหม่ม เดินออกมาบริเวณหน้าบ้าน แล้วบอกว่า "ผมชื่อแดง เป็นเจ้าของบ้าน มีอะไร" ทีมข่าวช่อง 8 จึงได้สอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร มีอะไรอยากจะชี้แจงไหม แต่ชายคนดังกล่าวก็ตอบเพียงสั้นๆ ว่า "ตอนนี้ทนายกำลังรวบรวมหลักฐาน ไม่ต้องมาถามผม ผมไม่พูดอะไรหรอก ไว้ผมพร้อมเมื่อไหร่ เดี๋ยวผมจะไปหาที่ช่องเอง" จากนั้นชายคนดังกล่าวก็ได้เดินกลับเข้าไปในบ้าน ซึ่งก็มี น.ส.แหม่ม ที่กำลังยืนรออยู่ภายในบ้าน
ขณะเดียวกันก็ได้มีสุนัขวิ่งออกมาจากภายในบ้านประมาณ 4 ตัว ซึ่ง 3 ตัวจะเป็นสุนัขพันธุ์ทาง แต่จะมีอยู่ 1 ตัว ซึ่งคาดว่าเป็นสุนัขพันธุ์เกรทเดน ลายเสือ รูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงกว่าตัวอื่นๆ ได้ออกมาเห่าไล่ทีมข่าว
ต่อมาทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปที่สำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาปากช่อง และได้พูดคุยกับหัวหน้าฝ่ายทะเบียน ได้ข้อมูลสั้นๆ ว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ที่เคยทำนิติกรรมให้กับตานอและยายแว่นได้ย้ายไปประจำอยู่ที่สาขาอื่นทั้งหมดแล้ว จึงไม่สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์วันที่ 30 มิถุนายน 2563 แต่จากการตรวจสอบเบื้องต้น ก็พบข้อมูลว่าวันดังกล่าว นายนอและนางแว่น ได้เดินทางมาทำนิติกรรมประเภทให้ด้วยตนเอง โดยผู้รับในที่นี้ คือ น.ส.แหม่ม ซึ่งมีความเกี่ยวข้องเป็นลูกสาว เนื่องจากมีข้อมูลการมายืนยันตัวที่สำนักงาน ไม่ได้มีการใช้หนังสือมอบอำนาจใดๆ
แต่จากกรณีนี้ ที่มีการอ้างว่าเป็นการให้ด้วยความไม่เต็มใจ หรือเป็นลักษณะของการวิวาท ทางนายนอและนางแว่นสามารถทำนิติกรรมดังกล่าวให้เป็นโมฆะได้ โดยทางกฎหมายแพ่งระบุไว้ชัดว่า หากผู้รับที่ดินได้กระทำการเนรคุณ หรือคิดร้ายกับผู้ให้ ผู้ให้สามารถเอาคืนได้ตามเหตุสมควร แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล ว่าศาลจะลงความเห็นให้มีการสั่งถอนคืนหรือไม่