จากกรนีนางสาวชลิดา พะละมาตย์ หรืออ้อ ตัวแทนจากมูลนิธิเป็นหนึ่ง พานางสาวลักษณ์ ใชยชาญ หรือซ้อลัก อายุ 41 ปี สาวนักธุรกิจพันล้านภาคอีสาน ออกมาแฉนายอู๊ด อายุ 49 ปี สามี ที่เป็นทีมงานผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล จ.สกลนคร ทำร้ายเลือดอาบหน้า แถมแอบถ่ายโอนทรัพย์สินไปให้คนอื่น นั้น
วันนี้ (19 ตุลาคม 2566) ทีมข่าวเดินทางไปเจอกับนางสาวลักษณ์ ใชยชาญ หรือซ้อลัก นักธุรกิจพันล้านภาคอีสาน ในฐานะผู้เสียหาย เผยว่า ก่อนหน้านี้ตนเองเป็นนักธุรกิจ เกี่ยวกับการสร้างอสังหาริมทรัพย์ และ เลิกกับสามีคนเก่า จนหันมาทำธุรกิจเอง เกี่ยวกับการสร้างอาคารและอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีลูกติด จนกระทั่งปี 2554 ไปรู้จักกับเสี่ยอู๊ด ซึ่งตอนนั้น เสี่ยอู๊ดเป็นเพียงผู้จัดการโรงงานแห่งหนึ่งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร หลังจากที่ได้หาและพูดคุยกัน ก็ได้ตัดสินใจตัดสินใจแต่งงานกันในปี 2557 ในช่วงต่อมา แล้วพากันกลับไปอยู่บ้านนอกที่จังหวัดสกลนคร ไปเปิดบริษัทร่วมกันเพื่อสร้างอนาคต โดยมีการเปิดบริษัทเกี่ยวกับอาหารสัตว์ ซึ่งตนเองเป็นคนลงทุน แต่ส่วนของเสี่ยอู๊ดเป็นคนลงแรง จากนั้นก็มีการทำทุนเริ่มต้นมูลค่าหลักล้าน จนกระทั่งขยายมีตัวตัวแทนและขยายช่องทางการขาย จนทำให้มูลค่าของบริษัทปัจจุบันสูงถึง 200 ล้านบาท
และระหว่างทางก็ได้มีการซื้อบ้านด้วยกันซื้อรถอีกหลายคันด้วยกัน แต่ด้วยความที่ตนเองรักเสี่ยอู๊ดและไว้ใจในความรัก จึงจึงได้มีการจดทะเบียนรถและบ้านทุกอย่างให้เป็นชื่อของเสี่ยอู๊ด แต่ทุกอย่างก็ยังอยู่ในเงื่อนไขของสินสมรสเพราะเนื่องจากเกิดขึ้นหลังจากที่มีการจดทะเบียนและแต่งงานกัน
โดยช่วงหลังจาก ตนเองทราบว่าตัวของเสี่ยอู๊ดเริ่มเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับทางการเมือง เพราะเจ้าตัวพยามมาขอตนเองในฐานะที่เป็นภรรยา ที่จะไปลงสมัครรับเลือกตั้งหรือเป็นสมาชิกเลือกตั้งในท้องถิ่น สังกัดพรรคก้าวไกล แต่ตนเองต้องการที่จะให้เสี่ยอู๊ดไปยุ่งเกี่ยวทางการเมือง อยากจะให้เป็นเพียงสมาชิกหรือผู้สนับสนุนเบื้องหลัง แล้วบริหารงานธุรกิจร่วมกัน แต่ปรากฏว่าช่วงหลังเลือกตั้งเสี่ยอู๊ดเริ่มมีท่าทีเปลี่ยนไป และและทราบจากคนรอบข้างว่าแอบไปสมัครเป็นสมาชิกและทีมงานของพรรคก้าวไกลจังหวัดสกลนคร หลังจากที่ตนเองเริ่มรู้ว่ามีการแอบไปสมัคร ก็ทราบว่าเจ้าตัวก็ท่าทีเปลี่ยนหนักไปกว่าเดิม ไม่ยอมเข้าบ้าน โดยอ้างว่าติดธุระ จนกระทั่งตนเองติดตามทวงถาม ก็ถึงขั้นถูกบล็อกเบอร์และช่องทางการติดต่อ จนทำให้ต้องนัดพูดคุยกัน
ช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2566 หลังจากที่เริ่มระหองระแหงกัน ตัวของเสี่ยอู๊ดก็กลับมาบ้าน แต่ไม่ได้ขึ้นมานอนกับตนเอง ปลีกตัวไปนอนห้องแม่บ้านและเป็นห้องอื่น จนกระทั่งตัวเองเริ่มสังเกตความผิดปกติ ก็พยามถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็เริ่มระแคะระคายว่าเสี่ยอู๊ดอาจมีคนอื่น เพราะมีคนรายงานว่า เวลาออกงานมักจะพาคนอื่นไปแนะนำ (พากิ๊กไปแนะนำตัวกับคนนอก) ตนเองจึงตัดสินใจที่จะพูดคุยอีกครั้งเพื่อสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เสี่ยอู๊ดก็ยังปฏิเสธมาตลอด
จนวันที่ 13-14 สิงหาคม 2566 ไม่แน่ใจว่าเสี่ยอู๊ดไปฟังใครแนะนำข้อกฎหมายหรือแนวทางการหาหลักฐานเพื่อที่จะฟ้องหย่า โดยมีการไปซื้อกล้องวงจรปิดแบบโรบอต 2 ตัว มาติดตั้งเพิ่มในบ้าน จากนั้นก็ไปซื้อ GPS มาติดตั้งที่รถ1ตัว และ GPS สำหรับดักฟัง3ตัว มาติดตั้งที่ห้องนอนและห้องโถง จนกระทั่งตนเองไปพบเจอก็เลยมีการถอดออกมา , และสิ่งที่เสี่ยได้มีการติดตั้งทั้งกล้องและรวมถึงระบบดักฟัง ตนเองเชื่อว่าต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับการแอบแบล็กเมลว่าตนเองคุยกับชายอื่นเพื่อที่จะใช้ในการฟ้องศาลในการฟ้อง แล้วเกี่ยวข้องกับสินสมรสที่อาจจะมีผลถ้าหากจับได้ว่าตนเองมีคนอื่น แต่ยืนยันว่าตนเองไม่ได้มี ยังรักและดูแลธุรกิจตามปกติ ไม่ได้มีใครอย่างที่ถูกกล่าวหา แต่เป็นอุบายที่ตัวของเสี่ยอู๊ดต้องการที่จะหาหลักฐานแล้วเอาไปโยงว่าตัวเองมีคนอื่นมากกว่า , และหลังจากที่ตนเองจับได้ว่ามีการติดตั้ง GPS ในบ้านและรถรวมถึงเอากล้องกล้องวงจรปิดมาติดตั้งเพิ่ม ทำให้ตนเองทะเลาะหนักกับฝั่งของเสี่ยอู๊ดจึงทำให้เจ้าตัวไปอยู่ที่อื่นไม่ได้อยู่อาศัยบ้านเดียวกันกับตนเอง
แล้วเหตุการณ์ถัดถัดมา วันที่ 2 กันยายน 2566 ปรากฏว่าเสี่ยอู๊ดได้ย้อนกลับมาที่บ้าน พร้อมกับหาเรื่องทำให้ตนเองและเสี่ยอู๊ดทะเลาะกัน และเสี่ยอู๊ดมีท่าทีจะพยายามเอาทรัพย์สินในบ้านออก โดยเฉพาะรถที่จอดอยู่ในโรงรถ ตนเองจึงพยายามถามเหตุผล กับสิ่งที่เสี่ยอู๊ดเปลี่ยนไป แต่ปรากฏว่าพูดจากันไม่รู้เรื่อง ตนเองจึงหยิบตุ๊กตาไปทุบกระจกรถหน้าและหลังรถมัสแตงสีแดงมูลค่า 8 ล้านบาท แล้วตนเองกับเสี่ยอู๊ดก็ทะเลาะกันรุนแรงจึงถูกเสี่ยอู๊ดชกเข้าที่คิ้วซ้ายแตกเลือดอาบตามที่ปรากฏเป็นภาพ , และจากพฤติกรรมดังกล่าวตนเองยืนยันย้ำว่าไม่ใช่เป็นการตบสั่งสอนหรือบันดาลโทสะ แต่เกิดจากการตั้งใจชกและทำร้ายร่างกายตนเอง , และที่สำคัญหลังจากที่ตนเองถูกทำร้าย เสี่ยอู๊ดไม่ได้สนใจใยดี ให้ตนเองต้องเดินเข้าไปภายในบ้านเอาน้ำแข็งประคบเอง แต่เสี่ยอู๊ดยังมีกระจิดกระใจโทรเรียกประกันรถเพื่อที่จะเคลมรถ ประกอบกับเรียกรถสไลด์มารับรถไปซ่อมที่กรุงเทพโดยไม่ได้สนใจตนเองทั้งที่ถูกทำร้ายร่างกาย
และหลังเกิดเหตุที่ตัวเองถูกทำร้ายร่างกายจึงได้มีการเปลี่ยนกุญแจและแม่กุญแจใหม่ในบ้านทั้งหมด จากนั้น วันที่ 13 กันยายน 2566 กล้องวงจรปิดหน้าบ้านจับภาพภาพเสี่ยอู๊ดย้อนกลับมาพร้อมกับใช้กรรไกรตัดเหล็กพยามตัดกุญแจโรงจอดรถหน้าบ้านออก แม้ว่าตนเองจะเปลี่ยนกุญแจชุดใหม่ไปแล้วก็ตาม เจอกันกระทั่งตนเองต้องโทรแจ้ง 191 เพื่อเข้ามาตรวจสอบเพราะเนื่องจากกลัวว่าจะถูกทำร้ายซ้ำ จากนั้นเสี่ยอู๊ดก็กลับออกไปเพราะตนเองมีการแจ้งตำรวจ
และ วันที่ 14 กันยายน 2566 เวลาประมาณช่วงบ่าย กล้องวงจรปิดหน้าบ้านจับภาพ เสี่ยอู๊ดย้อนกลับมาอีกครั้งเพื่อที่จะมาขับเอารถบีเอ็มซีรี่ส์ 7 มูลค่าประมาณ 6,000,000 กว่าบาทขับออกไป ซึ่งเป็นการโยกย้ายทรัพย์สินซึ่งซึ่งเป็นสินสมรสที่อยู่ในบ้านด้วยกัน เอาไปที่อื่น
โดยเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดตนเองก็ต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมเพราะเนื่องจากถูกเสี่ยอู๊ดซึ่งเป็นสามีทำร้ายร่างกาย แต่การที่ไปพูดถึงพรรคการเมืองก็ไม่ได้มีเจตนาดิสเครดิต แต่เพียงแค่เจ้าตัวสังกัดและทำงานอยู่พรรคดังกล่าวในฐานะทีมงานที่จังหวัดสกลนครเท่านั้น และหลังจากนี้ตนเองก็จะเดินหน้าเอาผิดตามกระบวนการของกฎหมายที่มีการทำร้ายร่างกายรวมถึงโยกย้ายทรัพย์สิน แต่ส่วนเรื่องของการขึ้นศาลฟ้องหย่าหรือการแบ่งทรัพย์สินสินสมรสนั้น ก็ว่าไปตามกระบวนการ เพราะตนเองยืนยันว่าตนเองถูกทำร้ายและไม่เคยมีคนอื่นก่อน แต่ส่วนเสี่ยอู๊ดจะมาจ้องจับผิดเพื่อที่จะใช้กระบวนการทางกฎหมายในการให้ตนเองมีสิทธิ์ในสินสมรสน้อยลงนั้นก็ขึ้นอยู่กับเจ้าตัว
และตนเองยังทราบอีกว่า เสี่ยอู๊ดได้มีการไปให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวช่อง 8 โดยมีการพูดทำนองว่ารักเมีย พร้อมที่จะไกล่เกลี่ย หรืออยากจะเข้าไปพูดคุยตกลงกันด้วยดีเพราะเนื่องจากเป็นเรื่องครอบครัวนั้น ส่วนตัวอยากจะจะย้อนถาม "ถ้าหากรักทำไมต้องทำกันขนาดนี้ และถ้าหากรักทำไมต้องทำให้ตนเองคิ้วแตกโดยอ้างว่าเพียงแค่ตบ" อีกทั้งคำพูดที่ทำให้ตนเสียใจที่ทางเสี่ยอู๊ดพูดใส่ตนว่า "กูไม่อยากอยู่กับมึง ไม่อยากใช้ชีวิตร่วมกับมึง ทำไมมึงไม่ไปตายกับพ่อแม่มึง"
ฉะนั้นทุกอย่างก็ต้องว่าไปตามกระบวนการเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นแล้ว และอาจยากที่จะกลับไปอยู่ด้วยกันได้อีก เพราะอย่าลืมว่าเสี่ยอู๊ดเองปัจจุบันก็มีคนในใจอยู่ และรู้อยู่แก่ใจว่าคนๆนั้น เป็นใคร
มูลนิธิเป็นหนึ่งยืนยันช่วยเหลือเหยื่อเต็มที่เพราะถูกกระทำ อ้างไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง
ด้าน นางสาวชลิดา พะละมาตย์ หรืออ้อ ตัวแทนจากมูลนิธิเป็นหนึ่ง เผยว่า จากเรื่องราวของนางสาวลักษณ์ หรือซ้อลัก ซึ่งเป็นนักธุรกิจสาวในพื้นที่จังหวัดอีสาน ที่มีการร้องขอความช่วยเหลือกับทางมูลนิธิฯ ยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวได้รับเรื่องมานานแล้ว และทราบว่าถูกทำร้ายร่างกายรวมถึงมีการกระทำบางอย่างที่ทำผิดกฎหมายรวมถึงละเมิดสิทธิ์ ทำให้ตนเองจึงตัดสินใจรวบรวมพยานหลักฐานในเรื่องนี้ จนทำให้ทราบว่ามีข้อมูลสำคัญที่เสี่ยอู๊ดมีการกระทำการเกี่ยวกับบริษัทที่มีการเปิดร่วมกันกับซ้อลัก ผู้เสียหาย โดยมีการทำเอกสารและปลอมแปลงเอกสารในการเข้าชื่อและออกในบริษัทประกอบกิจการด้านอาหารสัตว์ ซึ่งมีการปลอมแปลงและเซ็นเองประมาณ 13 ครั้ง โดยได้มีการรวบรวมหลักฐานเอาไว้หมดแล้ว
ส่วนเรื่องของทรัพย์สินไม่ว่าจะเป็นบ้านรวมถึงรถและสิ่งของอื่นที่มีการซื้อร่วมกันทั้งหมด แม้ว่าจะมีรายงานข้อมูลว่ามีการโอนโยกย้ายไปให้บุคคลอื่นซึ่งเป็นบุคคลที่3 ก็ได้มีการรวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับการโอนให้บุคคลอื่นไปครบถ้วนเช่นกัน แต่ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นทรัพย์สินที่เกิดขึ้นในระหว่างที่มีการจดทะเบียนสมรสจึงเรียกว่าสินสมรส จึงไม่สามารถดำเนินการโยกย้ายโอนถ่ายให้บุคคลอื่นแล้วอ้างว่าเป็นทรัพย์สินส่วนตัวได้
และกรณีที่มีการทำร้ายร่างกายซ้อลัก แล้วจะอ้างว่าเป็นเหตุทะเลาะกันหรือเหตุในครอบครัว ส่วนตัวก็จะไม่ขอพูดอะไรมากเพราะเข้าใจว่าคนในครอบครัวครอบครัวมักจะมีปัญหากันเป็นเรื่องธรรมดา แต่การทำให้ถึงขั้นเลือดตกยางออกและมีหลักฐานชัดเจนขนาดนี้ ตนเองก็ในฐานะเป็นผู้หญิงและเป็นคนที่เคยถูกอดีตสามีทำร้ายร่างกายมาแล้ว จึงเข้าใจหัวอกซ้อลัก ว่าการกระทำแบบนี้มันไม่สมควร "ถ้าหากคนเราจะรักกันคงจะจะรักกันด้วยใจ ไม่ใช่รักกันด้วยส้นเท้า" ดังนั้นจึงยืนยันว่าการออกมาปกป้องและการร่วมเดินหน้าในครั้งนี้ก็เพื่อที่จะปกป้องสิทธิ์และทวงคืนความยุติธรรมให้กับผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกผู้ชายทำร้ายร่างกายและพยายามใช้ข้อกฎหมายบางอย่างที่ไปฟังทนายหรือใครไม่รู้แนะนำให้ทำผิดโดยการโยกย้ายทรัพย์สินและปลอมแปลงเอกสารดังนั้นก็จะยืนยันเดินหน้าตามกฎหมายให้ถึงที่สุด
อย่างไรก็ตาม นางสาวชลิดา ยังชี้แจงว่า กรณีที่มีบางพรรคการเมืองหรือพรรคก้าวไกลที่ถูกโยงอยู่ในขณะนี้ อ้างว่าตนเองกำลังมีการดิสเครดิตหรือมีการรับงานจากบางพรรคการเมืองเพื่อมาโจมตีนั้น จึงยืนยันยืนยันว่าเรื่องที่ออกมาปกป้องเป็นการปกป้องสิทธิ์ในฐานะที่มีผู้เสียหายที่ถูกทำร้ายร่างกายและถูกกดขี่ แล้วการที่ตนเองออกมาทำก็เพื่อสิทธิ์และในนามมูลนิธิ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับทางพรรคการเมืองหรือต้องการดิสเครดิตใคร และถ้าหากบุคคลดังกล่าวอ้างว่าตนเองรับงานจากพรรคตรงข้ามพรรคก้าวไกลแล้วต้องการที่จะดิสเครดิตพรรค จึงย้ำอีกครั้งว่าตนเองก็เป็นสมาชิกพรรคก้าวไกล และยังมีบัตรสมาชิก แต่เพียงแค่ไม่แสดงออก ตนเองไม่มีวัตถุประสงค์ใดที่จะทำร้ายหรือดิสเครดิตพรรคที่ตนเองเป็นสมาชิกอยู่อย่างแน่นอน เพียงแค่อยากแยกแยะว่าระหว่างบุคคลที่กระทำผิดกับพรรคการเมืองมันคนละเรื่องกัน
เสี่ยอู๊ดเปิดใจยังรักและรอคุยกับซ้อลัก ไม่ขอแจงประเด็นอื่นเตรียมสู้ในชั้นศาล
เสี่ยอู๊ด เปิดใจกับทีมข่าวช่อง 8 ผ่านทางโทรศัพท์ ว่า เรื่องทั้งหมดตนเองยังไม่ขอชี้แจงอะไรเพราะทุกอย่างจะว่าไปตามกระบวนการในชั้นศาล และสื่อไม่ใช่ศาล จึงไม่มีมีความจำเป็นใดที่จะต้องมาสืบความ และตอนนี้ตนเองก็กำลังปรึกษากับทีมทนายเพื่อดำเนินตามขั้นตอนของกฎหมาย แต่จะขอตอบหรือชี้แจงได้ในบางประเด็นเท่าที่ตอบได้ แต่ยืนยันย้ำอีกครั้งว่า แม้จะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น “ตนเองก็ยังรักซ้อลัก และยังห่วงใยเสมอ”
โดยตามภาพและการออกมาปรากฏตัวผ่านสื่อของซ้อลัก ที่มีภาพลักษณะคิ้วแตกมีเลือดอาบ ตนเองอยากจะบอกว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในครอบครัว ซึ่งการอยู่ด้วยกันในครอบครัวคู่ผัวตัวเมียก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะทะเลาะกัน แต่ในวันดังกล่าวเกิดจากการลงไม้ลงมือที่รุนแรงเกินเกินกว่าเหตุนิดหน่อย โดยตนเองมีการตบไปที่ใบหน้า แต่ไม่ใช่การชก และเกิดขึ้นจากบันดาลโทสะไม่ได้เกิดจากความใจ แต่ส่วนรายละเอียดอื่นตนเองขอไม่ตอบ เพราะเชื่อว่าตัวของซ้อลัก ก็รู้ดี
ส่วนภาพวงจรปิดที่ปรากฏว่าตนเองเข้าไปตัดเหล็กซึ่งเป็นแม่กุญแจหน้าบ้านรวมถึงมีการนำรถออกไปจากบ้านดังกล่าวนั้น ตนเองขอไม่ชี้แจงและไม่พูดอะไรตรงนี้เพราะรอให้การในชั้นศาล เพราะการกระทำทั้งหมดตนเองก็ยังมีสิทธิ์ในหลายอย่าง เนื่องจากตนเองก็ยังเป็นสามีของซ้อลัก , และเหตุผลที่ตนเองไปติด GPS รวมถึงติดตั้งกล้องเพิ่มก็ไม่ขอตอบอีกเช่นเดียวกัน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตนเองกำลังจะใช้ในการต่อสู้ในชั้นศาล แต่ทั้งหมดตนเองเชื่อว่าไม่ว่าตนเองจะถูกเข้าใจผิดหรือเข้าใจผิดถูก หรือสิ่งที่ซ้อลัก กำลังไปพูดผ่านสื่อจะเป็นในรูปรูปแบบใดก็ตาม สุดท้ายแล้วตนเองเชื่อว่าคนเป็นผัวเมียกันก็จะจบลงที่กันการไกล่เกลี่ย ซึ่งตนเองก็รอที่จะคุยกับซ้อลักเหมือนกัน และอยากจะฝากบอกว่าตนเอง “ยังรักเสมอ หากเป็นไปได้ก็อยากให้มาพูดคุยกันเพราะเชื่อว่าคนในครอบครัวก็จะรู้ดีกันมากกว่าคนนอก”
"กรุณพล" ลั่น "ก้าวไกล" ไม่ยอมรับการทำร้ายร่างกายทุกกรณี
นายกรุณพล เทียนสุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ และรองโฆษกพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ถึงกรณีการแฉคณะทำงานของพระก้าวไกล ทำร้ายร่างกายภรรยาที่จังหวัดสกลนคร ว่า เราไม่สามารถยอมรับได้ ไม่ว่าจะเป็นชายทำร้ายหญิง หรือหญิงทำร้ายชาย หรือใครทำร้ายใครก็ตาม เคสเราดูแล้ว เป็นสมาชิกพรรค ที่เพิ่งสมัครมาเมื่อเดือนเมษายน จึงมีอายุสมาชิกเพียงสองเดือน และไม่มีชื่อที่ถูกแต่งตั้งโดยคณะกรรมการบริหารให้เป็นคณะทำงาน เพียงแค่ลงพื้นที่ทำงานช่วยเหลือเท่านั้น
นายกรุณพล ระบุว่า เวลาลงพื้นที่ มีทั้งอาสาสมัคร คนที่เป็นและไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค หรือแคนดิเดตในท้องถิ่น และผู้สมัครก็ลงไปทำงานอยู่ด้วย หากดูแค่ภาพถ่าย และเห็นว่าเป็นทีมงานของจังหวัด ก็ไม่ถูกต้อง บางคนอาจจะสวมใส่เสื้อที่มีสัญลักษณ์ของพรรค แต่จากบุคคลในภาพไม่ใช่สิ่งของหรือสินค้า official ของพรรคอาจหาซื้อได้ตามแพลตฟอร์มออนไลน์
ส่วนจะดำเนินการอย่างไรต่อไปนั้น นายกรุณพล ระบุว่า ไม่ว่าจะสมาชิกพรรคหรือ สส. เราจะมีการสอบสวนตามระเบียบของสมาชิกพรรค ถ้าผิดระเบียบ ก็ขับออกสมาชิกภาพของพรรค
เมื่อถามว่าเรื่องนี้เป็นคดีความไปแล้ว พรรคจะลงโทษอย่างไร นายกรุณพล ระบุว่า เรื่องบทลงโทษ หรือการมีคดีความนั้น อย่างที่พรรคก้าวไกลยืนหยัด คือทุกคดีก่อนศาลมีคำสั่งตัดสิน เราต้องทำเสมือนบุคคลนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ เรายังไม่ได้รับคำตอบว่า ทำไมต้องทำร้ายร่างกาย และทำทำไม ซึ่งถ้าทำจริงขับออกแน่ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องการทำร้ายร่างกายระหว่างคนในครอบครัว เราเข้าไปตัดสินการกระทำไม่ได้ ให้ขึ้นอยู่กับทางตำรวจและทางกฎหมาย
ส่วนจะนำเรื่องนี้มารวมกับ 4 กรณีก่อนหน้าหรือไม่ นายกรุณพล ระบุว่า ไม่รวม เพราะพรรคดำเนินการไปแล้ว นี่คือสมาชิก 1 คน จากในจำนวน 1 แสนคน หากใช้เกณฑ์นี้ในการตัดสิน กรรมการบริหารพรรคที่ตรวจสอบก็คงไม่ได้ทำงานในสภา เพราะเป็น สส. ด้วย
สำหรับการแนวทางคัดกรองสมาชิกพรรคเพิ่มขึ้น หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว นายกรุณพล กล่าวว่า การเป็นอาสาสมัครมีการคัดกรองในระดับหนึ่งอยู่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องรู้จักผู้สมัครหรือทำงานร่วมกันและดูว่ามีอะไรน่ากังวลหรือไม่ แต่เรื่องนิสัยการคัดกรองคนดีหรือไม่ดี เราดูจากประวัติอาชญากรรม ซึ่งนิสัยส่วนตัวเราไม่สามารถดูได้