จากกรณีที่คุณตาคุณยาย ซึ่งมีที่ดินนับ 100 ไร่ มูลค่านับ 500 ล้านบาท เงินสดอีกนับ 10 ล้านบาท เข้าร้องข้อความช่วยเหลือ เพราะสงสัยว่าถูก น.ส.แหม่ม ลูกสาวคนเล็กแอบเอายากล่อมประสาทให้กินมาตลอด 3 ปี เพื่อหลอกเอาสมบัติ ซึ่งต่อมาทางทนายน.ส.แหม่ม หอบเอกสารกองโตและภาพหลักฐานสำคัญบางส่วน ชี้ว่าคุณตาคุณยายมีอาการป่วยทางจิต เห็นภาพหลอน และมีอาการสมองเสื่อม โดยเป็นคลิปขณะตานอทำท่าทีคล้ายกับกำลังงัดแงะประตูหน้าต่าง ขณะรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล อาจดูเหมือนตานอนั้นมีอาการย้ำคิดย้ำทำ หรือทำพฤติกรรมแปลก ๆ จนทำให้คิดว่าตานอมีอาการหลอน นั้น
หลานสาวยัน ตายายไม่ได้เป็นบ้า แต่โดนอิทธิพลกลั่นแกล้งให้เป็นบ้าเพื่อหวังฮุบมรดก
วันที่ 21 ตุลาคม 2566 น.ส.อาภาภัสร์ พันธ์มุง หรือ แพรว ซึ่งเป็นหลานสาวของตานอและยายแว่น ได้ขอออกมาโต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องเมื่อวานนี้ ที่ทางฝั่งทนายของ น.ส.แหม่ม ได้งัดคลิปวิดีโอขณะตานอทำท่าทีคล้ายกับกำลังงัดแงะประตูหน้าต่างขณะรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล อาจดูเหมือนตานอนั้นมีอาการย้ำคิดย้ำทำ หรือทำพฤติกรรมแปลก ๆ จนทำให้คิดว่าตานอมีอาการหลอนหรือเปล่า แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่แบบนั้น
โดย น.ส.อาภาภัสร์ เล่าว่า ตานอนั้นเป็นคนหัวโบราณ ซึ่งก็เป็นปกติอยู่แล้วที่ตานอจะรู้สึกไม่สบายใจเวลาต้องออกไปนอนในสถานที่ใหม่ ๆ ที่ไม่คุ้นเคย ท่าทางที่เห็นในคลิป คือ ตานอแค่จะทำการเช็คประตูหน้าต่างว่าได้ล็อกมิดชิดหรือยัง เพราะตานอจะเป็นคนที่ค่อนข้างรอบคอบและระมัดระวังตัว เนื่องจากละแวกบ้านที่ตานออาศัยอยู่ มักจะมีโจรมาป้วนเปี้ยนบ่อย ๆ ส่วนภาพที่เห็นว่าตานอเดินชนนั่นชนนี่ คือ ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นว่าในคลิป ตานอจะไม่ได้ใส่แว่นตา บวกกับเป็นต้อกระจก จึงไม่น่าใช่เรื่องแปลกที่ตานอจะเดินชนเมื่ออยู่ในที่แสงน้อย
วันนี้ น.ส.อาภาพัสร์ ก็ของัดอีกคลิปมาให้ทุกคนได้ดู ว่า หากตานอได้นอนในสถานที่ที่คุ้นเคย ตานอก็จะไม่ได้แสดงอาการตื่นกลัวหรือหวาดระแวงใด ๆ ทั้งสิ้น ในภาพก็จะเห็นว่า ตานอได้พายายแว่นเข้านอนตามปกติ โดยที่ไม่มีอาการเดินสอดส่องหรืองัดแงะประตูหน้าต่างใด ๆ แต่สิ่งที่ตานอมักจะทำจนติดเป็นนิสัย คือการปิดประตู ตาค่อนข้างเป็นคนที่คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเอง แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่น่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ตานอกลายเป็นคนบ้าได้ เพราะเชื่อว่าใคร ๆ ก็ต้องเป็นห่วงความปลอดภัยของตัวเองกันทุกคน
นอกจากนี้ ยังมีอีกสิ่งที่ทำให้ครอบครัวของ น.ส.อาภาภัสร์ รู้สึกกังวลใจ ก็คือเรื่องของอิทธิพลมืด ที่ผ่านมาทางฝั่งของ น.ส.แหม่ม ได้พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ยายแว่นกลายเป็นคนไร้ความสามารถหรือคนบ้า โดยที่นายแดง (สามีนางแหม่ม) ได้เคยแจ้งความจับยายแว่น ในข้อหาแจ้งความเท็จ โดยนายแดงไปแจ้งความในวันที่ 4 กรกฎาคม 2566 และวันต่อมา ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เอาหมายจับมาเรียกยายแว่นถึงหน้าบ้าน ซึ่งถ้ามองตามหลักแล้ว กรณีนี้ไม่มช่เรื่องที่ร้ายแรงอะไรเลย แต่ทำไมถึงต้องขนตำรวจมาเยอะแยะ เพื่อมาพายายวัย 80 เพียงคนเดียวไปโรงพัก และหลังจากที่ไปโรงพัก ทางตำรวจก็ได้มีการตั้งกล้องถ่ายยายแว่น ซึ่งตอนนั้น น.ส.อาภาภัสร์ ก็ได้เข้าไปที่โรงพักด้วย แต่ทางตำรวจได้กันตนออกและบอกไม่ให้พูดอะไร ตอนนั้นยายแว่นเพิ่งจะหนีออกมาจากบ้าน น.ส.แหม่ม ทำให้ยายแว่นยังไม่สามารถพูดคุยตอบโต้ได้ เนื่องจากฤทธิ์ยาที่เคยกินก่อนหน้านี้
หลังจากนั้นปรากฏว่า คลิปที่ตำรวจตั้งกล้องถ่ายเอาไว้ในโรงพักได้ไปปรากฏอยู่ในชั้นศาล ซึ่งคลิปดังกล่าวกลายเป็นหลักฐานของฝั่ง น.ส.แหม่ม ที่ใช้เป็นข้ออ้าง บอกว่ายายแว่นพูดคุยไม่รู้เรื่อง สติฟั่นเฟือน ตนจึงกลัวในอิทธิพลส่วนนี้แหละ เพราะการกระทำแบบนี้ ตนมองว่ามันเป็นการกลั่นแกล้งและยัดเยียดความบ้าให้กับยาย
ส่วนประเด็นที่อีกฝั่งออกมาอ้างว่า ตานอและยายแว่นนั้นมีอาการประสาทหลอน และความจำเลอะเลือน พร้อมเอาเอกสารจากโรงพยาบาลมายืนยัน ในเรื่องนี้ ทางด้าน น.ส.อาภาภัสร์ ก็ขอแย้งอีกว่า "ไม่เป็นความจริง" เนื่องจากล่าสุด วันที่ 29 มิถุนายน 2566 และวันที่ 7 สิงหาคม 2566 ตนได้พายายแว่นกับตานอไปตรวจที่โรงพยาบาลเดิม และตรวจกับหมอคนเดิมที่เคยดูแลตากับยายเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งเคยกรอกข้อมูลไว้ว่า ตานอกับยายแว่นนั้นมีอาการสมองเสื่อม เห็นภาพหลอน และพูดคุยไม่รู้เรื่อง แต่วันล่าสุดที่ได้พาตากับยายไปตรวจ แพทย์คนเดิมก็ได้ลงความเห็นว่า ทั้งตาและยายไม่ได้มีอาการประสาทหลอน พูดคุยรู้เรื่อง ความทรงจำในอดีตก็ลดลงตามช่วงอายุ ซึ่งไม่ได้มีอะไรทีาผิดปกติเลย ตอนนั้นตนก็ถามหมอนะ ว่าทำไมตอนนั้นถึงกรอกข้อมูลว่าตากับยายป่วยประสาทหลอน ทางหมอก็บอกมาว่า "ตอนซักประวัติถามอาการ ตากับยายไม่ได้เป็นคนตอบ แต่ลูกสาวเป็นคนให้ข้อมูลกับหมอ ซึ่งตอนนั้นตากับยายก็มา แต่ไม่ได้พูดอะไร"
และประเด็นที่หลายคนสงสัย ว่าทุกอย่างที่ตนและแม่ (นางส้มลิ้ม) ทำไป เพราะหวังจะฮุบสมบัติเองหรือเปล่า ตนขอยืนยันว่า ไม่ใช่อย่างแน่นอน ที่ผ่านมาตนรู้สึกสงสารตากับยายนะ เห็นว่าแกเหนื่อยที่ต้องเดินทางขึ้นโรงขึ้นศาล ทุกครั้งตนก็จะถามตากับยายเสมอว่า "เราพอกันแค่นี้ดีไหม ตากับยายเหนื่อยไหม" ซึ่งทุกครั้งตากับยายก็จะบอกว่า "เหนื่อย แต่ตากับยายอยากได้ของคืน" โดยตนก็มีคลิปที่เป็นหลักฐานยืนยันตั้งแต่วันที่พาตากับยายออกมาจากบ้าน น.ส.แหม่ม ในวันที่ 18 เมษายน 2566 ซึ่งเป็นช่วงที่เพิ่งพายายออกมาได้ใหม่ ๆ ยายแว่นก็ได้พยายามถามหาที่ดินและทรัพย์สิน โดยบอกให้หลานสาวพาไปเช็คหน่อยว่าที่ดินยังมีเหลือไหม พร้อมกับยืนยันเสียงแข็งว่า "ยายไม่ได้โอนเงินให้แหม่ม ยายไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย"
ต่อมาวันที่ 3 มิถุนายน 2566 จะเป็นคลิปของตานอ ที่ได้ออกมายืนยันเช่นกัน ว่าตานอนั้นอยากได้ที่ดินคืน โดยขณะที่ตานอพูดนั้น ตายังสามารถจำรายละเอียดได้ว่า ซื้อที่มาจากใครและซื้อมากี่ไร่ ทำให้เห็นว่าความจำของตานั้นไม่ได้ฟั่นเฟือน
ตานอโอด อยู่กับลูกสาวคนเล็กไม่เคยมีความสุข จ้องแต่จะเอาเงินเอาทรัพย์สิน ซ้ำยังกีดกันไม่ให้ออกไปไหน
ด้าน นายนอ จินดา อายุ 80 ปี เล่าว่า ตอนที่อาศัยอยู่กับลูกสาวคนเล็ก หรือ น.ส.แหม่ม ตานอนั้นรู้สึกไม่ค่อยมีความสุขเลย เพราะลูกสาวมักจะพูดแต่เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ซึ่งทำให้ตาทุกข์ใจมาโดยตลอด และบอกว่า น.ส.แหม่ม ไม่ค่อยพาออกไปเที่ยวนอกบ้าน จะชอบสั่งให้อยู่แต่ในบ้าน พอจะออกทีไร ลูกเขยก็จะมาดึงกลับเข้าไปทุกที แต่พอตานอออกมาจากบ้านหลังนั้นได้ ครั้นจะกลับไปเอาทรัพย์สินส่วนตัวภายในบ้าน น.ส.แหม่ม ก็ไม่ให้กลับเข้าไปอีก และบอกว่าให้ไปเอาหมายศาลมา ถึงจะยอมให้เข้าบ้าน
ก่อนหน้านี้ น.ส.แหม่ม เคยเข้ามาขอโทษตานอแล้ว โดยเขาบอกว่า "เสียใจ ทำไปโดยคาดคิดไม่ถึง" แต่ตานอยืนยันว่า ตาจะไม่ให้อภัยเด็ดขาด ต่อให้ น.ส.แหม่ม ต้องติดคุกติดตาราง ตาก็จะไม่สนใจ เพราะเขาใจร้ายใจดำ วันนั้นเขามาขอโทษ แต่เขายืนยันว่าจะไม่คืนทรัพย์สินให้ ตาจึงไม่ให้อภัยเขา
ส่วนเรื่องที่ตาชอบเปิดประตูเปิดหน้าต่าง ตาแค่ได้ยินเสียงหมาเห่า เลยจะเปิดออกไปดูเฉย ๆ ว่าหมามันเห่าอะไร ตอนนี้พอได้ออกมาอยู่บ้านใหม่ กลางคืนตาก็นอนหลับสบายนะ ไม่เครียดไม่กังวลอะไรแล้ว
ยายแว่นเผย ฉันไม่ได้บ้า ไม่ได้เดินหอบผ้าไปกลางถนน แค่จะเดินไปซื้อผักซื้อปลามาทำกับข้าว ที่ต้องเดินเพราะลูกสาวไม่ยอมพาออกไป
นางแว่น จินดา อายุ 83 ปี เผยว่า ตนนั้นเควเดินออกมาตามถนนจริง แต่ไม่เดินบ้า ไม่ได้เดินหอบผ้าหอบผ่อน ตนแค่จะเดินไปซื้อผักซื้อปลามาทำกิน เพราะเมื่อก่อนจะมีรถกับข้าวมาขายที่หน้าบ้าน แต่ น.ส.แหม่ม ได้ไปบอกกับแม่ค้าว่า ห้ามขายของให้ยาย ตนจึงต้องเดินออกไปซื้อจากที่อื่น
ตั้งแต่ที่ น.ส.แหม่ม สร้างรั้ว ตนก็ไม่เคยได้ออกจากบ้านเลย ครั้งนึงเคยบอกลูกสาวคนเล็กนะ ว่าขอออกไปหาส้มลิ้มหน่อย แต่ น.ส.แหม่ม บอกว่า "อย่าไปนะ ไม่ต้องไปยุ่งกับบ้านนั้น" ซึ่งตอนนี้นยายก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไรที่ทำให้ลูกสาวทั้งสองคนผิดใจกัน ไม่รู้ว่าเขาทะเลาะกันเรื่องสมบัติหรือเปล่า
เมื่อก่อนยายชอบไปวัด แต่พักหลัง ๆ ลูกสาวคนเล็กกักขังยายไว้ในบริเวณบ้าน ไม่ให้ออกไปไหนเลย นิดนึงก็ไม่ได้ น.ส.แหม่ม ก็จะสั่งให้แฟนเขามาดึงยายกลับเข้าไปในบ้าน บางทียายก็อยู่แค่ในบ้านไม่ได้ออกมาข้างนอกเลยเป็นสิบ ๆ วัน
เปิดใจส้มลิ้ม ลูกสาวคนโต โต้เลี้ยงพ่อแม่หวังฮุบสมบัติ 500 ล้าน
ต่อมาทางด้านของ นางส้มลิ้ม พันธ์มุง ซึ่งเป็นลูกสาวคนโตของตานอและยายแว่น เผยถึงประเด็นล่าสุด ที่มีการกล่าวอ้างว่า น.ส.แหม่น นั้นได้ยื่นข้อเสนอคืนเงินและที่ดินให้กับตายาย แต่ตายายต้องไม่โอนต่อให้ใคร ทำให้นางส้มลิ้มเกิดคัดค้านและไม่ยอม ในประเด็นนี้ นางส้มลิ้มขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และบอกว่าข้อมูลทั้งหมดที่อ้างมานั้นบอกไม่หมดไม่ครบถ้วน โดยวันนั้นก็ยอมรับว่า น.ส.แหม่ม มีการยื่นข้อเสนอมาจริง โดยข้อเสนอมีดังนี้
1. น.ส.แหม่ม จะคืนเงินให้ตากับยายจริง แต่จะให้เป็นรายเดือน เดือนบะ 20,000 บาท
2. น.ส.แหม่ม จะคืนที่ดินให้ตากับยายจริง แต่เป็นที่ดินตาบอดเพียงไม่กี่ไร่ ซึ่งตอนนั้นตานอเลยปฏิเสธข้อเสนอ เพราะ น.ส.แหม่ม นั้นเอาที่ดินของตากับยายไปตั้งหลายไร่ แต่จะมาคืนแค่ไม่กี่ไร่ เรื่องอะไรที่ตากับยายจะยอม ซึ่งนางส้มลิ้มขอยืนยันว่าตนนั้นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลย ทุกอย่างตนยกให้ตาเป็นผู้ตัดสินใจด้วยตัวเองทั้งสิ้น
และที่บอกว่า นางส้มลิ้มนั้นก็ได้ที่ดินไปจากตานอและยายแว่น แต่นางส้มลิ้มเอาที่ดินไปขายกินจนหมด เลยจะกลับมาเพื่อยึดเอาที่ดินส่วนอื่น ๆ นางส้มลิ้มก็ชี้แจงว่า ที่ดินที่ตนนำไปขาย เป็นที่ดินที่ตนสร้างขึ้นมาเองกับสามี ส่วนที่ดินที่พ่อแม่ให้ ตนก็ยังเก็บไว้ครบที่ไร่ ไม่เคยเอาสมบัติที่พ่อแม่ให้ไปขายกิน
นอกจากนี้ นางส้มลิ้มยังเล่าย้อนความไปถึงสาเหตุที่ทำให้ตนกับน้องสาวผิดใจกัน เรื่องของเรื่องเกิดจาก สามีของ น.ส.แหม่ม ซึ่งเป็นคนสำมะเลเทเมา นายแดงมักจะเปิดเพลงเสียงดังยามวิกาล และสร้างเรื่องวุ่นวาย ซ้ำยังเคยเอาก้อนหินปาหลังคาบ้านตนจนแตกพังเสียหาย ตั้งแต่นั้นมา ตนกับนายแดงจึงไม่ลงรอยกัน ส่วนน้องสาวก็ไปเข้าข้างสามีตัวเอง ตั้งแต่นั้นมา ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องก็เริ่มแย่ลง
และที่บอกว่า น.ส.แหม่ม นั้นสร้างรั้วเพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของยายแว่น กลัวว่ายายแว่นจะออกไปเดินตามถนน ตนคิดว่าไม่น่าจะใช่ และคิดว่าที่กั้นรั้วก็เป็นเพราะต้องการกักขังให้ยายแว่นอยู่แค่ภายในบ้าน และไม่ต้องการให้ยายแว่นออกมาเจอญาติคนอื่น ๆ ซึ่งตนก็มีหลักฐานว่ายายแว่นไม่ได้เลอะเลือนจนถึงขั้นออกไปเดินเตร็ดเตร่ตามถนน เพราะตนเคยลองปล่อยให้ตานอกับยายแว่นอยู่ตามลำพัง และถ่ายคลิปไว้จากไกล ๆ เพื่อดูอาการตากับยาย ปรากฏว่าตานอกับยายแว่นก็นั่งพูดคุยหยอกล้อกันอยู่ที่โต๊ะหน้าบ้าน ไม่ได้มีท่าทีหรืออาการที่จะเดินเหม่อลอยตามริมถนนตามที่บ้านของ น.ส.แหม่ม กล่าวอ้างเลย