จากกรณียายวัย 82 ปี ข้าราชการบำนาญ ถูก แก๊งค์คอลเซ็นเตอร์หลอกให้โอนเงิน จนหมดบัญชีบัญชีสูญเงินกว่า 3ล้านบาท หลังทราบเรื่องเสียใจเขียนจดหมายลาตายสั่งเสียลูกหลาน จากนั้นกินยานอนหลับ 40 เม็ดหวังไม่ต้องตื่น แต่กลับไม่เป็นไร
พฤติการณ์ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้มาหลอก คุณยายซ่อนกลิ่น ในลักษณะทำทีว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจโทรมาแจ้งกับ คุณยายซ่อนกลิ่น ในวันที่8 กันยายน 2566 ว่ามีพัสดุส่งมาที่จังหวัดภูเก็ต และเมื่อเปิดดูได้พบว่า ภายในพัสดุมีพาสปอร์ต บัตรเอทีเอ็ม และบัตรประจำตัวคนต่างด้าว ซึ่งในการส่งพัสดุสิ่งของเหล่านี้ ถือว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และจะต้องมีการยึดทรัพย์ จากนั้นจึงได้ทำทีโอนเรื่องให้ทาง ปปง. เป็นผู้ ดำเนินการเรื่องต่อและให้คุยกับ คุณยายซ่อนกลิ่น โดยทาง ปปง. ได้อ้างว่าความผิดดังกล่าวจะต้องมีการยึดทรัพย์คุณยายจากนั้นจึงให้คำแนะนำว่าจะต้องมีการโอนย้ายทรัพย์สินไปฝากไว้กับผู้อื่นก่อนและได้เสนอว่ามีผู้ที่ไว้ใจได้ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงออกอุบายให้ คุณยายซ่อนกลิ่น โอนเงินให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทางคอลเซ็นเตอร์ได้อ้าง ว่าไว้ใจได้แล้วจะได้เงินคืนหลังจากคดีจบ
จากนั้น คุณยายซ่อนกลิ่น ก็ได้เชื่อใจและได้โอนเงินไปให้เป็นจำนวนกว่า 2,600,000 บาท(สองล้านหกแสนบาท) ซึ่งเป็นการโอนกว่า 20 ครั้ง และโอนไปใน ทั้งหมด 13 บัญชี และเป็นธนาคารต่างกันถึง 7 แห่ง โดย คุณยายซ่อนกลิ่น ได้เริ่มโอนเงินในวันที่15 กันยายน 2566 โดยผ่านแอปพิเครชั่น ธนาคารแห่งหนึ่งเพียงธนาคารเดียว เพราะหระว่างวันที่ 8 กันยายน 2566 ที่ คอลเซ็นเตอร์ได้เริ่มโทรมาจนถึง วันที่ 15 กันยายน 2566 นั้น ทางคอลเซ็นเตอร์ที่โทรมาหลอก ได้เกลี้ยกล่อมให้ คุณยายซ่อนกลิ่น ไปติดต่อธนาคารแห่งหนึ่งที่ คุณยายซ่อนกลิ่น ใช้ฝากเงินไว้เป็นประจำ เพื่อเปิดแอพพลิเคชั่น ของธนาคาร และสอนวิธีการโอนเงินผ่านแอพพลิเคชั่นให้กับ คุณยายซ่อนกลิ่น โดยแอพพลิเคชั่นนี้จึงเป็นวิธีหลักในการโอนเงินให้กับคอลเซ็นเตอร์
ส่วนอีกธนาคารหนึ่งซึ่ง คุณยายซ่อนกลิ่น ได้มีเงินฝากไว้แต่ไม่มากนัก ทางคอลเซ็นเตอร์ก็ได้ให้คุณยายไปเปิดแอพพลิเคชั่นเช่นกัน แต่ธนาคารแห่งนี้ไม่ดำเนินการเปิดแอพพลิเคชั่นให้ โดยแจ้งว่าต้องมีลูกหลานมาดำเนินการด้วยเพียงเท่านั้น ทางคอลเซ็นเตอร์ก็ได้ให้ คุณยายซ่อนกลิ่น เดินทางไปเบิกเป็นเงินสด และนำใส่ตู้ ฝากเงินสดของ ธนาคารดังกล่าว เพื่อโอนให้ทางแก่นคอลเซ็นเตอร์ จนกระทั่งลูกหลานของ คุณยายซ่อนกลิ่น ได้ทราบว่าคุณยายถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกเงินไปในช่วงวันที่ 12 ตุลาคม 25566 ในช่วงแรกลูกหลานไม่กล้าที่จะบอกยายเพราะกลัวกลัวคุณยายจะช็อคและตกใจ แต่เมื่อภายหลังคุณยายได้ทบทวนและทราบเองด้วยตัวเองว่าถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกแล้ว ก็รู้สึกเจ็บใจและแค้นจนกระทั่งคิดฆ่าตัวตายถึงขนาดว่าเขียนจดหมายสั่งลาลูกหลาน
ยายเขียนคำลาตาย ถูกแก๊งดูดเงิน 3 ล้านหมดตัว
วันนี้ (21 ตุลาคม 2566) ทีมข่าวช่อง 8 ได้มีโอกาสคุยกับคุณยายซ่อนกลิ่น ซึ่งเล่าให้ทีมข่าวฟังว่า ในช่วงแรกได้มีโทรศัพท์โทรเข้ามาหาตน จากนั้นได้บอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ที่จังหวัดภูเก็ตและรถยนต์ มีพัสดุส่งมาจากจังหวัดแพร่และส่งมาที่จังหวัดภูเก็ตโดยมีชื่อผู้รับปลายทางคือชื่อของตน ซึ่งตนได้บอกไปว่าตนไม่ได้ดำเนินการเรื่องดังกล่าวเลยเพราะตนเป็นผู้สูงอายุและยังพิการเดินไปไหนแทบไม่ได้ แต่ทางฝ่ายที่โทรมาก็ยืนยันว่าเป็นพัสดุของตนและได้ขออนุญาตเปิดพัสดุดู ตนก็ได้อนุญาตให้เปิด จากนั้นผู้ที่โทร. มาได้บอกว่า พบว่าด้านใน ของกล่องพัสดุ มีสปอร์ตของชาวเมียนมา 9 เล่ม บัตรเอทีเอ็ม 9 ใบ และบัตรประจำตัวต่างด้าวของชาวเมียนมาอีกจำนวนหนึ่ง และได้แจ้งว่าการส่งพัสดุสิ่งของเหล่านี้เป็นเรื่องผิดกฎหมาย
จากนั้นได้อ้างว่าจะส่งเรื่องให้เจ้าหน้าที่ ปปง. และหลังจากนั้นได้ส่งอีกคนหนึ่งมาคุย โดยอ้างว่ามียศเป็นพันตำรวจโท และเป็นเจ้าหน้าที่ของ ปปง. แล้วได้บอกกับตนว่าความผิดดังกล่าวจะต้องมีโทษยึดทรัพย์ จากนั้นจึงมีการคุยกับต้นทางแชตไลน์ และได้ส่งตัวอย่างผู้ที่ถูกยึดทรัพย์มาให้ตนดู ตนจึงหลงเชื่อและขอคำแนะนำกับผู้ที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ ปปง. โดยทางเจ้าหน้าที่คนนั้นได้บอกกับตนว่ามีวิธีแก้ไขก็คือ จะต้องให้ตนโอนเงินที่มีอยู่ในบัญชี ไปฝากไว้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไว้ใจได้ ซึ่งก่อนหน้านั้นหลังจากที่ตนได้ขอคำแนะนำไป ผู้ที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ ปปง. ก็ได้ขอดูบัญชีของตนทั้งหมด จึงได้ทราบว่าตนมีเงินอยู่จำนวนเท่าไร
โดยหลังจากนั้นตนก็ได้หลงเชื่อและโอนเงินให้กับ บัญชีที่เจ้าหน้าที่คนนั้น ได้บอกมา พอเจ้าหน้าที่คนนั้นบอกว่า บัญชีที่ส่งให้นี้เป็นของตำรวจที่ไว้ใจได้ และหลังจากที่คดีจบก็จะได้เงินคืน
หลังจากนั้นตนได้โอนเงินไปให้กับบัญชีทั้งหมด 13 บัญชี 7 ธนาคาร และโอนไปทั้งหมด 20 ครั้ง เป็นเงินทั้งหมดประมาณ 2,600,000 บาท จนกระทั่งเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ที่ผ่านมา ตนจะต้องจ่ายค่าจ้างให้กับผู้ที่มาดูแลคุณตาซึ่งนอนติดเตียงและตน แต่เงินในบัญชีไม่มีเลยเนื่องจากโอนไปให้กับมิจฉาชีพหมดแล้ว ตนจึงโทร. ไปขอยืมเงินจากหลานจากนั้นหลานจึงได้สอบถามว่าเงินของตนไปไหนหมด ตนจึงได้เล่าเรื่องราวดังกล่าวให้หลานฟัง หลานของตนจึงได้ไปปรึกษากับพ่อของเขาซึ่งเป็นลูกของตนและได้บอกกับตนว่าตนโดนมิจฉาชีพหลอกให้โอนเงินจนหมดแล้ว ซึ่งตนรู้สึกเสียใจมากที่โดนมิจฉาชีพมาหลอกซึ่งจนทำให้ตนเสียรู้
ตนอยู่มาจนอายุ 82 ปี ไม่เคยโดนหลอกแบบนี้ มันทำให้อับอายถ้ารู้ถึงคนอื่น ตนจึงได้คิดฆ่าตัวตาย และได้เขียนจดหมายสั่งลากับลูกไว้ จากนั้นจนตนจึงได้กินยานอนหลับ ประมาณ 40 เม็ด โดยใช้วิธีใส่น้ำชงแล้วดื่ม ซึ่งในใจตนหวังว่าจะไม่มีใครมาพบว่าตนมีลมหายใจแล้ว แต่ก็กลับตื่นมาตามปกติโดยไม่ตาย ซึ่งในตอนนี้ลูกหลานก็มีลักษณะเหมือนโกรธตนที่ตนได้โอนเงินให้กับมิจฉาชีพไปและจะไม่ให้เงินกับตนเหมือนที่เคยให้อีก ซึ่งตนก็หวังว่าจะได้เงินคืนและเจ้าหน้าที่ตำรวจจะจับตัวมิจฉาชีพมาดำเนินคดีได้ในเร็ววัน
ลูกชาย หวังว่าจะได้เงินคืนกลับมาบ้าง เพื่อจะได้ฟื้นฟูจิตใจของแม่
วันนี้นายตระกูล ได้พาคุณยายซ่อนกลิ่น เดินทางไปที่ สน. ทุ่งมหาเมฆ เพราะทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบคดีมีนัดสอบสวน คุณยายซ่อนกลิ่น โดยละเอียด ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งโดยปกติ คุณยายซ่อนกลิ่น จะเดินไม่ค่อยได้อยู่แล้ว และในการเดินทางมาที่ สน. ทุ่งมหาเมฆ เพื่อมาสอบสวนนั้น จะต้องเดินขึ้นบันไดไปที่ห้องสอบสวน ระหว่างการเดินขึ้นบันได คุณยายซ่อนกลิ่น มีอาการ เหนื่อยอย่างเห็นได้ชัดจนเกือบเป็นลม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความลำบากของคุณยาย ที่ทั้งเสียเงินจากการที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์มาหลอก และยังต้องลำบากเดินทางมาดำเนินการในเรื่องคดี ทั้งที่เป็นผู้สูงอายุวัยถึง 82 ปี
ทีมข่าวจึงได้มีโอกาสพูดคุยกับ นายตระกูล อายุ 59 ปี ซึ่งเป็นลูกชายของคุณยายซ่อนกลิ่น เล่าให้ทีมข่าวฟังว่า ในวันที่ 12 ตุลาคม 2566 แม่ของตนได้โทร. ไปหาลูกของตนเพื่อที่จะยืมเงินมาจ่ายเงินเดือนให้กับพนักงานที่มาดูแลพ่อของตนซึ่งนอนติดเตียง และแม่ของตน ซึ่งเป็นผู้สูงอายุ แต่ทางลูกชายของตนได้เอะใจว่าทำไมย่าต้องโทร. มายืมเงินเพราะปกติย่าก็จะมีเงินเก็บอยู่เป็นจำนวนมากและจะใช้จ่ายในกรณีดังกล่าวด้วยตัวเอง เพราะทางย่าของเขาเป็นข้าราชการเกษียณและจะมีเงินบำนาญทุกเดือน
อีกทั้งลูกหลานก็จะคอยให้อยู่ตลอด ตนจึงได้ให้ลูกของตนไปสอบถามกับย่าของเขา จนกระทั่งมาทราบเรื่องดังกล่าวจึงได้รู้ว่าแม่ของตนถูกมิจฉาชีพหรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกให้โอนเงินจนหมดตัว ซึ่งตนกับพี่ชายและหลาน ๆ ก็ไม่กล้าบอกกับแม่ของตนโดยตรงเพราะกลัวว่าจะตกใจและช็อก แต่ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปแม่ของตนก็คิดทบทวนด้วยตัวเองจึงได้ทราบว่าเขาโดนแก๊งมิจฉาชีพหลอกแล้ว
ซึ่งจำนวนเงินที่ถูกหลอกให้โอนไป โดยประมาณเป็นจำนวนเงินถึง 2,600,000 บาท ซึ่งหมดบัญชีที่แม่ของตนมีอยู่ จากการตรวจสอบข้อมูลและหลักฐานแล้วพบว่ามีหลักฐานการโอนอยู่บางส่วน และในบางส่วนทางแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้หลอกให้แม่ของตนเดินทาง ไปที่ธนาคาร และเบิกเงินออกมาจากนั้นจึงให้นำใส่ตู้ฝากเงินเงินสดและกดโอนไปให้ทางแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในบางส่วนซึ่งส่วนนี้เดี๋ยวจะต้องตรวจสอบกันอีกครั้ง
และเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2566 ทางพนักงานที่ดูแลแม่ของตนก็ได้โทร. มาแจ้งว่าแม่ได้เขียนจดหมายลักษณะสั่งเสียและลาตาย พนักงานจึงได้ถ่ายรูปมาให้ตนดู ซึ่งตนตกใจและรีบกลับมาบ้านก็ยังพบว่าแม่ยังไม่ได้เป็นอะไร ซึ่งหลังจากนี้ก็จะต้องดูแลเขาอย่างใกล้ชิดและจากกรณีที่เกิดขึ้นก็เป็นธรรมดาที่ลูกหลานต้องโกรธเพราะแม่เชื่อคนอื่นมากกว่าลูกหลาน แต่หลังจากนี้ก็ต้องให้กำลังใจกับเขาเพราะเขาเสียใจมาก
ในส่วนเรื่องของทางคดีตนก็ยังหวังอยู่ว่าจะได้เงินคืนกลับมาบ้างเพื่อจะได้ฟื้นฟูจิตใจของทางแม่ของตน และอย่าให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีให้ได้และต้องดำเนินคดีอย่างสาสมต้องใช้คำนี้เพราะแม้กระทั่งคนแก่มันก็ยังหลอกได้