กรณีนายนายเชาวลิต ทองด้วง อายุ 37 ปี หรือ เสี่ยแป้ง นาโหนด เป็นนักโทษคดีดังหลายคดี แกล้งป่วยก่อนจะหลบหนีออกจากโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช เมื่อกลางดึกตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น ล่าสุดตำรวจได้แกะรอยกล้องวงจรปิดภายในโรงพยาบาล พบว่า สามารถบันทึกนาทีลูกน้องคนสนิทของเสี่ยแป้ง พาเสี่ยแป้งหลบหนีออกจากโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช
ทีมข่าวช่อง 8 ยังได้พูดคุยนายชัย (นามสมมติ) อายุ 32 ปี เป็นคนเห็นเหตุการณ์ซึ่งอยู่ในห้องผู้ป่วยห้องเดียวกันกับเสี่ยแป้งในวันที่เสี่ยแป้งหลบหนีออกจากโรงพยาบาล
นายชัยเล่าว่าเสี่ยแป้งแต่งชุดลำลองเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลหลังจากที่พ่อของตนพักรักษาตัวที่นี่ โดยตอนนั้นสังเกตเห็นว่าที่ข้อเท้าของเสี่ยแป้งมีโซ่ตรวนติดอยู่ ซึ่งตนก็รู้ว่าน่าจะเป็นนักโทษในเรือนจำ แต่ปรากฏว่าไม่มีผู้คุมมาที่ห้องรักษาพยาบาล มีเพียงผู้หญิงสองคนที่มาดูแล กับพยาบาลที่พามาที่เตียงคนไข้เท่านั้น
ต่อมาก็มีผู้คุมสองคนมาเฝ้าดูแลเสี่ยแป้งเป็นระยะ โดยมีการใส่โซ่ตรวนข้อเท้าเสี่ยแป้งต่อติดกับขาเตียงสองข้าง ซึ่งมีตัวล็อกอีกชั้นอยู่บริเวณด้านบนเตียง
ระหว่างที่เสี่ยแป้งรักษาตัวที่โรงพยาบาล ก็ปรากฏว่ามีโทรศัพท์มือถือใช้ตลอดเวลาและก็มีการพูดคุยกับปลายสายอยู่ตลอดเวลาซึ่งตนก็ไม่ทราบว่าเป็นใคร ต่อมาสังเกตุเห็นผู้หญิงสองคนที่จะมาดูแลเสี่ยแป้งตลอด คนหนึ่งคาดว่าเป็นภรรยาเนื่องจากขณะที่เสี่ยแป้งกินข้าวกินข้าวจานเดียวกัน ส่วนอีกคนคาดว่าน่าจะเป็นคนที่ถูกว่าจ้างมาดูแลชั่วคราว
ส่วนไทม์ไลน์ในวันเกิดเหตุ 21 ตุลาคม ช่วง 19.00 น. เสี่ยแป้งอยู่กับภรรยาสองคน โดยตอนนั้นเสียแป้งมีการโทรศัพท์หาผู้คุมและบอกปลายสายว่า “ตนเองปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ” ต่อมาผู้คุม 1 คน ขึ้นมาและถอดโซ่ตรวนพาเสี่ยแป้งไปที่ห้องน้ำ เมื่อเสร็จธุระส่วนตัวก็กลับมาอยู่เตียงคนไข้เหมือนเดิม และมีการล็อคโซ่ตรวนที่ข้อเท้าติดกับเตียงคนไข้เหมือนเดิม
ช่วง 20.00 น.ผู้คุม 2 คน ขึ้นมาถ่ายรูปเสี่ยแป้งที่เตียง เพื่อส่งเป็นหลักฐานว่านักโทษยังอยู่ในโรงพยาบาล ถ่ายรูปเสร็จก็กลับออกไปนอกห้อง ทำให้เหลือเสี่ยแป้งกับภรรยาสองคนเหมือนเดิม
ช่วง 21.00 น. ตนสังเกตุเห็นผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นคนดูแลตึกที่เกิดเหตุ ใส่ชุดสีขาวเดินเข้ามาถ่ายรูปเซลฟี่กับเสี่ยแป้ง ถ่ายเสร็จก็ออกไป
ช่วง 22.00 น. ภรรยาของเสี่ยแป้งออกจากห้องพักคนป่วยโดยออกทางประตูด้านหน้าห้อง
ช่วง 23.40 น. ตนเห็นนายจิรวุฒิหรือบอย ขึ้นมาหาเสี่ยแป้ง ซึ่งนายจิรวุฒิได้นำผ้ามาด้วยประมาณ 4-5 ผืน แล้วเอามาคลุมที่บริเวณขาของเสี่ยแป้ง สักพักตนเห็นเสี่ยแป้งเปลี่ยนเสื้อผ้าและใส่รองเท้า แล้วหยิบโซ่ตรวนที่หลุดออกมาแล้วใส่ถุงดำ ซึ่งถุงดำที่ตนเห็นก็เป็นถุงดำเดียวกันกับภาพในวงจรปิดที่เห็นเสี่ยแป้งถือถุงดำลงจากลิฟท์กับลูกน้องตอนหนีออกจากโรงพยาบาล
ยืนยันว่าตอนที่เสี่ยแป้งหนีออกจากห้องผู้ป่วยออกทางประตูด้านหลังเป็นประตูตรงกลาง ตอนนั้นตนไม่เห็นว่าเสี่ยแป้งมีปืน โดยจังหวะที่เสี่ยแป้ง กำลังออกจากห้องตนได้ยินมีการพูดคุยกับปลายสายว่า “กำลังไปที่ท่าเรือ แล้วไปเจอกันที่ท่าเรือ” ขณะที่ลงลิฟต์เป็นช่วงเที่ยงคืน ซึ่งช่วงนั้นพยาบาลเปลี่ยนเวรอาจทำให้ไม่มีพยาบาลสังเกตเห็น
และที่ผิดสังเกตก็คือหลังจากเสี่ยแป้งหนีแล้ว มีหญิงรายหนึ่งซึ่งไม่ใช่ภรรยาของเสี่ยแป้งขึ้นมาเก็บข้าวของของเสี่ยแป้งออกจากห้องดังกล่าว
แล้วช่วงประมาณ 01.00 น. ของวันที่ 22 ตุลาคม ผู้คุมได้ขึ้นมาที่เตียงของเสี่ยแป้ง และพบว่านักโทษไม่อยู่แล้ว แล้วเก็บตัวล็อกโซ่ตรวนที่เสี่ยแป้งทิ้งเอาไว้ที่เตียง
พอรุ่งเช้าตำรวจมาในที่เกิดเหตุ ตำรวจก็ขอภาพจากกล้องวงจรปิดในห้องพักผู้ป่วยที่เสี่ยแป้งเคยอยู่ โดยมีกล้องวงจรปิดทั้งหมด 6 ตัว แต่ตำรวจขอไป 5 ตัว มีกล้องวงจรปิด 1 ตัว จับภาพเห็นชัดที่เตียงของเสี่ยแป้ง ต้องเห็นนาทีสะเดาะโซ่ตรวนและเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนออกจากห้องพักผู้ป่วย
วันนี้ทีมข่าวเดินทางไปที่โรงพยาบาลมหาราช สถานที่นายเชาวลิต ทองด้วง หรือ “เสี่ยแป้ง นาโหนด” นักโทษคดีอุกฉกรรจ์ที่ถูกจำคุกอยู่ที่เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช หลบหนีออกจากโรงพยาบาลขณะมารักษาตัวอยู่ที่นี่ ทีมข่าวเข้าไปสังเกตการณ์ภายในบริเวณชั้นหนึ่งของอาคาร 298/2 ซึ่งเป็นตึกศัลยกรรมชาย 6 โดยขณะเสี่ยแป้งรักษาตัวอยู่ที่ตึกนี้อยู่ในห้องพักผู้ป่วยที่ชั้น6
บรรยากาศที่บริเวณชั้นหนึ่งใต้ตึกศัลยกรรมชาย 6 จะเห็นการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดของทางโรงพยาบาล ซึ่งก่อนที่ญาติผู้ป่วยจะได้ขึ้นลิฟท์เพื่อไปเยี่ยมคนไข้ ต้องผ่านจุดคัดกรองของทางโรงพยาบาลซึ่งมีการคุมเข้มอย่างแน่นหนาสังเกตุเห็นมีพนักงานรักษาความปลอดภัยยืนอยู่ก่อนขึ้นลิฟท์ไปชั้นอื่นประมาณ 4-5 คน และมีเครื่องสแกนใบหน้าตรวจจับทุกคนก่อนขึ้นลิฟท์และเดินผ่านไปยังแผนกอื่น
ในขณะที่ลิฟต์บริเวณชั้นหนึ่งก็เปิดให้ขึ้นลิฟต์เป็นเวลา โดยหากเป็นเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลก็สามารถขึ้นได้ตลอด แต่หากเป็นญาติผู้ป่วยจะต้องขึ้นลิฟท์ในช่วงเวลา 14.00-20.00 น. เท่านั้น ซึ่งโซนที่ขึ้นลิฟต์ก็ยังเป็นพื้นที่ที่คุมเข้มเรื่องความปลอดภัยไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเข้าไปได้ จะต้องมีเอกสารแสดงตัวก่อน
เมื่อเวลา 11.00น.วันที่ 25ตค.2566 พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ได้บินด่วนมายังเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช เพื่อประชุมและติดตามความคืบหน้าของคดี นช.เชาวลิตหรือเสี่ยแป้ง ทองด้วง อายุ 34ปี นักโทษชายคนสำคัญที่หลบหนีออกจากรพ.มหาราชนครศรีธรรมราชเมื่อดึก 22 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยมี พล.ต.ต.สมชาย ซื่อต่อตระกูล ผบก.ภ.นครศรีธรรมราชผบก.ภ.พัทลุงผบก.สืบสวนภาค8นายณรงค์ จุ้ยเสย รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์และจนท.ตำรวจชุดคลี่คลายคดีทั้งพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราชและจ.พัทลุง เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียงเพื่อรายงานความคืบหน้าการติดตามไล่ล่านายเชาวลิตหรือเสี่ยแป้ง ที่ห้องประชุมชั้น 3 เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช โดยมีการปิดห้องประชุมห้าไม่ให้ผู้สื่อข่าวเข้าไปบันทึกภาพแต่อย่างใดทั้งนี้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรมจะออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหลังประชุมเสร็จและเดินทางไปตรวจที่เกิดเหตุที่ชั้น 6 ตึกอายุรกรรมชาย รพ.มหาราชนครศรีธรรมราชก่อนเดินทางกลับกทม.ในบ่ายวันนี้ต่อไป โดยกล่าวกับผู้สื่อข่าวสั้นๆ ว่าวันนี้เดินทางมาติดตามความคืบหน้าของคดี นช.เชาวลิตหลบหนีจากรพ.มหาราชนครศรีธรรมราชส่วยรายละเอีบดจะเป็นอย่างไรขอประชุมก่อนแล้วออกมาให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่ามีความคืบหน้าขนาดไหนอย่างไรต่อไป
ทีมข่าวยังได้พูดคุยกับนายพร (นามสมมติ) เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในเวรกลางคืนของโรงพยาบาล บอกว่า ปกติแล้วในช่วงกลางดึก โรงพยาบาลจะเปิดเพียงประตูด้านหน้าซึ่งมีอยู่สามประตูเท่านั้น ประตูด้านหน้าอาคารตึกใหญ่เป็นประตูใหญ่ทั้งทางเข้าและทางออกรวมสองบาน และประตูฝั่งห้องฉุกเฉินอีกหนึ่งบาน
โดยรถกระบะลูกน้องเสี่ยแป้งได้ ขับรถกระบะสีขาวเข้าประตูหน้าอาคารตึกใหญ่ตามปกติเหมือนญาติผู้ป่วยทั่วไป พอเลี้ยวเข้าที่ประตูแล้วก็เลี้ยวซ้าย ก่อนขับรถไปบริเวณข้างตึกผู้ป่วยที่เสี่ยแป้งอยู่ ซึ่งคาดว่าตอนนั้นน่าจะจอดรถไว้ในจุดที่มืดและไม่มีวงจรปิดข้างตึกดังกล่าว ต่อมาเชื่อว่ามีการนัดแนะกับเสี่ยแป้งที่อยู่ด้านบน และมีการรับเสี่ยแป้ง แล้ววนรถไปบริเวณด้านหลังโรงพยาบาล ก่อนออกประตูฝั่งห้องฉุกเฉินเพื่อหลบหนี
ส่วนที่ว่ามีภาพวงจรปิดที่ปรากฏขบวนรถที่พาเสี่ยแป้งหนีทั้งหมดสามคัน ก็เชื่อว่าอีกสองคันของผู้ร่วมขบวนการน่าจะมาจอดรอที่โรงพยาบาลก่อนหน้านี้แล้ว
ยืนยันการรักษาความปลอดภัยของโรงพยาบาลแน่นหนา ซึ่งมีการตรวจคนเข้าออกโดยเฉพาะที่บริเวณตึกผู้ป่วยที่เสี่ยแป้งอยู่ แต่ส่วนตัวก็เชื่อว่าอาจจะมีเจ้าหน้าที่รัฐบางคนที่รู้เห็นการหลบหนีครั้งนี้จึงทำให้เสียแป้งหลบหนีได้อย่างง่ายดาย
ส่วนตัวก็เชื่ออีกว่า ตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่าเสี่ยแป้งมีอาวุธ และโชคดีที่พยาบาลก็ไม่เห็นเสี่ยแป้งหนีในขณะนั้น เพราะถ้ามีคนในโรงพยาบาลเห็นขณะหนี ก็เป็นไปได้ว่าเสี่ยแป้งอาจจะใช้ปืนยิงทุกคนที่ขวางทาง