วันพิพากษาคดีฆาตกรรม น้องชมพู่ ศาลมุกดาหารนัดในวันที่ 31 ตุลาคมนี้ หลังสืบพยานยาวนานกว่า 1 ปี มีพยานโจทก์จำเลยรวมกันเกือบ 70 ปาก ไม่รวมพยานวัตถุ ลุ้น ลุงพล ป้าแต๋น
ลุงพล ทำความสะอาดศาลพระพรหม หลังฝันหาช่างไม่ได้ หวังเสร็จก่อนวันพิพากษา เชื่อทำให้จิตใจสงบนิ่ง เอง
ขณะเดียวกันทีมข่าวได้เดินทางไปที่วังปู่ปาริจิต - นาลุงพลป้าแต๋น อาณาจักรของลุงพลอีกครั้ง โดยในวันนี้ตั้งแต่ช่วงเช้าลุงพลไม่ได้ออกไปไหน เนื่องจากเจ้าตัวได้ขึ้นไปทำความสะอาดองค์ศาลพระพรหม และเตรียมบูรณะลงสีใหม่
โดยลุงพล บอกว่า ก่อนหน้านี้ 2 วันก่อน ตนเองได้ฝันว่า ได้ไปจ้างช่างเพื่อมาบูรณะศาลพระพรหม แต่ช่างไม่ว่าง ต้องยกพระพรหมไปกรุงเทพให้ช่าง ในฝันเห็นตัวเองต้องมาบูรณะพระพรหมเอง ทำให้ตนเองรู้สึกแปลกๆ เช้าวันนี้จึงได้มาบูรณะองค์พระพรหมตามในฝัน ซึ่งตนเองเชื่อว่า หากตนเองได้มีโอกาสทำความสะอาดองค์พระพรหม ก็จะเป็นสิริมงคลกับตนเองเอง และระหว่างทำก็มีข้อดีคือ ทำให้ตนเองจิตใจสงบนิ่งขึ้น ใจเย็นลง เป็นการเรียกสติ
ส่วนประเด็นความขัดแย้งระหว่างตนเองและป้าถอน ,ยายจำลอง 2 อดีตเพื่อนสนิท ยืนยัน “ที่ผ่านมา ผมไม่เคยทอดทิ้งทั้ง 2 คน แต่พวกเขาเลือกเดินออกจากผมไปเอง ซึ่งทุกคนมีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่ว่ากันเพราะมีภาระหน้าที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งผมไม่เคยโกรธทั้ง 2 คนเลย และหากทั้งสองฟังอยู่ตนเองก็ยังรัก และเป็นห่วงทั้งสองคนเหมือนเดิม
ยูทูปเบอร์ - แฟนคลับ ไม่ต่ำกว่า 1 พันคนแห่ให้กำลังใจ
ป้าแต๋นยังฝากขอบคุณไปยังเอฟซีทุกคนที่ คอยให้กำลังใจตนเองและลุงพลมาตลอด ถึงแม้ว่าตนเองและลุงพลจะตกเป็นผู้ต้องหาในคดีฆ่าน้องชมพู่ แต่เอฟซีทุกคนก็คอยให้กำลังใจและอยู่เคียงข้างพวกตนเองมาโดยตลอดหนีหายไปไหน และยิ่งนานวันเอฟซีของพวกตนเองก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนใครที่ไม่ชอบตนเองและรู้ผล พวกตนเองที่ผ่านมาไม่เคยเก็บมาใส่ใจ หรือเก็บมาคิดกังวลอยู่แล้ว เพราะเกิดเป็นคนมีทั้งคนชอบและคนไม่ชอบ
นอกจากนี้ทีมข่าวยังได้พูดคุยกับ นายพิทักษ์ อายุ 58 ปี หรือ จิมมี่เรื่องจริง หนึ่งในยูทูบเบอร์ที่ตามติดชีวิตลุงพล บอกกับทีมข่าวว่า ตนเองนั้นเริ่มต้นติดตามชีวิตลุงพลตั้งแต่ช่วงแรกที่ลุงพลเริ่มโกนหัว ซึ่งตอนนั้นลุงพลได้โกนหัว เพื่อล้างซวย เอาสิ่งไม่ดีออกจากชีวิต
ในตอนนั้นตนเองได้ติดตามข่าวจากโทรทัศน์ และรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ชีวิตน่าสงสารที่ถูกกล่าวหา และรู้สึกเห็นใจลุงพล จากนั้นจึงเดินทางมาตามติดชีวิตลุงพลพร้อมกับเพื่อนยูทูบเบอร์อีกหนึ่งคน
ซึ่งจากตอนนั้นถึงตอนนี้ ช่องยูทูบเบอร์ของตนเอง คนติดตามหลักร้อย ตอนนี้เพิ่มมาจนถึง ผู้ติดตาม 3 แสนกว่าคนแล้ว ถือว่า เยอะมาก ช่วงกระแสดังๆ ไลฟ์สด 1 ครั้งคนดูหลักหมื่น ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า มีประชาชนและแฟนคลับให้กำลังใจและสนใจในชีวิตลุงพลมาก โดยตนเองเคยได้ข้อมูลว่าฐานแฟนคลับของลุงพลนั้นมีไม่ต่ำกว่า 5,000,000 คน อิงจากผู้ติดตามในแต่ละช่องของเหล่ายูทูปเบอร์ที่ตามติดชีวิตลุง
แม่ชมพู่มั่นใจ ลูกสาวเดินขึ้นภูเหล็กไฟเสียชีวิตเองไม่ได้ - ท้าช่อง 8 ทดสอบ ให้หมา “ไข่เจียว -ข้าวเหนียว” นำขึ้นเขา
ล่าสุดทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปพบกับแม่น้องชมพู่อีกครั้ง หลังจากทนายความของลุงพล เชื่อว่า น้องชมพู่อาจจะมีความเป็นไปได้ที่น้องชมพู่เดินตามหมาตัวโปรด คือ ปลาส้ม ขึ้นเขาไป ในระยะทางประมาณ 1.5 กิโลเมตรถึงจุดพบศพ
โดยแม่ของน้องชมพู่ ยืนยันกับทีมข่าวว่า ปกติน้องชมพู่จะไม่กล้าเดินไปไหนคนเดียวอยู่แล้ง และจะไม่ไปกับคนไม่รู้จักเด็ดขาด และน้องชมพู่หากพ่อแม่ยังอยู่ที่บ้าน ถึงแม้ปลาส้มจะเดินไปไหน น้องก็จะอยู่กับพ่อแม่ตลอด ไม่ตามไปอยู่แล้ว แต่ถึงแม้วันที่น้องหาย น้องจะเดินทางตามปลาส้มไป ก็เชื่อว่า ปลาส้ม ไม่สามารถพาน้องขึ้นภูเหล็กไฟไปได้ไกลขนาดนั้น เพราะภูเขามีความสูงชัน
จากนั้นทีมข่าวได้ทดสอบลองให้หมาของแม่น้องชมพู่ ซึ่งเป็นหมาตัวใหม่ คือ เจ้าไข่เจียว และเจ้าข้าวเหนียว ให้ลองพาทีมข่าวเดินนำทางไป เพื่อจะดูว่า พฤติกรรมของหมา เมื่อเดินออกจากบ้าน จะวิ่งไปไกลถึงภูเหล็กไฟหรือไม่
จากการทดสอบพบว่า หมาไข่เจียว และข้าวเหนียว ซึ่งเป็นหมาพันธ์บีเกิ้ล เป็นหมาล่าเนื้อ และมีความสามารถในการดมกลิ่นที่เก่งกว่า ปลาส้ม ที่เป็นหมาพันธ์ไทย และมีนิสัยชอบออกเที่ยว ซุกซน พบว่า หมาทั้งสองตัว จะเดินเล่นอยู่บริเวณโดยรอบพื้นที่บ้าน และด้านหลังบ้านเท่านั้น โดยจะไม่วิ่งพาทีมข่าวไปไกล และจะไม่เดินเข้าสวนมัน หรือ สวนยางเลยเข้าไปลึกๆ ซึ่งมีความเป็นไปได้ค่อนข้างยากที่ หมาจะพาน้องชมพู่ ลัดสวนยางพารา และสวนมัน ขึ้นไปยังภูเหล็กไฟ โดยที่ไม่มีคนเดินนำทาง และเมื่อหมาพบว่า มันจะไม่ปลอดภัย มันจะวิ่งกลับบ้านทันที
พระอาจารย์บุญมา ยืนยันคำเดิม “ลุงพล” รู้ล่วงหน้า น้องชมพู่หาย รอลุ้น 31 ต.ค. นี้ตัดสินทุกอย่าง
ทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางย้อนกลับไปพูดคุยกับ พระอาจารย์บุญมา หรือ พระอธิการบุญมา เจ้าอาวาสวัดภูผาแอก ในฐานะพยานในคดีน้องชมพู่
พระอาจารย์บุญมา จากวันนั้นถึงวันนี้ เจ้าตัวยังยืนยันคำเดิมกับทีมข่าวช่อง 8 ว่า 11 พฤษภาคม 63 วันที่น้องชมพู่หายตัวไป ตนเองช่วงเช้าได้เดินออกบิณฑบาตร่วมกับพระครูบารัตน์ในหมู่บ้านกกกอก โดยเดินบิณฑบาต ผ่านหน้าบ้านของลุงพล ซึ่งเช้าวันนั้นป้าแต๋นได้นั่งใส่บาตรให้กับตนเองและครูบารัตน์ ส่วนลุงพลตนเองได้เห็นว่า กำลังนั่งอยู่ภายในบ้าน
ตนเองยืนยันว่า ลุงพลได้พูดกับตนเองและครูบารัตน์ว่า “เกือบจะไม่ได้ขึ้นมารับแล้ว เพราะน้องชมพู่หาย” จากนั้นลุงพลได้ขับรถกระบะรับครูบารัตน์ออกจากวัดไป ซึ่งในตอนนั้นตนเองไม่รู้หรอกว่า ลุงพลรู้ได้อย่างไรว่าน้องหาย ซึ่งมารู้ภายหลังว่า ช่วงเวลาที่ลุงพลบอกกับตนเองว่าน้องหาย ในตอนนั้นคนในหมู่บ้านยังไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าน้องชมพู่หายตัวไป
ตนเองยืนยันว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความจริง และที่ผ่านมาตำรวจได้เรียกตนเองไปสอบปากคำถึง คำพูดของลุงพลในวันนั้น จำนวน 4 ครั้ง เข้าเครื่องจับเท็จก็ไปมาแล้ว พร้อมกับมีการให้เซ็นชื่อยืนยันการให้ปากคำในทุกครั้ง โดยตนเองยืนยันว่าไม่ว่าตำรวจจะสอบปากคำกี่ครั้ง ตนเองยืนยันว่า ก็จะให้ปากคำเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง
ส่วนในวันที่ 31 ตุลาคมที่จะถึงนี้เป็นวันอ่านคำพิพากษาของศาล ตนเองไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใด และอยู่ตรงกลาง และรอลุ้นเช่นกันว่าผลการตัดสินใจจะออกมาเป็นอย่างไร และตนเองก็เชื่อว่าน้องชมพู่จะได้รับความยุติธรรมจากเหตุการณ์นี้
ทนายลุงพล ไม่หนักใจคดีน้องชมพู่ นิติเวช ก็ไม่มี DNA ลุงพลป้าแต๋น
นายสุรชัย ชินชัย ทนายความลุงพล กล่าวว่า ไม่หนักใจและไม่กังวลใจ เพราะลูกความ ลุงพล ตั้งแต่ผมเข้ามาทำคดีตอนสืบพยานปากแรก ฝ่ายโจทก์จนจบพยานฝ่ายสุดท้ายของฝ่ายจำเลย รวมทั้งคำแถลงการปิดคดีจนสิ้นสุดใน พยานฝ่ายโจทก์ที่นำสืบมาไม่ปรากฎ ไม่มีปากไหนที่เห็ลุงพลอุ้มน้องชมพู ออกจากบ้านที่เกิดเหตุ และไม่มีพยานปากไหนเห็นลุงพลกับป้าแต๋นไปเคลื่อนย้ายศพ มีแต่พยานแวดล้อมคิดไปเองทั้งนั้น มโนไปเองว่าลุงพลทำ
ถามว่าทำไม่ลุงพลโดนจับนั้น ก็คือเส้นผมเส้นขนที่อยู่ในรถยนต์ลุงพล ทางผมก็ไม่ได้กังวลตรงนั้น เพราะเป็นพยานบุลคลทั่วไป ไม่เห็นลุงพลอุ้มน้องชมพู่ขึ้นรถเป็นเพียงแต่พยานแวดล้อม
ในการนำสืบคดีในชั้นศาลนั้น ด้านนิติเวช ก็ไม่มี DNA ลุงพลป้าแต๋น ในตัวน้องชมพู่ อันนี้ก็มีน้ำหนักในการสู้คดี นอกจากนี้ศพน้องชมพู่ก็ไม่ได้ถูกทำร้ายร่างกาย มีรอยเขียวช้ำ ส่วนประเด็นที่ว่า กินข้าว3 คำ ไม่สามารถเดินขึ้นเขาสูงได้ ผมค้านให้เห็นว่ามนุษย์มันต้องมีพลังงานเมื่อถึงจุดฉุกเฉิน น้องชมพู่เดินไปตรงนั้นได้ แต่ขาดน้ำขาดอาหารเลยตาย คำถามที่ว่าน้องชมพู่ออกจากบ้านยังไง ผมบอกกับศาลว่าน้องสนิทกับหมาชื่อปลาส้ม น้องชมพู่ได้ตามปลาส้มขึ้นไปบนเขา หมาปลาส้มหิวข้าวได้ลงมาก่อนปล่อยน้องทิ้งไว้บนเขา ทั้งหมดที่กล่าวมาผมนำให้เห็นว่า ไม่เห็นผลใดที่ลุงพลจะไปฆ่าน้องชมพู่ เพราะทั้ง2 ครอบครัวก็รักใคร่กันดี ไม่มีเห็นผลในการฆ่า ในการแถลงปิดคดีในเรื่องเพศนั้น เด็กแค่3 ขวบระหว่างลุงพล กับ น้องชมพู่ ลุงพลไม่มีอารมณ์ กับเด็อย่างนั้นแน่นอน
ผมทำให้ศาลเห็นว่าไม่มีเหตุจุงใจลุงพลจะเอาชีวิตกับน้องชมพู่ มั่นใจว่าลุงพบต้องได้รับความยุติธรรม และไม่กังวลแต่อย่างไร