จากกรณีการเสียชีวิตของเด็กหญิงอรวรรณ์ วงศ์ศรีชา หรือ น้องชมพู่ เด็กหญิงวัย 3 ขวบ ที่ถูกพบเป็นศพเสียชีวิตอยู่บนภูเหล็กไฟอย่างปริศนา เมื่อ 14 พฤษภาคม ปี 63 ซึ่งในขณะนั้นเป็นข่าวใหญ่ระดับประเทศที่ทุกคนให้ความสนใจ โดยหนึ่งในผู้ต้องหาที่ตำรวจสืบสวนสอบสวนและแจ้งถูกออกหมายจับว่าเป็นผู้ลงมือฆ่าน้องชมพู่ คือ นายไชย์พล วิภา ลุงเขยของน้องชมพู่ ซึ่งถูกกล่าวหาเป็นจำเลยในคดี ถูกตำรวจออกหมายจับฐาน “เจตนาฆ่าโดยเล็งเห็นผล , ทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกิน 9 ปีเป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย , 3.กระทำการใดๆแก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณพบศพก่อนชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น”
ส่วนนางสมพร หลาบโพธิ์ หรือ ป้าแต๋น ภรรยาลุงพล ถูกได้แจ้งข้อหา “กระทำการใดๆแก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น” ซึ่งหลังจากมีการสืบพยานมาเกือบ 3 ปี ล่าสุด ใกล้ถึงตอนอวสานเมื่อศาลจังหวัดมุกดาหารได้นัดฟังคำพิพากษา ในวันที่ 31 ตุลาคม 2566 เวลา 10.00 น.
พ่อแบม” เปิดใจช่อง 8 ที่แรก ยืนยัน เจอ “ลุงพล” เช้าวันชมพู่หายจริง
วันนี้ทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปพบกับพยานปากเอกในคดีน้องชมพู่อีก 1 คน คือ นายวชรินทร์ กงแก่ท้าว หรือ พ่อแบม ซึ่งเจ้าตัวถือเป็นพยานปากสำคัญในคดีที่เห็นลุงพลช่วงเช้าวันที่น้องชมพู่หาย 11 พฤษภาคม 63 โดยบ้านของพ่อแบม จะอยู่ฝั่งตรงกันข้ามบ้านของลุงพลมองเห็นกันพอดี
วันนี้พ่อแบมได้พาทีมข่าวช่อง 8 ไปชี้จุดที่ตนเองได้เจอกับลุงพล ช่วง 9 โมงเช้าของวันที่น้องชมพู่หายอีกครั้ง พ่อแบมยังยืนยันคำเดิมว่า ตนเองได้เห็นลุงพลอยู่ภายในสวนยางพาราข้างบ้านของตนเองจริง
ในวันดังกล่าวช่วงเช้าตอนแรกตนเองตั้งใจจะไปทำงานก่อสร้างที่อีกหมู่บ้านหนึ่ง แต่เพื่อนที่ทำงานด้วยกันบอกว่า วันนี้นายจ้างติดธุระ จึงขอเลื่อนไปก่อน ทำให้ตนเองได้เดินทางกลับมาที่บ้าน และเปลี่ยนไปฉีดยาฆ่าหญ้าบริเวณท้ายสวนยางพาราหลังบ้านซึ่งอยู่บริเวณทางขึ้นภูเหล็กไฟ
จากนั้นเมื่อตนเองเดินทางกลับบ้านได้อาบน้ำ ก่อนที่ภรรยาและแม่ยายของตนเองจะขับรถยนต์ออกไปดูไร่ โดยตนเองไม่ได้ไปด้วย เพราะอากาศร้อน เวลาขณะนั้นประมาณ 9 โมงกว่าๆ
จากนั้นตนเองได้มานอนเปลบริเวณหลังบ้านหลังอาบน้ำเสร็จ โดยก่อนหน้าตนเองจะเห็นลุงพล ตนเองได้เห็นชายคนหนึ่ง บริเวณหลังสวนยางพาราติดทางขึ้นเหล็กไฟ เป็นชายรูปร่างสูงใกล้เคียงลุงพล แต่ตนเองมองไม่ชัด
ชายคนนี้ได้เดินเข้าไปในกอไผ่หายไป ตอนนั้นตนเองได้จ้องมองชายคนดังกล่าว ว่าจะออกจากก่อไผ่เมื่อไหร่ เเละเตรียมรอหัวเราะ เพราะรู้ว่า บริเวณก่อไผ่นั้น มันไม่มีทั้งหน่อไม่ แมลง หรือ ของป่าอะไร และอยากรู้ว่าชายคนนั้นเข้าไปหาอะไร โดยตนเองยืนจ้องมองจากหลังบ้านอยู่นาน
แต่เวลาผ่านไปกว่า 10 นาที ชายปริศนาคนนั้นก็ยังไม่ออกมา ตนเองก็เริ่มนึกแปลกใจและพยายามจ้องว่าชายคนนี้จะไปไหนต่อ แต่ก็ไม่เห็น กระทั่งตนเองซึ่งต้มน้ำร้อนอยู่ ได้ละสายตาไม่นาน เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็ยังไม่เห็น จึงไม่ได้ใส่ใจอะไร
แต่จากนั้นผ่านไปไม่ถึง 10 นาทีที่เห็นชายปริศนาบริเวณท้ายสวนยางของตนเอง ตนเองก็ได้เห็นลุงพลปรากฏตัวอยู่บริเวณสวนยางของลุงฮง ซึ่งเป็นสวนยางติดกับสวนยางตนเอง ตอนนั้นตนเองจึงได้ลุกจากเปลและเดินไปทักทายลุงพล เนื่องจากที่ผ่านมาตลอด 2-3 ปี ลุงพลไม่เคยเดินทางมากรีดยางภายในสวนลุงฮงเลยสักครั้ง วันนั้นเป็นวันแรก โดยตนเองเดินเข้าไปพูดคุยทักทายลุงพลก่อน โดยบอกว่า
“อ้าวพ่อมนต์ได้มากรีดยางที่สวนแล้วหรอ เจ้าของเขาให้มากรีดแล้วใช่มั้ย” จากนั้นลุงพลได้ตอบประโยคแรกว่า “ค้าบบบบ” จากนั้นลุงพลได้ถามตนเองต่อว่า “อ้าวได้ยินเสียงรถออกจากบ้านพ่อแบมแล้ว พ่อแบมไม่ได้ออกไปหรอ?” ตนเองจึงตอบกลับว่า “เมียไปคนเดียว ผมไม่ได้ไปมันร้อน“ ลุงพลจึงถามกลับต่อว่า ”ไร่อยู่ไกลขนาดนั้น เมียไปคนเดียวได้หรอ?“ ตนเองก็เริ่มแปลกใจแต่ไม่คิดอะไร และตอบไปว่า ”เมียไปชวนแม่ยายไปด้วย เขาไปกัน 2 คน“
จากนั้นลุงพล เริ่มถามคำถามแปลกๆมากขึ้นอีกว่า ”อ้าว! ถ้าพ่อแบมไม่ได้ไปด้วยกัน แล้วเมื่อกี้เจ้าไปไหนมา เจ้าไปทำอะไรมา?“ ลุงพลกระซิบถามด้วยน้ำเสียงตกใจ ตนเองจึงตอบว่า ”เพิ่งไปฉีดยาฆ่าหญ้าบนเขามาทำไมหรอ?“
ทันใดนั้นสีหน้าลุงพลเริ่มตกใจมากขึ้น พร้อมกับถามย้ำตนเองถึง 3 รอบว่า ”ห่ะอะไรนะ เมื่อกี้เจ้าไปทำงานข้างบนเขามาหรอ ทำไมเจ้าไปฉีดยาฆ่าหญ้าข้างบน ไปอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่“ ตนเองก็งงว่า ลุงพลจะตกใจทำไม แต่ตนเองก็ไม่คิดอะไร
ตนเองและลุงพลมีการพูดคุยกันไม่ต่ำกว่า 10 นาที ก่อนที่ตนเองจะขอตัวเดินกลับบ้าน หลังจากไม่ถึง 10 นาที ก็เห็นพ่อน้องชมพู่ได้ขี่รถมอเตอร์ไซค์มาถามหาลูกสาวบอกว่า “น้องชมพู่หายไป” ตนเองจึงได้ชี้มือไปที่บริเวณสวนยางพารา จุดที่ตนเองได้พบกับลุงพล และบอกพ่อน้องชมพู่ว่า ให้ลองไปถามลุงพลดู ลุงพลกำลังกรีดยางอยู่ในสวนยางข้างบ้านตนเอง แต่เมื่อตนเองหันไปมองบริเวณสวนยางอีกครั้ง กลับไม่พบลุงพลยืนกรีดยางอยู่แล้ว
และจากนั้นไม่นาน ตนเองก็เห็นลุงพลเดินมาจากไหนไม่รู้เข้าไปที่บ้านลุงพล และได้รีบขับรถกระบะขับไปทางหมู่บ้านกกตูมด้วยความเร็ว ก่อนจะขับรถวนกลับมาไปทางวัดถ้ำภูผาเอกเพื่อเดินทางไปรับพระ ซึ่งความเร็วในการขับรถของลุงพลวันนั้น ตนเองแทบไม่เคยเห็นมาก่อนและค่อนข้างผิดสังเกตว่าทำไมถึงขับเร็วขนาดนั้น
ส่วนข้อพิรุธของลุงพลในวันที่ตนเองเจอนั้นค่อนข้างแปลก ลุงพลไม่เหมือนกับมากรีดยางเหมือนชาวบ้านทั่วไปในวันนั้น โดยลุงพลสวมกางเกงขายาวสีดำ มีเพียงมีดกรีดยาง 1 เล่ม ไม่สวมหมวกกันยุง แถมไม่พกยาจุดกันยุงห้อยด้านหลัง รวมไปถึงลักษณะการกรีดยางของลุงพล ไม่ได้กรีดไล่เป็นแถวเหมือนชาวบ้าน แต่มีการกรีด 2 ต้น และข้ามสลับไปกรีดต้นยางอีกแถว ซึ่งตนเองมาทราบข้อมูลจากตำรวจที่ไปตรวจสอบพบว่า วันดังกล่าวที่ตนเองเจอลุงพล ลุงพลกรีดยางไปเพียงแค่ 6 ต้น ก่อนที่จะหายตัวปริศนา
ยอมรับว่าที่ผ่านมาตนเองถูกตำรวจเรียกสอบปากคำไปแล้วไม่ต่ำกว่า 20 ครั้ง และมีการเซ็นเอกสารยืนยันคำให้การไปแล้ว ซึ่งทุกครั้งตนเองได้พูดเหมือนเดิม แต่ช่วงแรกอาจจะยังไม่กล้าบอกกับนักข่าวมากเพราะกลัวความปลอดภัย แต่ตนเองได้บอกกับตำรวจไปอย่างละเอียดและทั้งหมดแล้ว
และในวันที่ 31 ตุลาคมที่จะถึงนี้ วันพิพากษาคดีน้องชมพู่ตนเองไม่รู้หรอกว่า ผลจะออกมาเป็นอย่างไร แต่ “ตนเองมีคนร้ายในใจแล้วว่าคือใคร” ซึ่งตนเองก็หวังว่าน้องชมพู่จะได้รับความยุติธรรมในไม่ช้านี้ ที่ผ่านมาหลังเกิดเรื่องน้องชมพู่ได้มาเข้าฝันตนเองถึง 3 รอบ โดยทุกครั้งเหมือนน้องชมพู่อยากให้ตนเองช่วยอะไรบางอย่าง ซึ่งในวันนี้ตนเองมั่นใจว่าได้ช่วยน้องชมพู่เต็มที่แล้ว
ลุงพล เผย คิดถึงน้องชมพู่เหมือนเดิม หวัง 31 ต.ค. วันพิพากษาจะได้รับความยุติธรรม
ล่าสุดทีมข่าวได้เดินทางไปที่วังปู่ปาริจิต - นาลุงพลป้าแต๋นอีกครั้ง เมื่อไปถึงพบว่า ลุงพลกำลังนั่งขัดลงสีพระพรหมยังไม่เสร็จ โดยลุงพลบอกว่า ตนเองจะพยายามเร่งให้เสร็จใน 1-2 วันนี้
ต่อมาทีมข่าวได้สอบถามลุงพลถึงประเด็นที่ทนายความของพลได้ให้ข้อมูลถึงข้อต่อสู้ของลุงพลในคดีน้องชมพู่ ที่มั่นใจในพยานหลักฐาน ว่า ลุงพลเป็นผู้บริสุทธิ์ เนื่องจากไม่มีดีเอ็นเอของลุงพลปรากฏอยู่บนศพของน้องชมพู่ รวมถึง ไม่มีพยานคนใดที่เห็นลุงพลอุ้มน้องชมพู่ไปจากบ้านน้องชมพู่สักคน ลุงพล บอกว่า ตนเองพอทราบจากทนายความบ้างแล้ว แต่รายละเอียดการต่อสู้คดี ตนเองขอให้ทางทีมทนายความเป็นคนตอบ แต่ใจในความบริสุทธิ์ของตัวเอง
ส่วนกำหนดการเดินทางก่อนวันพิพากษา 31 ตุลาคม ตนเองจะออกเดินทางไปรับทนายความที่สนามบินจังหวัดนครพนมวันที่ 30 ตุลาคม และจะออกจากวังปู่ปาริจิต เวลาประมาณ 12.00 น.
หลังจากนั้นจะมีการเข้าพูดคุยกับ ทีมทนายความ ที่มีด้วยกันทั้งหมด 6 คน ก่อนเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งภายในเมืองมุกดาหาร จากนั้นช่วงเช้าวันที่ 31 ตุลาคม จะกินข้าวที่โรงแรมและจะเดินทางไปพร้อมกับทีมทนายความโดยรถยนต์ไปเพื่อรับฟังคำพิพากษาที่ศาลจังหวัดมุกดาหาร โดยโรงแรมที่ตนเองพักจะอยู่ห่างจากศาลจังหวัดมุกดาหาร 1.7 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 6 นาทีถึง
ทีมข่าวถามต่อ ลุงพลเคยคิดไหมว่า ตัวเองจะตกเป็นผู้ต้องหาในคดีฆ่าน้องชมพู่ ลุงพลบอก ตนเองไม่เคยคิด และก็เสียใจไม่แพ้กัน ตนเองก็เหมือนผู้สูญเสียคนหนึ่งที่สูญเสียหลานรักไปเหมือนกัน และทุกวันนี้ที่ชอบทำบุญ ไปงานต่างๆ ก็เพื่ออยากทำบุญให้น้อง อุทิศส่วนกุศลให้กับน้อง เชื่อว่าจนถึงตอนนี้ น้องชมพู่คงไปสู่ภพภูมิที่ดีของน้องแล้ว หากถามว่า คิดถึงไหม ตนเองก็คิดถึง เป็นลูกเป็นหลานยังไงก็คิดถึงอยู่แล้ว ยังคิดถึงน้องชมพู่เหมือนเดิม
และในวันที่ 31 ตุลาคมที่จะถึงนี้ เป็นวันพิพากษาตนเองก็หวังจะได้รับความยุติธรรม ซึ่งเป็นที่ตนเองรอคอยมานานแล้ว
ยายจำลอง” บ้านกกกอก ยืนยันไปร่วมฟังคำพิพากษาแน่ ขอไม่เข้าข้างฝั่งใคร รอศาลตัดสิน ขอเลือกอยู่ฝั่งคนที่ถูกต้อง - เผยปมขอแยกทางทีมลุงพล
ยายจำลอง บอกว่า ตนเองดีใจที่ศาลจังหวัดมุกดาหารจะมีการตัดสินคดีน้องชมพู่ในวันที่ 31 ตุลาคมนี้เสียที และอยากให้คดีน้องชมพู่จบเสียที อยากให้น้องได้รับความยุติธรรม
โดยตนเองตอนนี้ไม่ขออยู่ทีมใครซักฝั่ง ขออยู่เป็นทีมอิสระ ไม่มีสังกัดดีที่สุด และจะขออยู่ข้างฝั่งคนที่ถูกต้อง ตามที่ศาลได้ตัดสินในวันที่ 31 ตุลาคมนี้ ซึ่งตนเองไม่พลาดที่จะเดินทางไปร่วมรับฟังคำตัดสินด้วยในวันนั้น
ส่วนในอดีตที่ตนเองเคยเป็นเพื่อนสนิทของลุงพล เคยร้องเพลง ตำส้มตำให้กัน ยอมรับว่าตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว และได้ถอนตัวออกมาจากทีมลุงพลนานแล้ว ส่วนเหตุผลที่ถอนตัวออกมาเพราะว่า ตนเองอยากเป็นอิสระ ไม่ชอบให้คนอื่นมาควบคุม ซึ่งหลังจากลุงพลได้ย้ายบ้านออกไปจากหมู่บ้านกกกอกแล้ว ตนเองก็ไม่ได้คุยกับลุงพลอีกเลย
ส่วนมีอะไรอยากจะให้กำลังใจลุงพลไหม ก็อยากจะให้กำลังใจลุงพล ถ้าเกิดว่าศาลตัดสินว่าลุงพลไม่ได้ทำผิด ก็ขอให้ลุงพลสู้ต่อไป แต่หากศาลตัดสินว่า ลุงพลมีความ ลุงพลก็ต้องรับผิดและรับกรรมที่ได้ก่อไว้
ส่วนแม่น้องชมพู่เอง ก่อนหน้านี้ได้ให้กำลังใจเสมอมา เนื่องจากสงสารแม่น้องชมพู่ที่เป็นฝ่ายสูญเสีย รวมถึงก่อนหน้านี้แม่น้องชมพู่เคยถูกสังคมวิพากวิจารณ์มากทั้งที่เป็นผู้สูญเสีย ซึ่งก็ขอให้แม่น้องชมพู่อดทน อีกไม่นานความจริงก็จะปรากฏ และขอให้ดวงวิญญาณของน้องชมพู่ไปสู่สุคติ ขอให้มีความสุข ในวันที่ศาลได้พิพากษาคดีของน้องแล้ว
ซึ่งตนเองเชื่อว่าในคดีนี้ต้องมีคนร้ายแน่นอน และยืนยันว่าน้องชมพู่วัย 3 ขวบไม่สามารถเดินขึ้นภูเหล็กไฟเองได้แน่ คดีนี้ต้องมีคนร้าย
ป้าถอน สลับขั้ว ทิ้ง “ลุงพล” ให้กำลังใจ “แม่ชมพู่” เผย ลุงพล “เขาไม่เอาเราเเล้ว”
นางนลิน เงินนาม หรือ ป้าถอน อีกหนึ่งอดีตคนสนิทของลุงพล ที่วันนี้ประกาศขอแยกตัวจากทีมลุงพลเช่นเดียวกัน เธอบอกกับทีมข่าวว่า ตนเองรอลุ้นอยู่ว่าวันที่ 31 ตุลาคมนี้ ศาลจะตัดสินออกมาว่าอย่างไร และขอเป็นผู้ชมอยู่ห่างๆ เพราะตนเองก็ไม่รู้เช่นกันว่า ใครคือคนร้ายที่ฆ่าน้องชมพู่ แต่ตนเองมั่นใจว่าน้องชมพู่ไม่สามารถเดินขึ้นภูเหล็กไฟไปเองคนเดียว หรือ ตามหมาปลาส้มไปได้แน่นอน ขนาดตนเองขึ้นไปหาของป่า ยังหอบเลยด้วยซ้ำ ทางขึ้นภูสูงขนาดนั้น
และตนเองมั่นใจว่า ต้องมีคนอุ้มน้องชมพู่ขึ้นไปบนภูเหล็กไฟแน่นอน เพราะขนาดน้องชมพู่จะข้ามถนนมายังบ้านของตนเองที่อยู่ฝั่งตรงข้ามซอยบ้านน้อง ยังไม่กล้าข้ามถนนคนเดียวเลย นับประสาอะไรกับให้น้องขึ้นเขาไปคนเดียว น้องต้องไปกับคนที่น้องให้อุ้มเท่านั้น ไม่งั้นน้องจะร้อง ซึ่งคดีนี้ต้องมีฆาตกร และฆาตกรถือว่าโหดเหี้ยมมากที่ทำกับเด็กขนาดนี้ โดยตนเองก็อยากรู้เหมือนกันว่า มันทำกับเด็กลงได้อย่างไร
ส่วนความตื่นเต้น เมื่อใกล้ถึงวันอ่านคำพิพากษาคดีน้องชมพู่ ตนเองไม่ได้ตื่นเต้นเท่าไหร่นัก แต่ก็อยากให้คดีของน้องชมพู่จบลงไวๆ น้องชมพู่จะได้รับความเป็นธรรมเสียที ดีใจด้วยที่ศาลจะมีการตัดสิน จะได้รู้ ว่าอะไรผิดอะไรถูก สงสารน้อง
และตนเองจะเดินทางไปร่วมรับฟังการตัดสินของศาลเช่นเดียวกัน แต่จุดประสงค์ที่ไปจะไปให้กำลังใจแม่น้องชมพู่ ไม่ได้ให้กำลังใจลุงพล
อ.ปรเมศวร์ ปฏิเสธแทนศาลเรื่องคำพิพากษาหลุด ลุงพลรอดคุก เผยเป็นนัย ลุงพลปั้นพญานาคยังโดนคดี รอดู 31 ตุลาคม ศาลชี้ชะตา แย้ม 70% มีคนโดนลงโทษ
นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อัยการอาวุโส สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุดวิเคราะห์ประเด็นการเจอหรือไม่เจอดีเอ็นเอ มีผลให้ลุงพลรอดคุกหรือไม่ อาจารย์มองว่ไม่ใช่เรื่องดีเอ็นเออย่างเดียว ที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์หรือข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ มันมีปัจจัยอื่นๆ อย่างเช่นเหตุใด พนักงานสอบสวนตั้งข้อหาพรากผู้เยาว์กับลุงพล เป็นไปได้หรือไม่ว่าฉากสุดท้ายมีพยานเห็นลุงพลอยู่กับน้องชมพู่ ก่อนหายไป ประกอบกับผลชันสูตรพลิกศพของน้องชมพู่ ที่อาจารย์พูดเชิงตำหนิว่าผลออกช้า ซึ่งผลปรากฎว่า น้องเสียชีวิตเพราะขาดอากาศและน้ำ ดังนั้นพนักงานสอบสวนจึงตั้งข้อหาทอดทิ้งเด็กให้ถึงแก่ความตาย ซึ่งพอไปดูสภาพศพ ปรากฏมีการตัดผมมีการถอดกางเกง มีการย้ายที่ เลยมีการตั้งข้อหาเคลื่อนย้ายศพเพื่อทำลายหลักฐาน เมื่อตำรวจสอบเสร็จส่งสำนวนพยานหลักฐานในชั้นต้นที่ให้พนักงานอัยการพิเคราะห์เรื่องการพรากและทอดทิ้ง ทำให้เด็กถึงแก่ความตาย จึงฟ้องคดีไป
ทีนี้พยานหลักฐานที่จะพิสูจน์เรื่องนี้ ไม่ได้บอกให้ใช้แค่ดีเอ็นเอ แต่เป็นพยานหลักฐานอะไรก็ได้ ทั้งหลักฐานโดยตรง โดยอ้อม หรือแวดล้อม หรือทางนิติวิทยาศาสตร์ ก็ใช้ที่จะพิสูจน์ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดได้ แต่มีหลายคนไปสับสนกันว่าต้องใช้ดีเอ็นเอ บางทีการกระทำผิดตัวต่อตัวอาจจะไม่ปรากฏดีเอ็นเอก็เป็นได้ แต่ที่มีการพูดถึง ดีเอ็นเอเพราะการชันสูตรพลิกศพของน้องมันล่าช้านานมากกว่าจะได้ผลออกมา ซึ่งน่าคิดว่าคดีนี้หากไม่มีการลงโทษคนผิด เพราะการพิสูจน์ล่าช้าเป็นปี ต่างจากหลายเคส ซึ่งอาจารย์มองว่า การพิสูจน์ล่าช้าคือความไม่ยุติธรรม
อาจารย์ปรเมศวร์บอกว่าคดีนี้เป็นคดีแรกที่มีการสอบสวนประชาชนทั้งหมู่บ้านแต่ ไม่มีประจักษ์พยานชัดๆ ไม่มีคนเห็นตอนฆ่า ไม่เห็นตอนทอดทิ้ง ตรงนี้ต้องมานั่งดูว่าการสอบปากคำคนทั้งหมู่บ้านนี้ศาลจะมองอย่างไร เช่นคดีหมอฆ่าหมอ ก็ไม่มีประจักษ์พยาน แต่มีพยานแวดล้อม และมีเหตุผลกับน้ำหนักเพียงพอ ศาลลงโทษคนกระทำผิด
ถามถึงแนวทางอาจารย์บอกว่า ถ้าอัยการฟ้องน่าจะลงโทษคนผิดได้ โดยอาจารย์มองจากสถิติอัยการส่งฟ้อง 100 เรื่อง ศาลลงโทษคนผิด 95-97 เรื่อง ยกฟ้อง 5-7 เรื่อง ส่วน 31 ตุลาคมนี้ จะมีคนรอดหรือไม่ อาจารย์มองว่าอาจเป็นไปได้ 2 อย่าง คือ รอด กับ โดนลงโทษ
อาจารย์พูดติดตลกเล่นๆ ว่า ลุงพลอุตส่าห์ปั้นพญานาค ยังเอาไม่รอดเลย แล้วคดีนี้จะรอดไหม
ทิ้งท้ายไม่ขอฟันธงว่า จะรอด หรือ ติดคุก แค่บอกแนวโน้มว่า 60-70% น่าจะมีคนโดนลงโทษ แล้วมาดูเหตุผลที่ศาลพิพากษาลงโทษหรือยกฟ้องซึ่งสุดแท้แต่เหตุผลของศาล